สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1061 แดนกลับชาติมาเกิด คุณชายจิ่ว
จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่สุสานโบราณราวกับคนบ้า น่าเสียดายที่ประตูสุสานพังทลายไปแล้ว นางจึงเข้าไปไม่ได้ นางย้ายก้อนหินที่ขวางอยู่บนประตูสุสานอย่างบ้าคลั่ง
เยี่ยโยวเหยายืนนิ่งอยู่กับที่ มองดูการกระทำอันขาดสติของซูจิ่นซี ดวงตาราวกับแอ่งน้ำขัง สงบนิ่งไม่สั่นคลอนและไม่พูดอันใด
มู่หรงฉี อู๋จุน และถังเสวี่ยมาอยู่ด้านข้างซูจิ่นซีและไถ่ถามนาง ทว่านางไม่พูดอันใด ทำเพียงย้ายก้อนหินอย่างบ้าคลั่งจนนิ้วชี้เริ่มมีเลือดซึมออกมา
อู๋จุนก้าวไปข้างหน้าและดึงซูจิ่นซี “แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นอย่างไร? ”
สีหน้าของซูจิ่นซีทั้งหวาดกลัวและประหม่า ขอบตาทั้งสองข้างแดงก่ำ พริบตาเดียวน้ำตาก็เอ่อล้นออกมา “จิ่วหรง… จิ่วหรงยังอยู่ด้านใน”
“เจ้าพูดอันใด”
ซูจิ่นซีไม่สนสิ่งอื่นใด นางสะบัดมืออู๋จุนออกแล้วยกหินต่อ
ทว่าก้อนหินมีมากเกินไป นางคนเดียวไม่อาจยกออกทั้งหมดได้
อู๋จุน มู่หรงฉี และถังเสวี่ยมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้นอู๋จุนจึงพูดว่า “แม่นางพิษน้อย ด้านในเกิดเรื่องอันใดกับพวกเจ้า? เหตุใดเจ้าออกมาก่อน แต่จิ่วหรงกลับถูกขังอยู่ด้านใน เขามีวรยุทธ์เยี่ยมยอดถึงเพียงนั้น ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้! ”
มู่หรงฉีมองเศษหินเหล่านั้นด้วยสายตาเลื่อนลอย เห็นซูจิ่นซีใช้มือยกก้อนหินไม่หยุดอย่างบ้าคลั่ง “ประตูห้องศิลาวางศพพังแล้ว ห้องศิลาวางศพก็ถล่มลงมาหมดแล้ว ต่อให้พวกเราขุดสุสานทั้งหมดเกรงว่าคงเปล่าประโยชน์”
“เป็นไปไม่ได้! ” อู๋จุนไม่อยากจะเชื่อ “จิ่วหรงวรยุทธ์เยี่ยมยอด เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! ”
แม้ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดอย่างลึกซึ้ง ทว่าพวกเขาล้วนผ่านเรื่องราวมากมายมาอย่างยากลำบากด้วยกัน วันนี้กลับได้ยินข่าวเช่นนี้ อู๋จุนไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นความจริง ทว่าเมื่อดูจากสภาพซูจิ่นซีแล้ว มันไม่เหมือนเป็นเรื่องโกหก
อู๋จุน มู่หรงฉี และถังเสวี่ย แม้ไม่ได้พูดอย่างชัดเจน ทว่าภายในใจกลับรู้สึกแย่มากยิ่งขึ้น วรยุทธ์ของจิ่วหรงไม่เลวจริงๆ ทว่าภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนกลับทำเรื่องที่ไม่คำนึงถึงชีวิตตนเองเพื่อซูจิ่นซี พูดได้เลยว่าไม่แน่
“มัวยืนเหม่อทำอันใดอยู่? ” จู่ๆ อู๋จุนก็พูดกับมู่หรงฉี “ที่นี่เป็นชายแดนแคว้นตงเฉิน ยังไม่รีบติดต่อตงหลิงหวงเพื่อเรียกกำลังเสริมมาช่วยอีก! ” อู๋จุนพูดจบก็ก้าวไปข้างหน้า ช่วยซูจิ่นซีย้ายก้อนหินอีกแรง
ถังเสวี่ยมีสีหน้าหวาดกลัว นางตามไปช่วยซูจิ่นซีอีกคน มู่หรงฉีรีบหาทางติดต่อตงหลิงหวง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร องครักษ์วิหารวิญญาณที่แอบตามข้างกายเยี่ยโยวเหยามาโดยตลอดก็มาถึงด้านล่างหน้าผาแล้ว พวกเขาได้รับคำสั่งให้ช่วยซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ย้ายก้อนหินพร้อมกัน
แม้ไม่ได้ให้ผู้ใดตรวจชีพจร ทว่าเมื่อเห็นซูจิ่นซีย้ายก้อนหินโดยไม่สนสิ่งใด แสดงว่าร่างกายของนางน่าจะดีขึ้นเป็นเท่าตัวแล้ว เยี่ยโยวเหยามองท่าทางบ้าคลั่งของซูจิ่นซี ในใจรู้สึกซับซ้อนเป็นพิเศษและเป็นทุกข์อย่างมาก ทว่ากลับไม่ได้ห้ามซูจิ่นซี
เพราะเขารู้ว่าจิ่วหรงเกิดอันตรายอย่างแน่นอน!
