สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 37 ตอนที่ 1082 คำพูดยโสโอหัง
อย่างไรก็ตาม ถังเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าเยี่ยเซินจะเก็บกระบี่ยาวและเดินอ้อมนางไปหาซูจิ่นซี เขาคว้าแขนของซูจิ่นซีแล้ววิ่งออกไป “ไป รีบตามข้าไป! ”
ซูจิ่นซีและถังเสวี่ยตกตะลึง “เยี่ยเซิน เจ้ากำลังทำอันใด? ”
“ไม่มีเวลาอธิบาย ทว่าซูจิ่นซี เจ้าต้องเชื่อใจข้าสักครั้ง ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ พาเจ้าไปพบเยี่ยโยวเหยาอย่างปลอดภัย เจ้าเชื่อข้า”
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้พูดสิ่งใด เยี่ยเซินก็ลากนางออกไป ขณะที่นางมาถึงทางเข้าวังใต้ดิน องครักษ์พิษก็เดินเข้ามาหาพวกเขาแล้ว
ถังเสวี่ยสังเกตคำพูดและการแสดงออกของเขา แม้จะไม่เข้าใจสาเหตุที่เยี่ยเซินเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันเช่นเดียวกับซูจิ่นซี ทว่านางก็วิ่งตามติดออกไปโดยไม่พูดอันใด
องครักษ์พิษเข้ามาใกล้ “รองเจ้าสำนัก! ”
เยี่ยเซินพูดว่า “ข้าได้สอบสวนทั้งสองคนตามคำสั่งของราชครูแล้ว ทว่ายังมีรายละเอียดบางอย่างที่ต้องรายงานให้ราชครูทราบ”
องครักษ์พิษพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้รองเจ้าสำนักโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปรายงานราชครูเพื่อยืนยันกับราชครูก่อนขอรับ”
“ไม่จำเป็น” เยี่ยเซินพูด “ข้าจะพาพวกนางสองคนไปพบราชครูด้วยตนเอง”
องครักษ์พิษดูเหมือนจะมีความสงสัย เขายังคงยืนขวางเยี่ยเซินไม่ขยับไปไหน สีหน้าของเยี่ยเซินพลันเปลี่ยนไปและพูดว่า “ทำไม? ท่านราชครูจะทำสิ่งใดต้องอธิบายองครักษ์เฝ้าประตูอย่างเจ้าหรือ? ”
องครักษ์พิษเห็นเยี่ยเซินโกรธจริงๆ จึงรีบถอยออกไปและพูดว่า “ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น รองเจ้าสำนักโปรดให้อภัย รองเจ้าสำนักเชิญ! ”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เยี่ยเซินพาซูจิ่นซีและถังเสวี่ยเดินออกไปนอกวังใต้ดิน จิตใจของซูจิ่นซีและถังเสวี่ยอึกอักติดอยู่ในลำคอตลอดเวลา หัวใจเต้นแรง ตึก ตึก และมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง
เมื่อคาดว่าออกมาไกลพอสมควรแล้ว และไม่ได้ยินเสียงองครักษ์พิษที่อยู่ด้านหลังพวกเขา ซูจิ่นซีจึงกระซิบกับเยี่ยเซินด้วยคำพูดบางอย่าง “เยี่ยเซิน เจ้า… ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันได้พูดประโยคถัดไปจนจบ เยี่ยเซินก็พูดขัดจังหวะ “อย่าพูด เชื่อใจข้า ข้าจะพาเจ้าออกไป”
“ทว่าเยวี่ยไหวชิ่งยังอยู่ในวังใต้ดิน” ถังเสวี่ยกล่าว
