สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 37 ตอนที่ 1090 สตรีผู้นี้คิดจะปิดบังข้าทั้งชีวิต
“ตื่นแล้วๆ ในที่สุดก็ตื่นแล้ว! ”
“รีบเอาน้ำแกงโสมให้นางดื่ม”
เมื่อสิ้นเสียง ช้อนก็จ่ออยู่ที่ริมฝีปากของซูจิ่นซี นางอ้าปากเล็กน้อยแล้วกลืนน้ำแกงโสมรสหอมหวานลงไป
จากนั้นเสียงสตรีผู้หนึ่งก็ดังอยู่ข้างใบหู “ฮูหยิน ในเมื่อท่านตื่นแล้ว พวกเราออกแรงเต็มที่ เด็กในครรภ์ตัวโตมากจึงคลอดยากหน่อย ทว่าท่านวางใจ ข้าทำคลอดมานานหลายปี มีประสบการณ์ ขอเพียงท่านฟังข้าก็จะไม่เป็นอันใดแน่นอน”
ซูจิ่นซีไม่ทันได้ตอบ สตรีผู้นั้นก็เอ่ยเสียงดังอีกครั้ง “เปลี่ยนน้ำร้อน ฮูหยิน ออกแรงเบ่ง ออกแรงเบ่ง… ”
ซูจิ่นซีปวดท้องอย่างรุนแรงจนไม่สนสิ่งใดและอดออกแรงเบ่งตามที่สตรีผู้นั้นบอกไม่ได้ ในเวลาเพียงครู่เดียว เม็ดเหงื่อบนหน้าผากของซูจิ่นซีก็เพิ่มมากขึ้นเหมือนถูกน้ำรด
สามวันสามคืนผ่านไปเต็มๆ เด็กก็ยังไม่คลอดออกมา ซูจิ่นซีรู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางเริ่มเบาหวิว เหมือนไม่ใช่ตนเองอีกต่อไป แม้กระทั่งสติก็พร่าเลือนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าแม่น้ำลืมเลือนได้ชำระล้างคำสาปเผ่าเม้ยไปแล้วจริงๆ หรือไม่? จิตวิญญาณทั้งสามดวงของนางได้ผนึกรวมกันอย่างมั่นคงแล้วหรือไม่? หากไม่เป็นเช่นนั้น เกรงว่าการคลอดครั้งนี้จะเป็นคราวเคราะห์ของนางแน่
ทว่านางยังอาลัยอาวรณ์ เสียดายมิติเวลานี้ ทิ้งเด็กคนนี้ไม่ลง คิดถึงเยี่ยโยวเหยา และเป็นห่วงทุกคนในมิติเวลานี้
ในที่สุดซูจิ่นซีก็หมดเรี่ยวแรง ทั่วทั้งร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ พลางเอนกายนอนอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง
น้ำเสียงของหมอตำแยเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด “ฮูหยิน นอนไม่ได้ นอนไม่ได้เด็ดขาด หากหลับไปตอนนี้จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก น้ำแกงโสมเล่า? รีบให้ฮูหยินจิบน้ำแกงโสม”
ของเหลวอุ่นๆ ไหลเข้าปากอย่างเชื่องช้า ซูจิ่นซีสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ไหลเวียนจากในปากสู่ช่องท้องได้อย่างชัดเจน จากนั้นจึงค่อยๆ กระจายไปตามหลอดเลือดทุกส่วนในร่างกาย
ทว่านางเหนื่อยมาก เหนื่อยมากจริงๆ …อยากจะหลับไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้ ขจัดความเหนื่อยล้าทั้งหมดออกไป
“จิ่นซี… ” ทันใดนั้น ในสติอันเลือนรางก็มีเสียงสดใสราวกับเสียงนกแสนไพเราะดังขึ้น
“จิ่นซี… ” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งและดังชัดเจนยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
สติที่เกือบจมดิ่งของซูจิ่นซีพลันชัดเจนขึ้นและพยายามตามหาที่มาของเสียงนั้นอย่างสุดความสามารถ ทว่าภายในจิตใต้สำนึกเป็นเพียงทุ่งหิมะสีขาวโพลนที่มองไม่เห็นสิ่งใด
“ท่านคือผู้ใด? ”
“ข้าเอง! ”
ทันใดนั้นหมอกสีขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นในจิตสำนึกของซูจิ่นซี ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง
