สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 37 ตอนที่ 1104 หัวหน้าสำนักหมอหลวงคนใหม่
เยี่ยโยวเหยายังคงไม่ขยับและนิ่งเงียบ
คนรอบบริเวณไม่มีใครกล้าส่งเสียง มีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กทารกที่ดังขึ้น
ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าถังเสวี่ยยังคงนุ่มนวล “ขอข้าอุ้มหน่อยเถิด! ” นางพูดพลางค่อยๆ ยื่นมือไปทางแม่นมอี๋อย่างระมัดระวัง
“ได้ ได้! ”
แม่นมอี๋ตอบรับคำและส่งทารกให้ถังเสวี่ย
“ช้าก่อน! ”
ทว่าก่อนที่เด็กจะได้สัมผัสมือถังเสวี่ย น้ำเสียงต่ำและกดดันของเยี่ยโยวเหยาก็ดังมาจากด้านหลัง
เมื่อได้ยินเสียง ถังเสวี่ยสะดุ้งอย่างรุนแรง นางรีบหันหลังกลับไป…
นางเห็นเพียงน้ำตาของเยี่ยโยวเหยาที่ไหลเต็มใบหน้า…
“ข้าอุ้มเอง! ” น้ำเสียงเขาดูอ้างว้างและแหบแห้ง เหมือนถูกบีบลำคอ
ถังเสวี่ยถอยออกไปยืนด้านข้าง น้ำตาคลอเบ้า
เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เดินเข้าไปหาแม่นมอี๋ทีละก้าว ในช่วงไม่กี่ก้าวนี้ เหมือนกับการปีนข้ามภูเขาที่ห่างไกลหลายพันลี้ ดูเหมือนเขาเดินอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะมายืนอยู่ข้างเด็กทารก
“อุแว้ อุแว้ อุแว้… ” ทารกร้องเสียงดังมากกว่าเดิม
ปกครองแคว้น วางยุทธศาสตร์
ตัดสินฎีกางานเมือง สองมือถือกระบี่
มือทั้งสองข้างสัมผัสเลือดของตนเอง เลือดของวิญญาณที่ตายแล้วนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดก็ไม่เคยลังเล ทว่าในเวลานี้ เมื่อเขายื่นมือออกไปหาทารก มือกลับสั่นเล็กน้อย สั่นเล็กน้อยจริงๆ
ดวงตาทั้งสองเคยเห็นการลงโทษที่โหดร้ายและนองเลือดมากที่สุดในโลก เคยเห็นซากศพนอนดาษดื่นทั่วทุกหนทุกแห่ง เคยเห็นภาพอันน่าสยดสยองนับไม่ถ้วน เคยเคลื่อนทัพกรำศึกผ่านหุบเขาและแม่น้ำหลายพันลี้ ผ่านพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เคยเห็นแผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและดอกไม้หลากสีโบยบินทั่วท้องฟ้า เป็นทิวทัศน์ที่อบอุ่นและอ่อนโยนที่สุดในโลก ทว่าภายในดวงตาดำขลับลึกซึ้ง ไม่มีผู้ใดมองเห็นอารมณ์ที่อยู่ส่วนลึกในจิตใจของเขาได้
ในเวลานี้ แอ่งน้ำที่เย็นยะเยือกกลับลดน้อยลง ราวกับน้ำพุที่ใสสะอาด เหมือนดวงอาทิตย์ที่อบอุ่น เหมือนดวงจันทร์ เหมือนดวงดาว ทว่ากลับเป็นสีหน้าที่อ่อนโยนที่สุดในโลก ทั้งยัง… เป็นการเคลื่อนไหวที่ระมัดระวัง เขาค่อยๆ อุ้มทารกเข้ามาในอ้อมกอด
“อุแว้ อุแว้… ”
ทารกยิ่งร้องไห้ดังขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าเขา ทว่าไม่ใช่การต่อต้าน แม้เท้าของเด็กจะดิ้นถีบไปทั่วจนถีบแขนของเยี่ยโยวเหยา อีกทั้งมือของทารกยังคว้าคอเสื้อและหน้าอกของเขาแน่น ราวกับว่าทารกกำลังโทษบิดาตนเองที่มาช้าเกินไป
