สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1068 คนพวกนี้เลวมาก
องครักษ์เงายังไม่ทันได้ไปตาม อู๋จุนก็กลับมาก่อน เมื่อได้ยินข่าวว่าซูจิ่นซีและถังเสวี่ยถูกคนไหวเจียงจับตัวไปจึงรีบมุ่งหน้าไปแคว้นไหวเจียง องครักษ์เงาจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่
ในค่ายใหญ่ชายแดนทางใต้ ในไม่ช้าเยี่ยโยวเหยาก็ได้รับข่าวที่ซูจิ่นซีและถังเสวี่ยถูกจับไป ในตอนนั้นที่กระโจมยังมีมู่หรงฉี ตงหลิงหวง หลานเสวียนหมิง และแม่ทัพใหญ่คนสำคัญอีกหลายฝ่ายอยู่ด้วย
ทันทีที่ได้ยินข่าว จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็ลุกขึ้นและไม่นานก็นั่งลงไปอีกครั้ง เขาบีบจอกสุราจนแตกละเอียด บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกทำให้รู้สึกพรั่นพรึง ในกระโจมจึงไม่มีผู้ใดกล้าพูด
หลานเสวียนหมิงและแม่ทัพคนอื่นๆ อีกหลายคนเห็นสถานการณ์อึมครึมจึงถอยออกไป ในกระโจมจึงเหลือเพียงเยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉี และตงหลิงหวงสามคน ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ลุกขึ้น คิดจะออกไปจากกระโจม มู่หรงฉีคว้าเยี่ยโยวเหยาไว้ “ท่านจะไปที่ใด? ”
“เปิดสงคราม! ”
“ไปไม่ได้! ”
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเผยความน่ากลัว “ปล่อย! ”
มู่หรงฉีไม่ปล่อย เยี่ยโยวเหยาจึงกล่าวว่า “อย่าคิดว่าเจ้าสกุลมู่หรงแล้วข้าจะไม่ลงมือกับเจ้า ปล่อย! ”
มู่หรงฉีกล่าว “ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงจิ่นซี ทว่าอู๋จุนไปที่แคว้นไหวเจียงแล้ว นอกจากนี้ ตอนนี้ยังไม่รู้เหตุจูงใจที่คนของแคว้นไหวเจียงลงมือกับซูจิ่นซี หากเพื่อเป็นการข่มขู่พวกเราเล่า? หากเกิดผลีผลามลงมือก่อน เกรงว่าจะยิ่งเสียเปรียบ”
กลับไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “อู๋จุนจะไปได้เรื่องอันใด”
ขณะที่กำลังคุยกันก็มีทหารเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง แคว้นไหวเจียงส่งผู้ส่งสารมาขอรับ”
มู่หรงฉีเกลี้ยกล่อมเยี่ยโยวเหยาอย่างยากลำบาก และให้คนพาผู้ส่งสารเข้ามาในกระโจม กลับไม่คิดว่าผู้ส่งสารจะเป็นคนที่จิ้นอี้เฉินส่งมาข่มขู่เยี่ยโยวเหยา เขาไม่เพียงต้องการให้เยี่ยโยวเหยาถอยทัพเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องการให้เยี่ยโยวเหยายกห้าเมืองของแคว้นจงหนิงให้ ถึงจะปล่อยซูจิ่นซีและถังเสวี่ยกลับไป
หากไม่ได้มู่หรงฉีห้ามไว้ เยี่ยโยวเหยาคงสั่งให้สังหารผู้ส่งสารตรงนี้ทันที
มู่หรงฉีเพียงกลัวว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่สงบสติและหุนหันทำเรื่องบางอย่างที่ย้อนกลับไปชดเชยไม่ได้ ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไล่ทุกคนออกจากกระโจมจนเหลือตนเองเพียงผู้เดียว