ภาพอดีตมากมายปะติดปะต่อกันในหัว ภาพที่ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นภาพที่เกี่ยวกับอดีตชาติ เกี่ยวกับจักรวรรดิต้าฉิน เกี่ยวกับราชวงศ์โจวตะวันตก เหตุการณ์ที่ผ่านมาเหล่านั้น เยี่ยโยวเหยาเคยได้ยินผ่านคำพูดของซูจิ่นซี ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ความทรงจำเหล่านั้นปรากฏขึ้นชัดเจนในหัวของเขาราวกับธารน้ำไหล
จิ่วหรง… พันกว่าปีมานี้ เขาได้เสียสละมากเกินไปจริงๆ
สามชาติสามภพ เขากับจิ่วหรงนับว่าผ่านอุปสรรคเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา
ในปีนั้น จิ่วหรงเคยรับปากกับเขาว่าจะฟื้นคืนชีพซีเอ๋อร์ พันกว่าปี เขาใช้เวลาไปแล้วพันกว่าปีเพื่อทำตามสัญญานี้ จิ่วหรงเทหมดหน้าตักที่มี…
เยี่ยโยวเหยามีสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน ช่วยซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ขุดเศษหินที่ขวางอยู่บนประตูสุสานโบราณ
ในไม่ช้า ตงหลิงหวงก็มาถึงพร้อมกับองครักษ์จำนวนหนึ่ง ปากทางเข้าสุสานแคบและรองรับคนได้ไม่มาก ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ จึงถูกองครักษ์เข้ามาแทนที่
เยี่ยโยวเหยาโอบไหล่ซูจิ่นซีเบาๆ แล้วให้นางพิงไหล่เขาโดยไม่พูดอันใด
อู๋จุนนั่งยองอีกฝั่งแล้วมองไปยังทางเข้าสุสานตลอดเวลาโดยไม่พูดอันใดเช่นกัน
มู่หรงฉีครุ่นคิด เขาก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อพูดปลอบซูจิ่นซี “จิ่นซี เจ้าวางใจ จิ่วหรงวรยุทธ์แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีดวงชะตาที่ไม่ธรรมดา ต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน”
ซูจิ่นซีหลับตาลง น้ำสีใสค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตา ท่าทางของนางเศร้าสร้อย ทั้งยังส่ายศีรษะและนิ่งเงียบ
นางรู้ดีว่าจิ่วหรงเป็นดั่งเทพเซียน และรู้ดีว่าจิ่วหรงมีดวงชะตาไม่ธรรมดา นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจิ่วหรงจะไม่เป็นอันใด ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน!
