สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1070 ความตั้งใจของเยี่ยเซิน
ในขณะที่ซูจิ่นซีและถังเสวี่ยกำลังจะถูกโยนลงเตาไฟ ทันใดนั้นมีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาพูดกับจิ้นอี้เฉินว่า “รายงาน ท่านราชครู รองเจ้าสำนักเยี่ยขอเข้าพบขอรับ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน”
จิ้นอี้เฉินยกมือขึ้น เพื่อให้หยุดลงมือกับซูจิ่นซีและถังเสวี่ย ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “มีเรื่องอันใด?
“รองเจ้าสำนักไม่ได้พูดขอรับ กำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงใหญ่”
จิ้นอี้เฉินเหลือบมองซูจิ่นซีและถังเสวี่ยด้วยแววตาดุดัน พูดกับผู้ปรุงยาว่า “ปล่อยพวกเขาลงก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”
“ทว่า…” หลานอวี่ยังอยากจะพูดบางอย่าง ทว่าจิ้นอี้เฉินเดินออกนอกประตูไปทันที ไม่เปิดโอกาสให้นางพูดเลย
หลานอวี่ถลึงตาใส่ซูจิ่นซีและถังเสวี่ยและพูดว่า “โชคดีของเจ้าสองคน” หลังพูดจบก็รีบเดินออกไปที่ประตูด้วยความโกรธ
บ่าวรับใช้วางซูจิ่นซีและถังเสวี่ยลงบนพื้น ใบหน้าและร่างกายของทั้งสองเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่เย็นยะเยือก ใบหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนเป็นเหลืองซีด เท้าของนางอ่อนแรงจนแทบจะเป็นลม ถังเสวี่ยเข้าไปประคองซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว “ซูจิ่นซีเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูจิ่นซีไม่ได้กินอันใดมาสองวันแล้ว นางแทบจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ถังเสวี่ยตะโกนเรียกผู้ปรุงยา “รีบไปเอาน้ำมา นางทนไม่ไหวแล้ว และไปนำอาหารมาด้วย”
ผู้ปรุงยาต่างมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดขยับ ถังเสวี่ยพูดด้วยท่าทีเร่งรีบ “ยังไม่รีบไปอีก จิ้นอี้เฉินบอกว่าต้องการใช้พวกเราหลอมเป็นยาวิเศษ ทว่าไม่ได้บอกว่าต้องการให้พวกเราอดตาย หากพวกเราอดอยากตายจริงๆ ผู้ใดจะรับผิดชอบ”
ทุกคนต่างหันไปมองที่หัวหน้าผู้ปรุงยาที่รับผิดชอบเรื่องนี้
หัวหน้าผู้ปรุงยากล่าว่า “เรื่องนี้ต้องให้ประมุขหลานตัดสินใจ” จากนั้นส่งคนไปถามหลานอวี่
จิ้นอี้เฉินรีบเดินมาที่ห้องโถงใหญ่
ตั้งแต่ออกจากสุสานจิ่นอีโหวครั้งล่าสุด เยี่ยเซินได้เลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองเจ้าสำนักห้าพิษ และตอนนี้เขากับหลานอวี่ร่วมกันดูแลสำนักห้าพิษ
เยี่ยเซินกำลังรอจิ้นอี้เฉินในห้องโถงใหญ่
สีหน้าจิ้นอี้เฉินไม่สู้ดีนัก เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ด้วยใบหน้าเคร่งครึม โดยไม่พูดอันใด นั่งลงบนเก้าอี้ราชครูที่อยู่ด้านบน
เยี่ยเซินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ท่านราชครู ได้ยินว่าท่านจะใช้ซูจิ่นซีกับถังเสวี่ยหลอมยาวิเศษใช่หรือไม่?”
“เป็นอย่างไรหรือ? เจ้าใจอ่อนหรือ?”
เยี่ยเซินก้มหน้า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
จิ้นอี้เฉินหัวเราะเสียงดัง “ซูจิ่นซีผู้นี้ไม่ใช่สตรีธรรมดา ในเมื่อนางเป็นสตรีของเยี่ยโยวเหยาแล้ว เกรงว่าเจ้าคิดห่วงใยนางไปก็ไร้ประโยชน์กระมัง หากเป็นเช่นนั้นก็ควรล้มเลิกความคิดนี้แต่เนิ่นๆ เถิด!”
