สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1062 คำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของจิ่วหรง
ซูจิ่นซีมองตงหลิงหวงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ตงหลิงหวงจึงพูดต่อ “พระชายาโยวอ๋อง จนบัดนี้ข้าไม่เคยถามท่านว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นในสุสานโบราณ ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ข้าเข้าใจ ไม่ว่าวันนั้นจะเกิดอันใดขึ้น ไม่ว่าร่างของคุณชายจิ่วในขณะนี้อยู่ที่ใด เขาคงไม่อยากเห็นท่านเป็นอย่างตอนนี้ และยิ่งไม่อยากเห็นท่านทำร้ายตนเอง”
“ออกไป” ซูจิ่นซีมองไปทางอื่น
“พระชายาโยวอ๋อง… ”
“ออกไป! ”
ตงหลิงหวงขมวดคิ้ว รู้ว่าตอนนี้มีบางอย่างไม่สมควรพูด ทว่านางต้องพูด
“ซูจิ่นซี ท่านตั้งสติเถิด! คุณชายจิ่วไม่อยู่แล้ว หรือว่าท่านต้องการปลิดชีพเยี่ยโยวเหยา อู๋จุน มู่หรงฉีทั้งสามคนไว้ที่นี่? หลายวันมานี้มีคนตายไปเท่าไร ในใจท่านรู้ดี แม้พวกเราจะขุดลงไปวันแล้ววันเล่าทุกวัน เส้นทางสุสานแห่งนี้ก็ขุดไม่ได้ หรือว่าท่านอยากเห็นคนตายไปทีละคนจนหมดเกลี้ยงท่านถึงจะสบายใจ? ”
ห้องศิลาวางศพขนาดใหญ่อย่างสุสานจิ่วอีโหวมักมีมาตรการป้องกันการโจรกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้คนรุ่นหลังบุกรุก ห้องศิลาวางศพจึงมีระบบทำลายล้าง เมื่อผู้บุกรุกสัมผัสโดนบริเวณใจกลาง ห้องศิลาวางศพก็จะพังทลายลงมา จะไม่มีผู้ใดได้เห็นแสงตะวันตลอดไป
ดังนั้นไม่ใช่แค่ตงหลิงหวง ทว่าเยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉี อู๋จุนและคนอื่นๆ ต่างเข้าใจในเรื่องนี้ว่า เส้นทางในสุสานโบราณแห่งนี้พังทลายจนขุดไม่ได้อย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าจะย้ายภูเขาทั้งลูกออกไปถึงจะพบห้องศิลาวางศพหลักห้องนั้น
ทว่าการย้ายภูเขาทั้งลูกออกไปนั้นพูดง่ายทำง่ายนักหรือ?
เหตุผลที่พวกเขาพาคนขุดต่อไปทั้งวันทั้งคืน ความจริงแล้วก็เพื่อปลอบโยนตนเอง เพื่อปลอบใจซูจิ่นซี
ตงหลิงหวงพูดจบก็ไม่อยู่ต่อและเดินออกจากกระโจมไป
คืนนั้นขณะที่เยี่ยโยวเหยาออกมาจากเส้นทางสุสาน ซูจิ่นซีก็หลับไปแล้ว เมื่อเห็นซูจิ่นซีหลับลึกอย่างที่หาได้ยากนักที่จะเห็นนางนอนอย่างสงบนิ่งตลอดหลายวันมานี้ เยี่ยโยวเหยาจึงไม่รบกวน เขาเอนกายนอนลงด้านข้างซูจิ่นซีอย่างเงียบงัน
ทว่าตอนที่เยี่ยโยวเหยากำลังหลับใหลและผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสงบราบเรียบ ซูจิ่นซีกลับลืมตาขึ้น นางสะบัดผ้าห่มออกและสวมเสื้อผ้า จากนั้นจึงเดินออกจากกระโจมไป
เยี่ยโยวเหยาพลันลืมตาขึ้นด้วยดวงตาแจ่มใส เขาลุกขึ้นและตามซูจิ่นซีไปด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย
เขาคิดว่าในที่สุดนางก็บรรเทาความตึงเครียดในหลายวันมานี้ได้ ในที่สุดก็สามารถพักผ่อนอย่างสงบในหนึ่งคืน กลับไม่คาดคิดว่านางยังไม่ยอมปล่อยวางตนเอง
