สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 37 ตอนที่ 1097 ปกป้องด้วยชีวิต
เมื่อเห็นลายมือที่คุ้นเคยและอักษรเลือดบนนั้น นิ้วมือของอู๋จุนยิ่งสั่นเทามากขึ้น
เดิมทีหมูน้อยบินสามารถใช้การบันทึกเสียง ทว่าก่อนหน้านี้หมูน้อยบินประสบอุบัติเหตุจากการเดินทางไกล จึงไม่สามารถส่งเสียงของตนเองไปยังซูจิ่นซีได้ เขาจึงเขียนข้อความบนกระดาษและใส่เข้าไป
ทว่าในที่สุดหมูน้อยบินก็กลับมาพร้อมกับข่าวของซูจิ่นซี กระดาษที่อยู่ข้างในหายไปแล้ว ทว่าไม่พบร่องรอยการบันทึกเสียง มีเพียงตัวหนังสือเลือดที่เพิ่มขึ้นมา
อักษรเลือดเหล่านั้นทิ่มแทงหัวใจของอู๋จุนเหมือนกับใบมีดอันแหลมคม
แม่นางพิษน้อยตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตแบบใดกันแน่ จึงลืมวิธีการใช้เสียงบันทึกและเขียนจดหมายเลือดถึงเขา?
เขาไม่อยากชักช้าแม้เพียงเสี้ยวนาที และหวังว่าจะไปหาแม่นางพิษน้อยทันที
ทันใดนั้นอู๋จุนก็หันศีรษะและเดินกลับไป ถังเสวี่ยคิดว่าเขาทำเพื่อตัวนางเอง แต่กลับไม่คิดว่าเขาจะเดินผ่านนางไปและเดินออกไปทันที
ถังเสวี่ยลุกขึ้นยืนและตะโกนใส่แผ่นหลังของอู๋จุน “ถังเป่าอวี้! ”
อู๋จุนหยุดโดยไม่มองย้อนกลับไป เขายังคงถือจดหมายเลือดของซูจิ่นซีไว้ในมือ “หมูน้อยบินพบแม่นางพิษน้อยแล้ว ตอนนี้นางตกอยู่ในอันตราย และข้าต้องไปช่วยนาง”
“หาพบแล้วหรือ? ” หยาดน้ำตาของถังเสวี่ยทอประกาย ราวกับว่าทุกอย่างที่บีบคั้นหัวใจไม่เคยเกิดขึ้น “ข้าจะไปกับเจ้า! ”
“ตกลง! ”
รักคนผู้หนึ่งอย่างจริงใจแล้วก็เป็นเช่นนี้ บางครั้งแทบอยากจะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ หลายพันครั้ง ทว่าในหลายพันครั้งนั้น กลับมีครั้งแล้วครั้งเล่าที่ไม่อาจควบคุมหัวใจของตัวเองไม่ให้ใจอ่อน
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เหวี่ยงออกไปนั้น แท้จริงแล้วคือตนเองต่างหาก
ทั้งสองเดินไปไม่ไกล ยังไม่ทันออกจากเมืองหลวงของแคว้นไหวเจียงก็พบเยวี่ยอวิ๋นซวง อดีตรัชทายาทแห่งแคว้นไหวเจียงและไหวชิ่งกงจู่
กองทัพของเยี่ยโยวเหยาและมู่หรงฉีโจมตีแคว้นไหวเจียง แม้พวกเขาจะแบ่งดินแดนแคว้นไหวเจียง ทว่าเยี่ยโยวเหยาอนุญาตให้รัชทายาทเยวี่ยอวิ๋นซวงกับเยวี่ยไหวชิ่งอาศัยอยู่ในแคว้นไหวเจียงและมีอำนาจเหนือกองทัพบางส่วน
ในอีกด้านหนึ่ง นับเป็นวิธีการปกครองแคว้นด้วยหลักเมตตาธรรม ในทางกลับกันก็คำนึงถึงความภักดีของตระกูลเยวี่ยอีกด้วย
จากวิธีการของเยี่ยโยวเหยา เมื่อวันหนึ่งวันใดพบว่าตระกูลเยวี่ยคิดกบฏ เขายอมไม่ให้โอกาสไว้ชีวิตพวกเขาอย่างแน่นอน
เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเยวี่ยไหวชิ่งและถังเสวี่ยไม่ค่อยดีอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองพบหน้ากันก็จะทะเลาะกันทันที ทว่าคราวนี้เมื่อเห็นทั้งสองคนรีบร้อนและเห็นน้ำตาบนใบหน้าของถังเสวี่ย นางจึงถามด้วยน้ำเสียงตกประหม่า “ถังเสวี่ย เจ้าเป็นอันใด? ถังเป่าอวี้รังแกเจ้าหรือ? ”
ถังเสวี่ยส่ายศีรษะ “พวกเรามีเรื่องด่วน” นางพูดพลางเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่หยุดฝีเท้า