เยี่ยเซินพูดว่า “ข้าน้อยมาคราวนี้ เพื่อซูจิ่นซีจริงๆ ทว่าไม่ใช่เพื่อนางเพียงคนเดียว ทว่าเพื่อแคว้นไหวเจียงของเราอีกด้วย” เขาพูดพลางหยิบจดหมายจากอกเสื้อแล้วยื่นให้จิ้นอี้เฉิน
จิ้นอี้เฉินหยิบมันขึ้นมาและเปิดจดหมายอ่าน จากนั้นค่อยๆ ขมวดคิ้วเครียด
เยี่ยเซินอธิบายว่า “แคว้นจงหนิง แคว้นหนานหลี และแคว้นตงเฉิน กองทัพทั้งสามแคว้นใหญ่ได้ล่าถอยเพื่อเห็นแก่ชีวิตของซูจิ่นซี ทว่าสิบสี่ชนเผ่าแห่งหมิ่นหนาน และสามสิบหกเกาะฉวยโอกาสนี้โจมตีแคว้นไหวเจียง คิดก่อความวุ่นวาย หากสังหารซูจิ่นซีและถังเสวี่ยตอนนี้ เยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉี และตงหลิงหวง ทั้งสามจะต้องรวบรวมกองทัพทั้งสามแคว้นเข้าโจมตีอีกครั้งอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นแคว้นไหวเจียง ต้องเผชิญศึกทั้งนอกและใน เกรงว่ายากที่จะรอดจากสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปได้!”
จิ้นอี้เฉินจ้องใบหน้าเยี่ยเซินด้วยความเคร่งขรึม และไม่พูดอันใด
เยี่ยเซินเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริมว่า “ท่านราชครู จะสงบศึกภายนอกได้นั้นต้องทำให้ศึกภายในสงบลงก่อนขอรับ”
ไม่รู้ว่าจิ่นอี้เฉินกำลังครุ่นคิดสิ่งใด จากนั้นจึงพูดว่า “เยี่ยเซิน อย่างไรเจ้าก็เคยเป็นรัชทายาทแคว้นจงหนิง และเสด็จพ่อของเจ้ายังคงอยู่ในเงื้อมมือเยี่ยโยวเหยา หรือว่าเจ้าไม่ได้คิดจะยกกองทัพกลับไปแคว้นจงหนิงบ้างหรือ?”
“คิด!” เยี่ยเซินตอบอย่างไม่ลังเล ขณะที่หันหลังกลับไป ดวงตาแดงก่ำ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ข้าน้อยคิดตลอดเวลา คิดจะยกกองทัพกลับไปแคว้นจงหนิงอีกครั้ง เพื่อทวงคืนทุกสิ่งที่ข้าสมควรได้รับกลับคืนมา แทบรอไม่ไหวที่จะสังหารเยี่ยโยวเหยาด้วยคมมีด อยากจะเลาะกระดูกของเขา ดื่มเลือดของเขา”
จิ้นอี้เฉินยิ้มและลุกขึ้นเดินออกไป โดยไม่พูดอันใด
ดวงตาที่แดงก่ำของเยี่ยเซินค่อยจางหายไป และกำมือแน่น หลังจากนั้นไม่นาน ก็ออกนอกจวนราชครู
ซูจิ่นซีและถังเสวี่ยถูกส่งกลับไปห้องมืดหนาวเย็นอีกครั้ง แม้จะมีอาหารส่งมา แต่ก็บูดและมีกลิ่นเหม็น น้ำก็มีกลิ่น พวกนางจึงไม่ได้กิน
ถังเสวี่ยจิบน้ำแล้ว พ่นออกมาทันที “บัดซบ นี่มันบ้าอะไรกันแน่ บูดเสียเหม็นเปรี้ยวไปหมด ดื่มเข้าไปได้อย่างไร? ยังมีของเหล่านี้อีก ก็กินไม่ได้”
ซูจิ่นซีรู้สึกทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก เมื่อได้กลิ่นก็รู้สึกอยากอาเจียน
ถังเสวี่ยพูดว่า “ต้องเป็นเจ้าหลานอวี่ทำสิ่งเหล่านี้แน่ๆ นางจงใจกลั่นแกล้งพวกเรา กลัวพวกเราอดตายจนไม่อาจอธิบายต่อจิ้นอี้เฉินได้ จึงส่งสิ่งเหล่านี้มา
ภายในใจซูจิ่นซีรู้อย่างชัดเจนจึงไม่ได้พูดอันใด
สีหน้าถังเสวี่ยแสดงถึงการโทษตัวเอง “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า ซูจิ่นซี หากตอนนั้นข้าตอบสนองเร็วอีกนิด เร็วขึ้นอีกนิด บางทีพวกเราอาจไม่ถูกจับมาอยู่ที่นี่”
“เรื่องนี้ จะกล่าวโทษเจ้าได้อย่างไร! เจ้าอย่าโทษตัวเอง “
