สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1060 แดนกลับชาติมาเกิด ฉับพลันราวกับความฝัน
น่าเสียดายที่ทุกคนมองอยู่ครู่หนึ่งก็หาสาเหตุไม่ได้
“เป็นไปได้หรือไม่ที่ด้านในจะมีช่องว่าง? ” อู๋จุนคาดเดา
มู่หรงฉีเคาะดูสองครั้ง “ฟังจากเสียงแล้วเหมือนจะไม่ใช่”
“พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนบ้างหรือ? ” ถังเสวี่ยพูด
เห็นได้ชัดมากว่าทุกคนรู้สึกได้และมีสีหน้างุนงง
พื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง คราวนี้แรงสั่นชัดเจนมาก จากนั้นห้องศิลาวางศพทั้งหมดก็เริ่มสั่นสะเทือน เวลาครู่เดียวเศษหินจำนวนมากหล่นมาจากด้านบนเพดานห้องศิลาวางศพ
“แย่แล้ว เกรงว่าห้องศิลาวางศพนี้กำลังจะถล่ม” กูสือซานกล่าว
“ทุกคนรีบออกไปจากที่นี่! ” มู่หรงฉีมีสีหน้าเคร่งเครียด
คนแคว้นไหวเจียงวิ่งออกไปก่อน ถังเสวี่ยต้องการดึงตัวอู๋จุนออกไป ทว่าจู่ๆ อู๋จุนกลับสะบัดมือถังเสวี่ยออก
“ถังเป่าอวี้ เจ้าจะทำอันใด? ห้องศิลาวางศพกำลังถล่ม”
สีหน้าของอู๋จุนเต็มไปด้วยความตึงเครียด เขามองหาบางอย่างบนกำแพงไม่หยุด “ข้าไม่ไป เจ้าอยากไปก็ไปก่อน ยังหาแม่นางพิษน้อยไม่พบ”
“ซูจิ่นซีไม่อยู่ที่นี่”
“แม่นางพิษน้อยเคยมาที่นี่แน่ๆ บางทีอาจจะอยู่ด้านหลังกำแพงนี้”
อู๋จุนพูดพลางชกกำแพงด้วยแรงมหาศาลแล้วตะโกนเสียงดัง “แม่นางพิษน้อย พี่จุนเอง พี่จุนมาหาเจ้าแล้ว แม่นางพิษน้อย เจ้าได้ยินเสียงพี่จุนหรือไม่? แม่นางพิษน้อย หากเจ้าได้ยินก็ตอบกลับข้าด้วย เจ้าอยู่ด้านในหรือไม่? ”
น่าเสียดายที่รอบด้านมีเพียงเสียงห้องศิลาวางศพถล่มและเศษหินที่ตกลงมา ไม่มีเสียงตอบกลับแต่อย่างใด
ถังเสวี่ยมีท่าทีเป็นกังวล ทว่านางรู้ว่าอู๋จุนเป็นห่วงซูจิ่นซีจึงพูดไม่ออก อย่างไรเสียนางก็เป็นห่วงซูจิ่นซีมากเช่นกัน
ในใจของเยี่ยโยวเหยาเป็นห่วงซูจิ่นซีไม่น้อยไปกว่าอู๋จุน แม้สีหน้าหน้าไม่ได้แสดงถึงความตื่นตระหนกเหมือนอู๋จุน ทว่าเขากลับมีท่าทีสิ้นหวัง
มู่หรงฉีใช้มือข้างหนึ่งลากเยี่ยโยวเหยา ส่วนอีกข้างลากอู๋จุน “พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้ ออกไปก่อนค่อยว่ากัน”
“ไม่ได้ ยังหาแม่นางพิษน้อยไม่พบ เจ้าอยากออกก็ออกไปก่อน”
“จิ่นซีเป็นน้องสาวข้า ข้าก็เป็นห่วงนางไม่น้อยไปกว่าพวกเจ้า ทว่าห้องศิลาวางศพกำลังจะถล่ม หากอยู่ต่อทุกคนได้ตายแน่”
“ตาย ตาย มู่หรงฉี เจ้ารู้ชีวิตตนเอง แม่นางพิษน้อยป่วยหนักและตอนนี้ห้องศิลาวางศพกำลังถล่ม เจ้าจะให้นางออกไปอย่างไร? ” อู๋จุนพูดพลางสะบัดมือมู่หรงฉีออก
จากนั้นหินก้อนหนึ่งก็ตกลงมาจากด้านบนห้องศิลาวางศพ หากมู่หรงฉีไม่ใช้ฝ่ามือฟาดมันได้ทันเวลา เศษหินก้อนนั้นคงตกลงมากระแทกศีรษะของอู๋จุนแล้ว
มู่หรงฉีกล่าว “อู๋จุน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? จิ่นซีถูกจิ่วหรงพาตัวไป จิ่วหรงคือผู้ใด? เขาจะปล่อยให้จิ่นซีมีอันตรายได้อย่างไร? เขามีวรยุทธ์สูงส่ง เจ้าเป็นห่วงตนเองก่อนเถิด! ”