เสื้อผ้าของเด็กหญิงคนนั้นพลิ้วไหวราวกับเมฆ สีหน้าอ่อนโยน ดวงตาสุกสกาวแจ่มใสราวกับแม่น้ำลำธาร ราวกับภูเขาน้ำแข็งและบัวหิมะ ราวกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างท่ามกลางแม่น้ำและทะเลอันกว้างใหญ่ ดูเหมือนจะรวบรวมความงดงามอันบริสุทธิ์ทั้งหมดบนโลกมาไว้ที่ร่างเดียว ซูจิ่นซีรู้สึกว่าใบหน้าของแม่นางผู้นี้คุ้นเคยอย่างมาก
“พวกเรา… เคยเจอกันที่ใดใช่หรือไม่? ”
“เป็นข้าเอง! ซูจิ่นซี ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ? ”
ซูจิ่นซีพยายามทบทวนความทรงจำอย่างสุดความสามารถว่าตนเองเคยเห็นเด็กหญิงตรงหน้าผู้นี้เมื่อใด ทว่าคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของซูจิ่นซี เด็กหญิงก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยืนเบื้องหน้าซูจิ่นซีแล้วจับมือนางมาวางบนหัวใจของตนเอง
ทันใดนั้นความทรงจำที่ชัดเจนก็ปรากฏขึ้นในสมองของซูจิ่นซี นางจำบางอย่างได้ทันที สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าคืออวิ๋นเชวี่ย อวิ๋นเชวี่ยในดินแดนลึกลับหุบเขาหลูเหว่ยใช่หรือไม่? ”
“ไม่ผิด เป็นข้าเอง! ”
ซูจิ่นซีมองเด็กหญิงตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง แม้รัศมีรอบตัวของเด็กหญิงตรงหน้าจะงดงามบริสุทธิ์กว่าดินแดนลึกลับของหุบเขาหลูเหว่ยอยู่เท่าตัว นอกจากนี้รูปร่างหน้าตายังเยาว์วัยกว่ามาก ทว่ามองอย่างละเอียดแล้วเป็นอวิ๋นเชวี่ยไม่ผิดแน่
เป็นอวิ๋นเชวี่ยจากริมฝั่งทะเลตงไห่ อวิ๋นเชวี่ยในดินแดนลึกลับหุบเขาหลูเหว่ยที่คอยท่านเทพมังกรไฟมากว่าหมื่นปี
ทว่าตอนนั้นที่หุบเขาหลูเหว่ย นางสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วไม่ใช่หรือ?
“ซูจิ่นซี พยายามอดทนอีกหน่อย ท่านต้องอดทน… ” อวิ๋นเชวี่ยจับมือซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีก้มหน้ามองสองมือที่ประคองมือตนเองไว้ มือนั้นค่อยๆ กลายเป็นทรายและสลายหายไป อวิ๋นเชวี่ยก็ค่อยๆ กลายเป็นทรายสลายหายไป
“ซูจิ่นซี ต้องอดทนต่อไป… ” เสียงของอวิ๋นเชวี่ยดังขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่าอีกครั้ง
ซูจิ่นซีตื่นขึ้นและถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“อุแว้… ”
ทันใดนั้นเสียงทารกร้องก็ดังสะเทือนสวรรค์และพสุธา
“คลอดแล้ว ฮูหยิน ในที่สุดก็คลอดออกมาแล้ว เป็นเด็กผู้ชาย”
ในเวลาเดียวกัน เยี่ยโยวเหยาและมู่หรงฉีได้นัดพบกันอีกครั้งที่ชายแดนระหว่างแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลี องครักษ์เงาส่งจดหมายให้อู๋จุน ถังเสวี่ย สำนักแพทย์เทียนอี หุบเขาร้อยบุปผา และฝ่ายอื่นๆ ทว่ายังคงไม่มีข่าวของซูจิ่นซี
ตั้งแต่แคว้นตงเฉินพ่ายแพ้แก่แคว้นเป่ยอี้ก็ไร้ข่าวคราวของฮ่องเต้และฮองเฮาแห่งแคว้นตงเฉิน ตงหลิงหวงพยายามแอบเข้าไปในดินแดนแคว้นตงเฉินเดิมพร้อมกับลูกน้องเพื่อตามหา ทว่า จู่ๆ ในวันนี้นางกลับหายตัวไปอีกคน
“เยี่ยโยวเหยา ข้าต้องไปแคว้นตงเฉิน หวงเอ๋อร์ นาง… หวงเอ๋อร์นางตั้งครรภ์ได้ราวสี่เดือนแล้ว” ขอบตาของมู่หรงฉีแดงก่ำ
เขาเพิ่งทราบข่าวนี้เมื่อวาน หากไม่ใช่เพราะลูกน้องของเขาได้ยินโดยบังเอิญขณะไปสืบข่าวที่พระราชวังแคว้นตงเฉิน เกรงว่าเขาคงไม่รู้เรื่องที่ตงหลิงหวงตั้งครรภ์ตลอดไป
สตรีผู้นี้ช่างใจร้ายจริงๆ นางคิดจะปิดบังเขาไปทั้งชีวิตหรือ?