น้ำตาของเยี่ยโยวเหยาไหลพราก พ่อลูกยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่รอบตัวพวกเขาต่างน้ำตาคลอเบ้า
องครักษ์แห่งวิหารวิญญาณทุกคนไม่เคยเห็นท่านอ๋องของพวกเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งในชีวิตนี้ เขาจะสามารถเห็นผู้สูงศักดิ์ สง่างาม น่าสะพรึงกลัวอย่างท่านอ๋องหลั่งน้ำตา
“ดี ดี! ” เยี่ยโยวเหยาพูดสองคำติดต่อกัน รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา “สมแล้วที่เป็นบุตรของเยี่ยโยวเหยา สมแล้วที่เป็นทายาทสกุลฝูของข้า เสียงร้องดังกึกก้อง ต่อไปต้องเก่งกาจแน่นอน”
“ท่านอ๋อง ทรงพระเจริญอายุยืนหมื่นปี ท่านอ๋องน้อยอายุยืนพันปี! ”
องครักษ์เงาแห่งวิหารวิญญาณคุกเข่าลงบนพื้นและตะโกนอวยพรเสียงดังกึกก้อง
ท่ามกลางเสียงที่ดังกึกก้อง เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หันศีรษะมองไปยังรถม้าที่เงียบสงบในระยะไกล
จิ่นซี… จิ่นซี ลำบากเจ้าแล้ว!
ข้าปกป้องเจ้าสองแม่ลูกไม่ดีพอ!
……
ในที่สุดขบวนออกเดินทางก็ออกจากเผ่าอวิ๋นหุน เพราะทางฝั่งเยี่ยโยวเหยาส่วนใหญ่เป็นบุรุษ แม้จะมีเยวี่ยไหวชิ่งและถังเสวี่ย ทว่าพวกนางทั้งคู่เป็นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน พวกนางไม่รู้วิธีดูแลทารกแน่นอน อาอินจึงให้แม่นมเฝิงกับแม่นมอี๋ติดตามไปกับเยี่ยโยวเหยาเพื่อดูแลทารกตลอดเส้นทาง
ไม่นาน พวกเขาก็เดินทางมาถึงแคว้นหนานหลี
แม้แคว้นเป่ยอี้จะโจมตีแคว้นตงเฉิน ทว่าเปลวไฟแห่งสงครามยังไม่ไปถึงแคว้นหนานหลี ดังนั้นประชาชนที่นี่ยังคงสงบสุข
จงรุ่ยอันพ่อลูกได้รับจดหมายจากเยี่ยโยวเหยา จึงพาคนจำนวนหนึ่งไปรอที่ชายแดน
เดิมคิดว่าซูอวี้จะไปที่สกุลจง กลับไม่คาดคิดว่า เขาจะมุ่งหน้ามาที่ชายแดนด้วย ทั้งยังพาแม่นมฮวามาด้วยเพื่อดูแลซูจิ่นซีกับเยี่ยหลินเชวีย
เยี่ยโยวเหยาสั่งให้องครักษ์ตั้งค่ายที่ชายแดน ซูอวี้เข้าไปตรวจชีพจรให้ซูจิ่นซีทันที
ขณะตรวจชีพจร เยี่ยโยวเหยา ถังเสวี่ย เยวี่ยไหวชิ่ง เยวี่ยอวิ๋นซวง และคนอื่นๆ ก็ยืนอยู่ใกล้ๆ
เขาตรวจชีพจรอยู่นาน ภายในกระโจมเงียบสนิท สีหน้าของทุกคนเคร่งเครียดไปพร้อมกับเขา
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ลุกขึ้นและคำนับเยี่ยโยวเหยาด้วยความเคารพ
“ท่านอ๋อง! ”
“อาการของจิ่นซีเป็นอย่างไร? เจ้ามีวิธีรักษาหรือไม่? ”
หัวใจของทุกคนจุกอยู่ในลำคอ พวกเขามองซูอวี้ด้วยสายตาคาดหวัง กลัวว่าเขาจะส่ายศีรษะ และกลัวว่าเขาจะพูดว่าเขาเองก็ไม่มีวิธีเช่นกัน
ทว่าสีหน้าของซูอวี้สงบนิ่งอย่างมาก นิ่งจนทำให้คนประหลาดใจเล็กน้อย นิ่งเงียบ… จนทำให้ทุกคนสงสัยว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ซูอวี้
ทว่าไม่ใช่ซูอวี้ได้อย่างไร?