“เยี่ยโยวเหยา เจ้าว่าอย่างไร? ” น้อยมากที่อู๋จุนจะถามความเห็นเยี่ยโยวเหยา
สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาดูซับซ้อนเป็นพิเศษและไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ เขานิ่งเงียบไม่พูดอันใด
เศษหินยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าห้องศิลาวางศพนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
“ไม่ต้องถามแล้ว รีบเดินเถิด! ” ถังเสวี่ยดึงแขนเยี่ยโยวเหยาแล้ววิ่งออกไป “โยวอ๋อง ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงซูจิ่นซี ทว่าท่านควรเชื่อใจคุณชายจิ่วดูสักครั้ง เขาก็เป็นห่วงซูจิ่นซีไม่น้อยไปกว่าท่าน เชื่อใจเขา เขายอมให้ตนเองมีอันตรายมากกว่ายอมปล่อยให้เกิดอันตรายกับซูจิ่นซี”
แม้เยี่ยโยวเหยาจะไม่พูด ทว่าเขากลับวิ่งออกไปเองและหยิบสิ่งของเกี่ยวกับเผ่าเม้ยจำนวนไม่น้อยจากพื้น มู่หรงฉี ถังเสวี่ย และอู๋จุนก็หยิบของสองสามอย่างเช่นกัน แม้ไม่อาจเอาออกไปได้ทั้งหมด ทว่าหยิบไปเฉพาะที่สำคัญ หากหลังออกไปยังหาซูจิ่นซีไม่พบ บางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็นเบาะแสบางอย่างได้
แม้เส้นทางในห้องศิลาวางศพจะสลับซับซ้อน ทว่าโชคดีที่ตอนเข้ามาทุกคนบุกทำลายเข้ามาทีละห้อง ดังนั้นตอนออกมาจึงง่ายอยู่บ้าง ในไม่ช้าทุกคนก็วิ่งออกมาจากห้องศิลาวางศพ หลังวิ่งออกมาได้ไม่นานก็เกิดเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นประตูห้องศิลาวางศพก็ถล่มลงมาปิดตายทางเข้าทั้งหมด
ถังเสวี่ยตกใจสองขาอ่อนแรงและทรุดลงกับพื้นเสียงดังตุบ
“อันตรายมาก พวกเราเกือบถูกฝังทั้งเป็นอยู่ด้านในแล้ว”
มู่หรงฉีปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก หลังผ่านไปครู่ใหญ่ทุกคนจึงค่อยสงบสติอารมณ์ ถังเสวี่ยบังเอิญเหลือบเห็นบางอย่างจึงชี้นิ้วออกไป “เอ๊ะ นั่นคือสิ่งใด? ” มองอย่างละเอียดอีกครั้ง “ดูเหมือนจะเป็นคน! ”
เยี่ยโยวเหยา อู๋จุน และมู่หรงฉีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ในพริบตาก็มองไม่เห็นเงาร่างคน
ถังเสวี่ยตกใจ นางดูเหมือนจะคิดอันใดได้จึงรีบตามเยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว
หญ้ายาวดุจขนอ่อนชูยอดสูงเขียวขจี ดอกไม้เล็กมากมายเติบโตใต้ใบหญ้า สตรีนอนแน่นิ่งอยู่บนนั้นรอบกายมีผีเสื้อหลากสีเริงระบำ
เยี่ยโยวเหยาเป็นคนแรกที่ไปถึงนาง แม้วิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทว่าจู่ๆ กลับหยุดนิ่งเมื่ออยู่ห่างจากนางไม่กี่ก้าว เมื่อมองสตรีที่กำลังหลับใหลอย่างเงียบงัน พลันรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริงและไม่กล้าที่จะเชื่อว่าทุกอย่างตรงหน้าคือความจริง
ทุกอย่าง… ราวกับภาพฝัน!