“ไม่ต้องกังวล เยวี่ยไหวชิ่งเป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์แคว้นไหวเจียง ตระกูลเยวี่ยยังอยู่ แม้ภายหลังจะพบว่าพวกเราหนีไปแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง จิ้นอี้เฉินจะไม่ทำอันใดนางแน่”
ซูจิ่นซีครุ่นคิด สิ่งที่เยี่ยเซินพูดมาก็สมเหตุสมผล นางจึงเดินออกไปพร้อมกับเยี่ยเซิน
หลายปีที่ผ่านมา เยี่ยเซินรู้จักพื้นที่ในจวนราชครูเป็นอย่างดี เขาพาซูจิ่นซีและถังเสวี่ยไปยังจุดที่มีคนไม่มากนัก อีกทั้งจงใจหลบเลี่ยงองครักษ์ที่ลาดตระเวน เดินอ้อมผ่านระเบียงหลายแห่ง และเห็นว่ากำลังใกล้ถึงทางออกประตูข้างจวนราชครู กลับไม่คาดคิดว่า จู่ๆ ก็มีองครักษ์พิษจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้
เยี่ยเซินขมวดคิ้วแน่น มือที่จับแขนซูจิ่นซีสั่นเล็กน้อย ใจกลางฝ่ามือปกคลุมไปด้วยเหงื่อ
ระหว่างคิ้วของซูจิ่นซีเผยอาการไม่สู้ดีนัก ถังเสวี่ยรีบเข้าไปพยุงแขนซูจิ่นซีด้วยท่าทีเป็นกังวล
องครักษ์พิษหลีกเป็นช่องทางเดิน หลานอวี่เดินออกมา
“รองเจ้าสำนักเยี่ย เจ้าเดินลับๆ ล่อๆ มาตลอดทาง ต้องการจะไปที่ใดหรือ? ประตูหลักของจวนราชครูก็เปิดอยู่ รองเจ้าสำนักเยี่ยไม่เดินออกทางประตูหลักเล่า? เพราะเหตุใดถึงต้องออกทางประตูข้างนี้ด้วย? ” ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ สายตาของนางก็มองไปที่ซูจิ่นซีและถังเสวี่ย “อ้าว พระชายาโยวอ๋องกับแม่นางถังเสวี่ย คนที่ราชครูเชิญมาแคว้นไหวเจียงเมื่อไม่กี่วันก่อนมิใช่หรือ? รองเจ้าสำนักมาอยู่กับนางได้อย่างไร? ”
สีหน้าของเยี่ยเซินเตรียมพร้อมเต็มที่ เขายืนขวางอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซี แววตาเย็นชาเต็มไปด้วยไอสังหาร
หลานอวี่มองท่าทางของเยี่ยเซินพลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มลงมองป้ายคำสั่งบนเอวของเยี่ยเซินอีกครั้ง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
“หากข้าจำไม่ผิด ตอนที่มอบป้ายคำสั่งราชครูให้เจ้า ข้าก็พูดอย่างชัดเจนแล้ว เยี่ยเซิน ราชครูมอบป้ายคำสั่งให้เจ้าและสั่งให้เจ้าสังหารซูจิ่นซี เห็นได้ชัดว่ารองเจ้าสำนักเยี่ยไม่เข้าใจเจตนาของราชครู เช่นนั้นให้ข้าอธิบายให้เจ้าฟังอีกครั้งแทนราชครูดีหรือไม่? ”
“ไม่จำเป็น! ” เยี่ยเซินชักกระบี่ออกมาทันที “วันนี้ข้าต้องการชีวิตของซูจิ่นซี ข้าต้องการพานางออกไป ผู้ใดกล้าขวางทางอย่าโทษว่ากระบี่ในมือของข้าไม่มีตา”
หลานอวี่ยิ้มเยาะเล็กน้อย “รองเจ้าสำนักเยี่ยอารมณ์ร้ายจริงๆ ! ข้าคิดว่าเจ้าคงลืมไปแล้ว เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีข่มเหงขับไล่เจ้าเหมือนสุนัข เป็นผู้ใดที่ช่วยชีวิตเจ้ายามวิกฤติและให้ที่อยู่แก่เจ้า เจ้ายังกล้าพูดจาโอหังเช่นนี้! ”