เยี่ยโยวเหยายังตกใจเล็กน้อย
มู่หรงฉีกล่าวอีกครั้งว่า “เรื่องจิ่นซีต้องฝากท่านแล้ว สายสืบแคว้นหนานหลีที่ข้าส่งออกไปตามหายังไม่กลับมา เมื่อได้ข่าวข้าจะให้พวกเขาแจ้งท่านทันที”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย “หากต้องการให้ข้าช่วยเหลือก็ให้คนส่งข่าวมา”
มู่หรงฉีมองเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาลึกซึ้งเล็กน้อย หลังผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้องครักษ์ด้านหลังที่ถือสิ่งของซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าสีแดงเดินมาข้างหน้า
มู่หรงฉีเปิดผ้าคลุมสีแดง มันเป็นกล่องแกะสลักมังกรสีทอง
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
มู่หรงฉีเปิดฝากล่องและถือมันมอบให้เยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา นี่เป็นพระราชลัญจกรของแคว้นหนานหลี ตอนนี้ข้ามอบมันให้ท่าน”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด? ”
“ไปแคว้นตงเฉินครั้งนี้ เกรงว่าจะรอดกลับมายาก หากข้าไม่กลับมา จากนี้ต่อไปก็ไม่มีคนสานต่อ ในราชวงศ์ไม่มีผู้ใดเหมาะสมที่จะสืบทอดบัลลังก์ ทว่าในราชสำนักขาดคนปกครองไม่ได้แม้แต่วันเดียว ถึงตอนนั้นท่านค่อยมอบราชลัญจกรนี้ให้จิ่นซี”
“มู่หรงฉี… ”
“นางเป็นสายเลือดสกุลมู่หรงเช่นกัน! ”
“เจ้าไว้ใจข้าหรือ? ”
แม้มู่หรงฉีเป็นพี่ชายซูจิ่นซี ทว่าระหว่างเขากับเยี่ยโยวเหยา อย่างไรแล้วก็เป็นผู้มีอำนาจของสองแคว้นที่เป็นปรปักษ์กันและมีใจจะครองแผ่นดินทั้งหมด นอกจากนี้ ระหว่างสกุลมู่หรงและจักรวรรดิต้าฉินยังมีความแค้นบัญชีเลือดต่อกัน หรือว่ามู่หรงฉีไม่กลัวเยี่ยโยวเหยาใช้ราชลัญจกรนี้ยึดแคว้นหนานหลี หรือแม้กระทั่งสังหารสกุลมู่หรงเพื่อล้างแค้นให้ตระกูลตนเอง?
มู่หรงฉียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เทียบกับท่าน ข้าเชื่อใจตำแหน่งของจิ่นซีที่อยู่ในใจท่านมากกว่า”
สายตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความลึกซึ้ง “มู่หรงฉี ความแค้นบัญชีเลือดของจักรวรรดิต้าฉินของข้ากับสกุลเสวียนหยวนของเจ้ายังคงอยู่ ความเกลียดชังนี้ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้”
มู่หรงฉีชะงักเล็กน้อย หลังผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า “เยี่ยโยวเหยา ความเกลียดชังนี้นับว่าเป็นของสกุลเสวียนหยวนของข้าและสกุลฝูของท่านถึงจะถูก ทว่าเบาะแสของเรื่องราวหลายร้อยปีก่อนได้ถูกลบออกไปมากแล้ว ตอนนี้ตรวจไม่พบเบาะแสอันใด ทว่าข้าไตร่ตรองรอบคอบแล้ว เรื่องพวกนี้มีจุดน่าสงสัยมากมาย ท่านเชื่อข้า หากข้ามีชีวิตรอดกลับมาจะอธิบายให้ท่านฟัง”
“ตกลง! ”
มู่หรงฉีพูดจบก็ไม่รีรออีกต่อไป เขาหันหลังขึ้นหลังม้าและหายไปกับราวกับฝุ่น