เขานิ่งเงียบเช่นนี้มาตลอด อยู่ข้างกายทุกคนด้วยท่าทีสงบนิ่งเช่นนี้!
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงเขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านอ๋องทรงวางพระทัย กระหม่อมจะเรียกหมอหลวงทุกคนในสำนักหมอหลวง จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
กระหม่อม…
ในชั่วขณะหนึ่ง ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนเห็นอวิ๋นจิ่น หัวหน้าสำนักหมอหลวงที่อ่อนโยนและสง่างามราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
ทว่าตอนนี้ซูอวี้เป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงแล้ว
เขาเกิดในสกุลซูซึ่งเป็นตระกูลหมอแห่งแคว้นจงหนิง ได้รับการสั่งสอนจากจิ่วหรง เจ้าสำนักแพทย์เทียนอี และซูจิ่นซีด้วยตนเอง ทั้งยังเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันงานชุมนุมซิ่งหลิน สกุลจงให้สมญานามเขาว่าเซียนหมอ ความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวงอาจไม่เหมาะสมสำหรับเขา
ทว่าในวันนั้น เขาเข้าพบเยี่ยโยวเหยาเป็นการส่วนตัวเพื่อขอตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวง
เขาเคารพนอบน้อมและอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอมา ไม่เคยฝ่าฝืนต่อต้านเยี่ยโยวเหยา มหาอุปราชผู้นี้ ทว่าครั้งนั้นท่าทีของเขามุ่งมั่นและดื้อรั้นเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาจึงตอบตกลง ย้ายเขาจากตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนางไปที่สำนักหมอหลวง
ความจริงแล้ว เยี่ยโยวเหยาคิดจะเลื่อนตำแหน่งเขาให้เป็นเจ้ากรมขุนนางในอีกไม่กี่ปี ตำแหน่งที่สูงขึ้นจะได้ปูทางให้กับเขา
เพียงแต่ว่า…
……
ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก็ตั้งสติกลับมาและโบกมือ จากนั้นจึงเดินมาข้างเตียงของซูจิ่นซี
“กระหม่อมทูลลา! ” ซูอวี้ทำความเคารพและถอยออกไป
คนที่เหลือก็เดินออกจากกระโจม
“ผู้นำซู! ” ถังเสวี่ยเรียกซูอวี้
ถังเสวี่ยเดินเข้าไปหาซูอวี้และกล่าวขอโทษ “ไม่ ควรเรียกว่าหมอหลวงซู”
“จะหมอหลวงหรือผู้นำซู ซูอวี้ไม่เคยสนใจเรื่องนี้ แม่นางถังเสวี่ยไม่ต้องนำมาใส่ใจ”
ไม่พบกันหลายเดือน ซูอวี้สงบนิ่งมากขึ้น ทว่าดูเหมือน… ขาดอันใดไปบางอย่าง
“หมอหลวงซู อาการบาดเจ็บของซูจิ่นซี… เจ้ามั่นใจมากเพียงใด? ” ถังเสวี่ยถามตรงๆ
ใช่!
มั่นใจมากเพียงใด?
นี่คือสิ่งที่ทุกคนใส่ใจ เยวี่ยไหวชิ่ง เยวี่ยอวิ๋นซวง รวมถึงจิ้นหนานเฟิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก และองครักษ์เงาที่เฝ้าอยู่รอบกระโจมต่างจ้องไปที่ซูอวี้