เรื่องนี้เยี่ยโยวเหยาไม่เหมาะจะพูดอันใดมากนัก ทำได้เพียงปล่อยซูจิ่นซี ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อให้พื้นที่และเวลาที่เพียงพอกับนาง ให้นางค่อยๆ เดินออกมาจากพันธนาการในใจนี้ด้วยตนเอง ทว่ากระบวนการนี้ต้องใช้เวลาเท่าไรไม่อาจคาดเดาได้
เยี่ยโยวเหยาเป็นห่วงนางมากจริงๆ
ซูจิ่นซีเดินออกมาจากกระโจม ยืนอยู่บนพื้นหญ้านอกกระโจมเป็นเวลานาน นางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ หลังผ่านไปครู่ใหญ่ก็เดินไปที่ทางเข้าสุสาน
เพื่อเร่งงานและขุดห้องศิลาวางศพหลักโดยเร็วที่สุด ทหารและเหล่าองครักษ์เงาผลัดเปลี่ยนกะเร่งทำงานทั้งคืนโดยไม่หยุด เยี่ยโยวเหยา อู๋จุน และมู่หรงฉีก็ผลัดเปลี่ยนกะเช่นกัน ซึ่งในตอนนี้เป็นกะของมู่หรงฉีพอดี
มู่หรงฉียืนอยู่ตรงทางเข้าสุสานโบราณ เมื่อเห็นซูจิ่นซีเดินผ่านมาเพียงคนเดียว ด้านหลังไม่มีผู้ใด เขาก็ขมวดคิ้วเบาๆ
“จิ่นซี ดึกดื่นเพียงนี้ลุกขึ้นมาได้อย่างไร? ”
“พี่ฉี! ” ซูจิ่นซีเดินมาตรงหน้ามู่หรงฉีแล้วเหลือบมองเข้าไปในสุสานแคบๆ “ข้าอยากเข้าไปดูเสียหน่อย”
“ดึกป่านนี้แล้ว ข้างในมืดมาก พวกทหารกำลังเร่งทำงานกันวุ่นวาย พรุ่งนี้ค่อยดูอีกทีเถิด!”
“ข้าอยากเข้าไปดูตอนนี้! ”
ซูจิ่นซีดื้อรั้นเป็นอย่างมาก มู่หรงฉีรู้ว่าตนเองขัดไม่ได้ เขาจึงพยักหน้า “ได้ ข้าเข้าไปกับเจ้าด้วย” พูดจบก็ให้คนนำตะเกียงน้ำมันมาและพาซูจิ่นซีเข้าไปในเส้นทางสุสาน
ทางเดินแคบยาวมีเพียงแสงไฟสลัว
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงรั้นที่จะเดินเข้าไปเรื่อยๆ หลังเดินเข้าไปแล้วคิดจะทำอันใด บางทีอาจเพื่อหาคำอธิบายให้จิตใจที่หวาดหวั่นของตนเอง หรือเพื่อค้นหาความสงบในใจ หรือเพื่อค้นหาความเงียบงัน
ในเส้นทางสุสานเต็มไปด้วยฝุ่น ภายใต้แสงสลัวมีฝุ่นผงจำนวนมากลอยอยู่ตรงหน้า ราวกับความทรงจำในห้วงเวลาหลายปี เสียงฝีเท้าเหยียบอยู่บนเศษหินที่พื้น บางครั้งก็ส่งเสียงกรอบแกรบดังก้องอยู่ในเส้นทางสุสานที่ยาวและแคบเป็นเวลานาน
จู่ๆ ซูจิ่นซีก็หยุดฝีเท้า
มู่หรงฉีจึงเอ่ยถาม “จิ่นซี เป็นอันใดไปหรือ? ”
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็หันหลังกลับและเดินออกไปโดยไม่พูดอันใดสักประโยค มู่หรงฉีเดินตามออกไปจากเส้นทางสุสานโดยไม่ได้ถามให้มากความ
ขณะที่ซูจิ่นซีกลับไปถึงกระโจม เยี่ยโยวเหยายังคงนอนอยู่ที่ตำแหน่งเดิม หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ นางนั่งลงข้างกองไฟโดยไม่ได้หลับทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเยี่ยโยวเหยาตื่น ซูจิ่นซีก็กล่าวขึ้นทันที “เยี่ยโยวเหยา พวกเรากลับกันเถิด! ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เข้าใจความหมายที่ตนเองสื่อจึงอธิบายอีกครั้ง “พวกเรากลับกันเถิด กลับแคว้นจงหนิง ออกเดินทางตอนนี้! ”
เยี่ยโยวเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นค่อยๆ เดินไปข้างกายซูจิ่นซี รวบนางเข้าสู่อ้อมกอดตนเอง “ตกลง ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้! ”