เมื่อครู่เขายังโทษตนเองอยู่เลย โทษตนเองที่หานางไม่พบ ประตูห้องศิลาวางศพถล่มไปแล้ว หากนางไม่ออกมาจริงๆ แล้วถูกฝังอยู่ด้านในเขาควรทำอย่างไร?
จากนั้น อู๋จุน มู่หรงฉี และถังเสวี่ยก็วิ่งมาถึงเช่นเดียวกับเยี่ยโยวเหยา พวกเขาไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ไม่กล้าเชื่อว่าทุกอย่างตรงหน้าเป็นความจริง กลัวว่าหากตื่นตระหนกเกินไปจะทำให้ภาพฝันนั้นสลายหายไปนี้
ตื่นจากฝันแล้วทุกอย่างจะไม่มีอยู่จริง
ท้ายที่สุดเยี่ยโยวเหยาก็เดินเข้าไปหาซูจิ่นซีทีละก้าว กอดซูจิ่นซีที่กำลังหลับใหลไว้ในอ้อมแขน
ซูจิ่นซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาคู่สวยแจ่มใสกระจ่างแจ้ง เมื่อเห็นใบหน้าเยี่ยโยวเหยา นางจึงค่อยๆ ยกยิ้มมุมปาก
“เยี่ยโยวเหยา… ”
เยี่ยโยวเหยายื่นมือออกไปเกลี่ยปอยผมที่ขนตาซูจิ่นซีไปไว้หลังใบหู
“อืม! ”
แววตาของซูจิ่นซีสงบนิ่งและลึกซึ้งเล็กน้อย นางมองไปยังด้านข้างอยู่นาน พื้นที่รอบด้านไม่ใหญ่มากนัก สามารถเห็นกำแพงหินสูง ต้นหญ้าสูงยาวบนพื้นแซมด้วยดอกไม้จำนวนมาก และมีผีเสื้อบินล้อดอกไม้อย่างมีความสุข
“ข้า… หลับฝันไป… ” ซูจิ่นซีพูดด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย หลังจากนั้นแววตาก็มองบนร่างอู๋จุน มู่หรงฉี และถังเสวี่ยทีละคน แม้กระทั่งกูสือซาน หลานอวี่ และคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลล้วนมองรอบหนึ่งอย่างละเอียด “จิ่วหรงอยู่ที่ใด? ”
จิ่วหรง…
อู๋จุน มู่หรงฉี และถังเสวี่ยตกตะลึงเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเข้าหากัน ทว่าไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด
ซูจิ่นซีลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบากและมองไปรอบๆ อย่างละเอียด ไม่มีจิ่วหรงจริงๆ และไม่รู้ว่าจู่ๆ นางคิดอันใดได้ สีหน้าจึงดูเป็นกังวล
“จิ่วหรงอยู่ที่ใด? พวกท่าน ผู้ใดเห็นจิ่วหรงบ้าง? ”
“แม่นางพิษน้อย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? ”
“จิ่วหรงอยู่กับเจ้ามิใช่หรือ เขา… ไม่ได้ออกมาจากสุสานกับเจ้าหรือ? ” มู่หรงฉีเอ่ยถาม
แววตาของซูจิ่นซีค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น ภาพเกี่ยวกับดินแดนโลกปรภพเหล่านั้นเริ่มชัดเจนขึ้นในความคิด ทะเลดอกปี่อั้น ผีเสื้อแห่งปรภพ แม่น้ำลืมเลือน วิญญาณหยิน เรือลำเล็ก เลือด… ภาพยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจ จู่ๆ ซูจิ่นซีก็กุมศีรษะด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ไม่… ไม่ใช่ความฝัน นั่นไม่ใช่ความฝัน… ”
“แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นอย่างไร? ฝันไม่ฝันอันใด? เจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด? ”