คืนนั้นภายในกระโจมของเยี่ยโยวเหยามืดสนิท ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอันใด ทว่ายืนยันว่าเขาไม่ได้ออกมา
ตงหลิงหวงกลับกระโจมของตนเองและเรียกทุกคนมาเพื่อหารือวิธีจัดการกับแคว้นไหวเจียงและวิธีช่วยซูจิ่นซี ทว่าจนถึงดึกดื่น การหารือก็ไม่มีวิธีที่ใช้การได้
ความเป็นจริง มู่หรงฉีเป็นห่วงเหมือนกับเยี่ยโยวเหยา ทว่าเขารู้ว่าตอนนี้ตนเองต้องใจเย็น หลังจากกลับมาที่กระโจมก็สอบถามคนอื่นๆ อย่างละเอียด กลางดึกก็ออกจากกระโจมมาเพียงลำพัง ยืนอยู่ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดเป็นเวลานาน ทอดสายตามองไปยังทิศทางของแคว้นไหวเจียง
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่หรงฉีและตงหลิงหวงไปหาเยี่ยโยวเหยา ไม่รู้ว่าทั้งสามคนคุยอันใดกันอยู่ในกระโจม จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงทั้งสองถึงได้ออกจากกระโจม ทันใดนั้นกองทัพของทั้งสามแคว้นจึงถอยทัพไปตั้งค่ายอยู่ห่างออกไปยี่สิบลี้ และแต่ละแคว้นได้เขียนจดหมายรบและให้คนส่งไปที่แคว้นไหวเจียงเพื่อแสดงเจตจำนงพักรบชั่วคราว
ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็หาคนมาทำหน้าที่แทนตนเองที่ค่ายใหญ่ของแคว้นจงหนิง และส่งต่องานด้านการทหารและดูแลกองทัพให้มู่หรงฉีและตงหลิงหวงจัดการ จากนั้นก็แอบปลอมตัวลักลอบเข้าไปในแคว้นไหวเจียง
หลังจากซูจิ่นซีและถังเสวี่ยถูกจิ้นอี้เฉินพาตัวไปก็ถูกนำไปที่แคว้นไหวเจียงและขังอยู่ในจวนราชครู เป็นเวลาสองวันสองคืนที่พวกนางไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารการกิน
ท้องถังเสวี่ยร้องโครกครากทว่ากลับพูดปลอบซูจิ่นซีว่า “เจ้าวางใจ พี่เป่าอวี้จะต้องมาช่วยพวกเรา เขาจะต้องมาช่วยพวกเราออกไปแน่นอน”
ซูจิ่นซีนั่งพิงกำแพง สีหน้าไม่ค่อยดีนัก นางยกยิ้มมุมปากโดยไม่พูดอันใด
แสงในห้องค่อนข้างสลัวและอับชื้น สภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่ดีต่อคนท้องเป็นอย่างมาก ซูจิ่นซีรู้สึกไม่สบายตัวตลอดเวลา
ถังเสวี่ยเห็นท่าทางแปลกๆ ของซูจิ่นซีจึงรีบลุกไปหาซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหน? ขอข้าดูหน่อย” แม้วิชาแพทย์ของถังเสวี่ยไม่ค่อยดีนัก ทว่านางเป็นหมอยาจึงพอเข้าใจอยู่บ้าง
ซูจิ่นซียื่นมือออกไม่ให้ถังเสวี่ยดู “ข้ารู้ร่างกายตนเองดีที่สุด ข้าไม่เป็นอันใด”
“จะไม่เป็นอันใดได้อย่างไร? ” ถังเสวี่ยเริ่มกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ “หน้าเจ้าซีดมากแล้ว คนสารเลวพวกนี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว ไม่ให้อาหารพวกเราก็ช่าง นึกไม่ถึงว่าน้ำสักหยดก็ไม่ให้ตลอดสองวันสองคืน เจ้าเป็นคนท้องจะทนไหวได้อย่างไร? ”