“ถังเป่าอวี้ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด? เขาจะรู้หรือไม่พวกเราถูกจับมาอยู่ที่แคว้นไหวเจียง?” ผ่านมาหลายวันแล้ว ข้างนอกยังไม่มีข่าวเลย “ถังเสวี่ยพูดพลางสายตาทอดยาวมองออกไปนอกหน้าต่าง
ขณะทั้งสองกำลังคุยกัน ทันใดนั้นมีเสียงสตรีดังออกมาจากนอกหน้าต่าง “แม่นางจิ่นซี แม่นางจิ่นซี……”
ถังเสวี่ยตกตะลึงครู่หนึ่ง รีบประคองซูจิ่นซีเดินไปตามทิศทางของเสียง
หน้าต่างด้านหลังไม่ได้ถูกปิดผนึกแน่น ยกแผ่นไม้ออก จากนั้นหน้าต่างก็ค่อยๆ เปิดออก ด้านนอกเผยให้เห็นใบหน้าของสาวใช้
สาวใช้ผู้นั้นมีท่าทีฉลาดเฉลียว เปิดกล่องอาหารที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง จากนั้นส่งกับข้าวสองสามจานและข้าวต้มสองชาม
“แม่นางจิ่นซี สิ่งนี่รองเจ้าสำนักของเราให้ข้ามาส่งให้พวกท่าน พวกเจ้ากินได้อย่างสบายใจ ยังร้อนอยู่ กินเสร็จแล้วซ่อนจานไว้อย่าให้ผู้ใดเห็น คราวหน้าข้าน้อยจะนำอาหารมาส่งให้อีกเจ้าค่ะ”
ถังเสวี่ยยังไม่ถามอันใด เห็นท่าทางสาวใช้ระมัดระวังอย่างมาก ตัวเองจึงรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา จึงรีบรับชามเหล่านั้นมาอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีถามว่า “รองเจ้าสำนักของเจ้าคือผู้ใด?” ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแคว้นไหวเจียงยังมีรองเจ้าสำนัก
สาวใช้ผู้นั้นยังไม่ทันได้ตอบคำถาม มีคนเดินเข้ามาใกล้ๆ จึงรีบปิดหน้าต่างและปิดผนึกแผ่นนั้นอีกครั้ง ก่อนจากไป ทิ้งข้อความไว้เพียงประโยคเดียวว่า “รองเจ้าสำนักของเราบอกว่า มีเขาอยู่ แม่นางโปรดวางใจ ในแคว้นไหวเจียงจะไม่มีผู้ใดทำอันตรายแม่นางถึงแก่ชีวิตได้”
ถังเสวี่ยนำอาหารและข้าวต้มวางบนโต๊ะที่อยู่ในห้อง ประคองซูจิ่นซีให้นั่งลง “รองเจ้าสำนักที่สาวใช้ผู้นั้นกล่าวถึงคือผู้ใดกันแน่? ซูจิ่นซียังรู้จักผู้ใดในแคว้นไหวเจียงอีกหรือ? คราวก่อนตอนที่มาตามหาดินอมฤตเหตุใดจึงไม่ได้พูดถึง? ให้ข้าและถังเป่าอวี้เสียแรงและเวลาไปไม่น้อย”
ซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใด ถังเสวี่ยดื่มโจ๊กหนึ่งคำ ร้องด้วยเสียง “โอ๊ย” สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ซูจิ่นซีรีบถาม “เกิดอันใดขึ้น?”
ถังเสวี่ยพูดว่า “แย่แล้ว ยังไม่ได้ทดสอบพิษ มียาพิษอยู่ทุกหนแห่งในแคว้นไหวเจียง ไม่อาจกินสิ่งของใดได้ตามใจได้ หากมียาพิษจะทำอย่างไร?”
ซูจิ่นซีหัวเราะเล็กน้อย “กินเถิด ไม่มีพิษ หากพวกเขาต้องการวางยาพิษเจ้ากับข้า มีวิธีอื่นตั้งมากมาย”
ถังเสวี่ยหัวเราะ แหะ แหะ กินอย่างไม่สนใจอันใด “เจ้ารู้ได้อย่างไร?เจ้ารู้จักสาวใช้ที่มาส่งอาหารหรือ?”
นางพูดพลางยื่นโจ๊กอีกชามให้ซูจิ่นซี จากนั้นยื่นตะเกียบให้นาง
ซูจิ่นซีกินพลาง พูดอย่างสบายๆ ว่า “หากข้าทายไม่ผิด น่าจะเป็นเยี่ยเซิน”
“เยี่ยเซิน?” แววตาถังเสวี่ยเปล่งประกายแสดงถึงความประหลาดใจ จากนั้นเริ่มก้มหน้ากินโดยไม่พูดสิ่งใด