เยวี่ยไหวชิ่งไล่ตามไปอีกสองก้าว “ได้ข่าวซูจิ่นซีแล้วใช่หรือไม่? ”
อู๋จุนไม่ได้พูดอันใด ถังเสวี่ยลังเลและสงสัยว่าควรบอกเยวี่ยไหวชิ่งดีหรือไม่
เยวี่ยไหวชิ่งเห็นท่าทางที่เร่งรีบของทั้งสอง “เจ้ารีบร้อนไปทำอันใด? เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังปิดบังข้าอีกหรือ? ”
“…”
เยวี่ยไหวชิ่งกระทืบเท้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้ จากการกระทำของแคว้นไหวเจียงก่อนหน้านี้ พวกเจ้าจึงมีอคติกับพวกข้า ทว่าผู้ที่ทำสิ่งเหล่านั้นคือราชครูและสำนักห้าพิษ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลเยวี่ยของพวกเรา ”
“ความแค้นที่ทำร้ายบ้านเมือง พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ? ”
เยวี่ยไหวชิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “พูดว่าลืมความแค้นนั้นย่อมเป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน อีกทั้งเยี่ยโยวเหยายังสังหารชาวแคว้นไหวเจียงไปจำนวนมากเพื่อตามหาซูจิ่นซี ทว่าพวกเราหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีผู้ใดบางคนยืนขึ้นและยุติเรื่องวุ่นวายในเวลานี้ ให้ประชาชนและบ้านเมืองที่สงบสุขแก่พวกเรา”
หากไม่เห็นวิธีที่เยี่ยโยวเหยาฆ่าล้างผู้คนในแคว้นไหวเจียงอย่างทารุณทั้งกลางวันและกลางคืน ถังเสวี่ยอาจเชื่อสิ่งที่เยวี่ยไหวชิ่งกล่าว ทว่านางเห็นฉากที่โหดร้ายจนแทบเป็นการสังหารหมู่ด้วยตาของนางเอง ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินนี้ที่สามารถทนต่อความทารุณนองเลือดได้กระมัง?
เยวี่ยไหวชิ่งพูดด้วยใบหน้าจริงจัง “อย่างน้อยพี่ชายของข้าและข้าก็คิดเช่นนั้น” พูดจบ เยวี่ยไหวชิ่งก็ดึงแขนของเยวี่ยอวิ๋นซวง
เยวี่ยอวิ๋นซวงลังเลเล็กน้อยและขมวดคิ้ว
ขณะที่เยวี่ยไหวชิ่งกำลังจะพูด อู๋จุนก็พูดขึ้นทันทีว่า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว พาทหารของเจ้าไปช่วยคนกับข้า กำลังของพวกเจ้าตอนนี้ทำสิ่งใดได้ไม่มาก ไม่เช่นนั้น… ด้วยวิธีการของเยี่ยโยวเหยา คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากกว่านี้”
“ช่วยคน? พวกเจ้าตามหาซูจิ่นซีพบแล้วจริงหรือ? ”
อู๋จุนไม่ได้พูดอันใด แสดงถึงการยอมรับ
อู๋จุนบอกข่าวและตำแหน่งที่อยู่ของซูจิ่นซีที่ส่งมาให้เยวี่ยไหวชิ่งและเยวี่ยอวิ๋นซวงทราบ ส่วนเขากับถังเสวี่ยจะรีบรุดไปที่เขตแดนดวงดาราก่อน
เป็นเวลาสองวันกับหนึ่งคืนที่คนของเผ่าปีศาจและเผ่าอสูรได้ทำลายเขตเวทมนตร์สองชั้นนอกสุดด้านนอกหมู่บ้านเผ่าอวิ๋นหุน
ผู้อาวุโสทั้งสี่พยายามปกป้องเขตเวทมนตร์อย่างเต็มที่ แต่ไม่อาจปกป้องได้ ทั้งหมดต่างได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เมื่อเห็นว่าไม่อาจรักษาเขตเวทมนตร์ที่สามไว้ได้ จึงทำได้เพียงมองเขตเวทมนตร์ที่บรรพบุรุษเผ่าอวิ๋นหุนเหลือไว้ถูกทำลาย และค่อยๆ ฉีกออกเป็นช่องว่าง