นางพูดพลางพุ่งตัวไปที่ประตูแล้วใช้เท้าเตะอย่างแรง “พวกเจ้า พวกข้าหิวแล้ว อยากทานอาหาร พวกเจ้า มีผู้ใดอยู่หรือไม่? ”
“…” ด้านนอกไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ถังเสวี่ยจึงเตะประตูอย่างแรงอีกครั้ง “มีลมหายใจอยู่หรือไม่ ตอบที”
เมื่อสิ้นเสียงก็ได้ยินเพียงเสียงฟ่อ งูเขียวตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาทางรอยแยกของประตู แลบลิ้นโจมตีถังเสวี่ยที่อยู่หน้าประตู ถังเสวี่ยตกใจกลัวจนหน้าซีด นางร้องลั่นและถอยไปด้านหลังสองก้าวจนล้มลงบนพื้น
งูโจมตีพลาด จากนั้นจึงโจมตีใส่ถังเสวี่ยอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันใกล้จะกัดคอถังเสวี่ย ทันใดนั้นเข็มเงินวาววับก็พุ่งมาจากในความมืดและปักเข้าที่คอของงูเขียวตัวเล็กจนตกลงบนพื้นเสียงดังตุบ
สิ่งที่ถังเสวี่ยกลัวที่สุดก็คืองู นางหน้าซีด น้ำตาไหลออกมา ก่อนจะรีบลุกไปอยู่ข้างกายซูจิ่นซี กอดไหล่ซูจิ่นซีแน่นด้วยตัวสั่นเทา “น่ารังเกียจเกินไปแล้ว พวกเขา… นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะปล่อยงู หากไม่… หากไม่ใช่เพราะเจ้าลงมือได้ทันเวลา งูตัวนั้นคงกัดข้าไปแล้ว”
ซูจิ่นซีลูบไหล่ถังเสวี่ยเบาๆ เพื่อปลอบโยน “อย่ากลัวไปเลย ก็แค่งูเขียวตัวเล็ก พิษไม่รุนแรง ข้ากำจัดมันให้แล้ว”
ด้านนอกมีเสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้น “อย่าส่งเสียงดัง หากเสียงดังอีกยังมีสิ่งที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้รอพวกเจ้าอยู่”
ถังเสวี่ยเกลียดที่สุด ทว่านางไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกไป นางซบไหล่ซูจิ่นซี ร่างกายสั่นเทาอยู่ตลอด
ดวงตาของซูจิ่นซีเหม่อมองออกไปไกล ดูม่านหน้าต่างที่มีแสงสาดส่องเข้ามา แม้หน้าต่างจะถูกปิดสนิท ทว่าแสงนั้นทำให้ทราบได้ว่าด้านนอกเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
สองวันสองคืนเต็ม เยี่ยโยวเหยาน่าจะได้ข่าวที่พวกนางถูกจับตัวไป จิ้นอี้เฉินจะต้องใช้พวกนางข่มขู่ให้กองทัพใหญ่ทั้งสามแคว้นล่าถอยอย่างแน่นอน เยี่ยโยวเหยาจะเลือกอย่างไร? หากถอยทัพ แคว้นหนานหลีมีผลกระทบแน่นอน ทว่าแคว้นตงเฉินจะเลือกอย่างไร? แล้วกองทัพตระกูลหลาน พวกเขาติดตามเยี่ยโยวเหยาออกรบเป็นเวลาหลายปี สิ่งที่รอคอยคือการทำลายแคว้นไหวเจียง รวมแคว้นเป็นหนึ่ง ฟื้นฟูจักรวรรดิต้าฉินไปอีกขั้น เมื่อเห็นว่าทุกเมืองที่หายไปใกล้จะยึดคืนมาได้แล้ว พวกเขาจะยอมให้เยี่ยโยวเหยาล่าถอยหรือไม่?
ซูจิ่นซีคิดอยู่เนิ่นนานและคิดหลายๆ เรื่อง
ไม่รู้ว่าถังเสวี่ยที่กำลังซบไหล่นางอยู่หลับไปตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจเพราะหิวมาก ขณะฝันอยู่ปากก็เคี้ยวเสียงดังจุ๊บจั๊บ