หลานอวี่ กูสือซาน และคนอื่นๆ ของแคว้นไหวเจียง เมื่อเห็นว่าการแสดงออกซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ผิดปกติจึงคอยสังเกตอย่างลับๆ ต่อมาเมื่อเห็นตงหลิงหวงพาองครักษ์มาก็รู้ทันทีว่าหากลงมือไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดอย่างแน่นอน จึงล่าถอยออกไปอย่างเงียบงัน
คนของตงหลิงหวงและคนของเยี่ยโยวเหยาขุดสุสานโบราณอยู่สามวันสามคืน ทว่าเส้นทางในสุสานวกวน นอกจากนี้สุสานทั้งหมดก็ถล่มลงมาขวางเส้นทางด้านในจนปิดตาย เวลาสามวันสามคืน พวกเขาขุดถึงเพียงห้องศิลาวางศพแรกซึ่งห่างจากห้องศิลาวางศพหลักอีกไกลมาก
ทหารและพวกองครักษ์เงาขุดไปแล้วสามวันสามคืน ขณะที่ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ก็รออยู่ใต้หน้าผาเป็นเวลาสามวันสามคืนเช่นกัน ช่วงสามวันนี้ซูจิ่นซีไม่ดื่มน้ำสักหยด แม้แต่ดวงตาก็ไม่เคยได้หลับลงเลยด้วยซ้ำ
ถังเสวี่ยกล่อมอยู่หลายครั้ง ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่สนใจนางและไม่พูดด้วยสักประโยค
ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาคิดอย่างไรถึงปล่อยให้ซูจิ่นซีเป็นเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่พูดหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมแม้แต่คำเดียว
มู่หรงฉีทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงเอาอาหารไปให้ซูจิ่นซีอีกครั้ง “จิ่นซี เชื่อฟัง กินสักนิดเถิด แม้ไม่ใช่เพื่อตนเองก็เพื่อเด็กในท้อง”
เด็กในท้อง…
ตั้งแต่ตั้งครรภ์ ซูจิ่นซีได้ยินประโยคนี้บ่อยที่สุด และเบื่อที่จะได้ยินมันแล้ว นางหลับตาลงไม่มองมู่หรงฉี
มู่หรงฉีส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้และทรุดนั่งลงอีกฝั่ง
ผ่านไปอีกสามวันสามคืน ทหารและพวกองครักษ์ขุดทั้งวันทั้งคืน เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยล้ามากแล้ว ทว่ายังขุดไม่ถึงสุสานหลัก กระทั่งครึ่งทางก็ยังขุดไม่ถึง
เข้าวันที่สิบ เส้นทางสุสานที่ขุดมาได้พังทลายลง ผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตอยู่ด้านใน ตงหลิงหวงตามคนมาเพิ่มอีกระลอกหนึ่งและขุดต่อไป เยี่ยโยวเหยาระดมคนมาจากจุดปฏิบัติการละแวกใกล้ๆ
วันที่สิบสาม เส้นทางสุสานที่ขุดมาได้พังทลายลงอีกครั้ง จากนั้นก็ขุดอีกครั้ง… เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยี่สิบวันผ่านไป เส้นทางสุสานที่ขุดขึ้นมายังคงอยู่ห่างจากห้องศิลาวางศพหลักไม่ถึงครึ่งทาง ทว่าซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ไม่ยอมแพ้ เยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉี และอู๋จุนเข้าไปดูการขุดเส้นทางสุสานด้วยตนเองทุกวัน และพวกเขายังคิดหาวิธีสร้างอุโมงค์ขุดเส้นทางสุสานเพื่อป้องกันไม่ให้พังอีก พูดได้ว่านี่เป็นโครงการก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆ เหมือนกับการสร้างสุสานโบราณขึ้นมาใหม่
ทว่าเพื่อจิ่วหรง ทุกอย่างย่อมคุ้มค่า
วันที่ยี่สิบสอง ตงหลิงหวงอดกลั้นไม่ไหวแล้ว ในตอนกลางคืนขณะที่เยี่ยโยวเหยา อู๋จุน มู่หรงฉีเข้าไปในเส้นทางสุสาน นางก็มาพบซูจิ่นซี
ในเวลานั้นซูจิ่นซีนั่งอยู่ในกระโจมเพียงลำพัง กาน้ำชาบนเตาเดือดปุดๆ ดวงตาทั้งสองของนางจ้องไปยังไอน้ำที่เดือดขึ้นไม่หยุดและไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใด ตงหลิงหวงเดินมาอยู่ตรงหน้านางนานมาก นางกลับไม่รู้ตัว
“พระชายาโยวอ๋อง!” ในที่สุดตงหลิงหวงก็เอ่ยปาก
ซูจิ่นซีเงยศีรษะ ดวงตาพลันจ้องมองตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบงันและบีบข้อมือของซูจิ่นซี พลางขมวดคิ้วแน่น “หากคุณชายจิ่วยังมีชีวิตอยู่คงไม่อยากเห็นท่านทำร้ายตนเองเช่นนี้เพื่อเขา”