หากเขตเวทมนตร์ที่สามถูกทำลาย เขตเวทมนตร์ทั้งหกที่เหลือคงทนอยู่ได้ไม่นาน เกรงว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน เผ่าปีศาจ และเผ่าอสูรคงสามารถฝ่าเข้ามาได้
อาจวินและอาอินเหาะขึ้นไปและรวมพลังภายในซ่อมแซมเขตเวทมนตร์ เมื่อเห็นว่าเขตเวทมนตร์กำลังซ่อมแซมใกล้สำเร็จ จู่ๆ พลังมหาศาลก็พุ่งเข้าใส่ทั้งสองจนล้มลงกับพื้น
อาอี่และอาจูรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงทั้งสองขึ้น “องค์หญิง องค์ชาย พวกท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
อาจวินอาเจียนออกมาเป็นเลือดอย่างสาหัส “อย่าให้…อย่าให้พวกเขาฝ่าเขตเวทมนตร์ชั้นที่สามเข้ามาได้เด็ดขาด”
“ขอรับ ข้าน้อยจะพยายามอย่างสุดกำลัง” อาอี่กล่าว
หลังจากพูดจบ เขาก็เหาะขึ้นไปรวมพลังเพื่อซ่อมแซมเขตเวทมนตร์ อาจูก็รวมพลังภายในเพื่อช่วยอีกแรง ทว่าเมื่อพลังของทั้งสองปะทะกับพลังมหาศาลก็เหมือนน้ำที่หยดลงในแก้ว ไม่มีผลอันใดแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซียืนอยู่ด้านข้างพลางขมวดคิ้วแน่น
นางพยายามอยู่หลายครั้ง พยายามรวบรวมพลังภายในเพื่อช่วยพวกเขา ทว่าไม่มีพลังใดที่สามารถรวบรวมออกมาได้เลย
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังถูกพลังโจมตีย้อนกลับ ในเวลานี้หากพลังภายในไม่ถูกควบคุมและไหลผ่านเส้นลมปราณพิเศษของนาง มันอาจทำลายเส้นลมปราณทั้งหมดของนางได้ทุกเมื่อ
ทว่านางไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่อาจตกอยู่ในสภาพอ่อนแอและทำอันใดไม่ได้
นางตัดสินใจนั่งขัดสมาธิบนพื้น ตั้งสมาธิกำหนดลมหายใจ จดจ่อกับพลังทั้งหมด พยายามรวบรวมพลังไปที่ฝ่ามือ และเริ่มเดินพลังสยบมังกร
อาจูเห็นเช่นนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป “พระชายาโยวอ๋อง ไม่ได้ เป็นเช่นนี้ท่านอาจเสียชีวิตได้! ”
แก่นหัวใจเดิมได้รับความเสียหายอยู่แล้ว แต่กลับใช้หัวใจควบคุมพลัง ก็เท่ากับว่าทำให้ร่างกายบาดเจ็บรุนแรงมากกว่าเดิมไม่ใช่หรือ?
อาอินไม่เคยเห็นผู้ใดที่ดื้อรั้นเช่นนี้มาก่อน
ทว่านางเข้าใจ สิ่งที่ซูจิ่นซีทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อปกป้องเผ่าอวิ๋นหุน
“เร็วเข้า รีบหยุดนางไว้ ” อาจวินพูดเสียงดัง
เขารีบออกคำสั่งทันที จากนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อยับยั้งซูจิ่นซี ทว่าทันใดนั้นก็มีม่านพลังสว่างปรากฏขึ้นรอบตัวของซูจิ่นซี ทุกคนหากเข้าใกล้นางจะถูกสะท้อนออกมาทันที ไม่มีใครเข้าใกล้นางได้เลย
“นางกำลังคิดจะทำสิ่งใด? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ? ”
อาอินเบิกตากว้าง ดวงตาของนางค่อยๆ กลายเป็นสีแดง
วันนี้ เกรงว่าจะต้องสู้ตายกับกองทัพเผ่าปีศาจและเผ่าอสูรแล้ว ซูจิ่นซีเสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องเผ่าอวิ๋นหุนทั้งๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าอวิ๋นหุน อาอินและอาจวินก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้ว หากนางปกป้องพวกเขาด้วยชีวิตของนาง ต่อไปจะให้พวกเขาชดเชยอย่างไร?