หลานอวี่และกูสือซานช่วยชีวิตเขาในตอนนั้นเป็นเรื่องจริง หลายปีที่ผ่านมาพวกเขายังมอบที่อยู่ในแคว้นไหวเจียงที่สงบสุขแก่เขา ทว่าก็เป็นพวกเขาเช่นกันที่ทำให้เขาสูญเสียศักดิ์ศรีไปโดยสิ้นเชิง หลายปีที่ผ่านมาเขาอยู่ภายใต้คำสั่งของจิ้นอี้เฉิน และทำงานข้างกายหลานอวี่และกูสือซานมาโดยตลอด เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเหมือนเดินบนผืนน้ำแข็งเปราะบาง ไม่ได้ดีไปกว่าสุนัขตัวหนึ่ง เขากังวลอยู่เสมอว่าพวกเขาจะใช้ยาพิษจัดการตนเมื่อไร
สาเหตุที่เขาตัดสินใจทรยศแคว้นไหวเจียงครั้งนี้ก็เพราะเยี่ยโยวเหยารักซูจิ่นซีมาก จึงให้โอกาสเขาได้สร้างผลงาน อีกทั้งในใจลึกๆ ของเขาไม่ต้องการเป็นพวกเดียวกับคนกลุ่มนี้
“พูดจายโสโอหัง ต่อสู้กันก็รู้” เยี่ยเซินส่งซูจิ่นซีให้ถังเสวี่ย “ดูแลจิ่นซีให้ดีๆ ! ” จากนั้นเขาก็ยกกระบี่ยาวโจมตีหลานอวี่ทันที
หลานอวี่ก็ไม่ลังเล แววตาของนางเป็นประกาย หลังจากถอยหลังสองก้าวหลบหลีกการโจมตีของเยี่ยเซินแล้ว นางก็โจมตีกลับทันที ไม่นานนักทั้งสองก็เข้าพัวพันต่อสู้
องครักษ์พิษมีท่าทีขึงขัง พวกเขาพุ่งเป้าไปที่ซูจิ่นซีกับถังเสวี่ย ทั้งสองประคองซึ่งกันและกัน ค่อยๆ ถอยไปที่มุมกำแพง ท่าทางของซูจิ่นซีเพิ่มความระมัดระวังอย่างมาก
ถังเสวี่ยเม้มริมฝีปากด้วยความกังวล “ซูจิ่นซี ตอนนี้เจ้าอุ้มท้อง เจ้าลงมือเองได้หรือ อย่าลงมือ สัตว์เทพกิเลนของเจ้าอยู่ที่ใด แล้วจิ้งจอกน้อยตัวนั้นเล่า ปล่อยมันออกมาเถิด! ”
ซูจิ่นซีมีสีหน้าเคร่งขรึม “ตั้งแต่ออกจากสุสานจิ่นอีโหว เจ้าเก้าสีก็หายไป สัตว์เทพกิเลนก็หายตัวไปบ่อยๆ ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ข้างกายข้า! ”
“อ้าว? ” ถังเสวี่ยตกตะลึง “แล้วควรทำอย่างไร? องครักษ์พิษจำนวนมากมาย พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้แน่! ”
วรยุทธ์ของเยี่ยเซินแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก เขาสามารถรับมือกับหลานอวี่ได้ ทว่าองครักษ์พิษมีจำนวนมาก เขาจึงไม่สามารถรับมือเพียงลำพังได้
ซูจิ่นซีพลิกฝ่ามือเรียกกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมา นางกุมกระบี่ในมือแน่น และหันไปประจันหน้ากับองครักษ์พิษที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้พวกนาง “ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นแล้ว สู้ให้ถึงที่สุดค่อยว่ากัน! ” ขณะที่พูด องครักษ์พิษหลายคนก็พุ่งเข้าโจมตีทั้งสองคนอย่างกะทันหัน ซูจิ่นซีลากถังเสวี่ยหลบการโจมตีขององครักษ์พิษ ไม่นานนักนางก็เข้าต่อสู้กับองครักษ์พิษ
ถังเสวี่ยไม่มีเวลาให้คิดมาก นางชักกระบี่ของตนเองออกมาต่อสู้กับองครักษ์พิษ