สองมือของซูจิ่นซีกอดเยี่ยโยวเหยาแน่น ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้มโดยไร้เสียงสะอื้น
หลังจากนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ไปหามู่หรงฉี ตงหลิงหวง อู๋จุน และคนอื่นๆ กระบวนทัพรีบดำเนินการล่าถอยออกจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างรู้งานโดยไม่ถามให้มากความ
ทว่าหลังจากที่ทุกคนออกจากหุบเขา จู่ๆ ก็พบคนของหุบเขาเทียนอี ผู้นำทั้งห้าของหุบเขาเทียนอีรีบมาด้วยตนเองและพาลูกศิษย์ของหุบเขาเทียนอีจำนวนไม่น้อยมาด้วย เมื่อเห็นซูจิ่นซีและคนอื่นๆ จากระยะไกล พวกเขาจึงก้าวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็วและคุกเข่าให้ซูจิ่นซีด้วยความเคารพ “ลูกศิษย์คำนับท่านเจ้าสำนัก! ”
อู๋จุนและคนอื่นๆ มองไปที่ซูจิ่นซีด้วยใบหน้างุนงง ซูจิ่นซีก็สับสนเช่นกัน
“ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกท่านทำอันใด? ”
เทพโอสถสาขาสำนักโอสถและหมอเทวดาสาขาสำนักแพทย์คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด ทั้งสองเหลือบมองไปยังลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่ด้านหลัง มีลูกศิษย์ที่ง่วนอยู่กับการถือของจำนวนมากก้าวไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเหลือบมองไปที่ของแต่ละอย่าง ซึ่งแบ่งออกเป็นป้ายคำสั่งเจ้าสำนักแห่งสำนักแพทย์เทียนอี คัมภีร์แพทย์ หนังสือแพทย์ ตำราแพทย์ และยังมีเสื้อผ้าชุดใหม่ ทว่าต่างจากรูปแบบที่จิ่วหรงใส่ในชีวิตประจำวันไม่มาก ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะกับสตรี
เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซียังมีสีหน้าสงสัย เทพโอสถจึงอธิบายว่า “สิ่งเหล่านี้คุณชายได้จัดเตรียมไว้เมื่อเดือนก่อนตอนออกจากสำนัก คุณชายกำชับให้ข้ารอ หลังจากท่านออกจากสุสานโบราณแล้วให้มอบสิ่งของเหล่านี้ให้ท่าน ยกให้ท่านเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปของสำนักแพทย์เทียนอี”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จิ่วหรงมอบตำแหน่งเจ้าสักนักแห่งสำนักแพทย์เทียนอีให้ซูจิ่นซี!
ส่งมอบไว้เมื่อเดือนก่อน หรือว่าเขาคาดการณ์ไว้นานแล้วว่า การเดินทางไปสุสานจิ่นอีโหวครั้งนี้ตนเองจะไม่กลับมาอีก… นึกไม่ถึงว่าเขาจะวางแผนมาจนถึงตอนนี้
“แค่ก แค่ก แค่ก… ”
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง ภายในใจร้อนรุ่มและไอออกมาไม่หยุด
ทุกคนต่างมองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าเป็นกังวล เยี่ยโยวเหยารวบซูจิ่นซีเข้าสู่อ้อมแขนด้วยความปวดใจ เทพโอสถและหมอเทวดาเรียกนางอย่างเป็นกังวล “เจ้าสำนัก… ” ก่อนจะรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรให้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีโบกมือห้าม “นอกจากสิ่งของพวกนี้ จิ่วหรงยังทิ้งอันใดไว้อีกบ้าง? เขาทิ้งคำพูดใดไว้หรือไม่? หรือพูดว่าเขาไปที่ใด? จะกลับมาเมื่อไร? ”