สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 37 ตอนที่ 1105 ใกล้สิ้นลมหายใจแล้ว
จะมั่นใจได้อย่างไร ?
ความจริง ภายในใจของเขาไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นมากนัก
เพียงแต่เขารู้ดีว่า ทุกคนเศร้าใจมามากพอแล้ว หนำซ้ำยังคาดหวังให้เขาเป็นความหวังสุดท้าย เขาไม่สามารถซ้ำแผลในใจของทุกคนได้อีก เขาจึงแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง
อู๋จุนได้อธิบายอาการของซูจิ่นซีอย่างละเอียดในตอนที่ส่งข้อความมาหาเขาแล้ว
ขณะที่หมูน้อยบินส่งจดหมายของอู๋จุนมาถึงซูอวี้ เขากำลังเดินขึ้นบันไดสูงในหอโอสถสกุลซูเพื่อจัดเก็บสมุนไพร หน้าต่างไม่ได้ปิด เจ้าหมูน้อยบินตรงเข้ามาหาโดยที่เขายังไม่ทันได้ลงจากบันไดสูง
หลังฟังข้อความจบ เขาตกตะลึงและตกลงมาจากบันไดสูงทันที แขนซ้ายได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดีเลย
ซูอวี้ยิ้มให้ถังเสวี่ยและโค้งคำนับให้ทุกคนด้วยความเคารพ
“แม่นางถังเสวี่ยไม่ต้องกังวล ทุกคนวางใจ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพระชายาให้หายดีแน่นอน”
หลังจากพูดจบ ซูอวี้ก็เดินออกไปทันที
ถังเสวี่ยมองด้านหลังของซูอวี้ที่เดินลับสายตาไป แววตาของนางทอดยาว
“ดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว”
“ใช่ เหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว ข้าเคยพบเขาสองสามครั้ง ตอนนั้นเขาเป็นเด็กบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา” เยวี่ยไหวชิ่งพูดจบก็หยุดครู่หนึ่ง และพูดอีกครั้งว่า “ทว่าคนเมื่อเติบใหญ่ย่อมเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา”
ถังเสวี่ยมองย้อนกลับมาที่เยวี่ยไหวชิ่ง
“ความจริง เจ้าอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี”
เยวี่ยไหวชิ่งตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มพูดว่า “ใช่ ข้าอายุมากกว่าเขาไม่มาก เหมือนจะ… สองสามปี”
“ทว่า เจ้าก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน! ”
ถังเสวี่ยพูดเบาๆ ทว่าสีหน้าของเยวี่ยไหวชิ่งพลันตะลึงงัน มีบางสิ่งเอ่อคลอในดวงตา ทว่านางพยายามฝืนกลั้นควบคุมอารมณ์นั้นไว้
เปลี่ยนไปแล้ว เยวี่ยไหวชิ่งในอดีตที่สดใส ร่าเริง ห้าวหาญ และมีความ… เย่อหยิ่งเล็กๆ ทว่าในตอนนั้นมีบางเรื่องที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“ทว่าถังเสวี่ย เจ้ายังเป็นถังเสวี่ยคนเดิมเหมือนตอนนั้นอยู่หรือไม่? ” เยวี่ยไหวชิ่งถาม
แสงอาทิตย์ยามอัสดงเหมือนเปลวไฟ
สตรีสองนางที่เคยงดงาม บริสุทธิ์ สดใส ยืนอยู่บนทุ่งกว้าง ทอดสายตายาวมองออกไป
ถังเสวี่ย เจ้ายังเป็นถังเสวี่ยคนเดิมเหมือนตอนนั้นอยู่หรือไม่?
ถังเสวี่ยถามตนเองในใจ จากนั้น… แววตาของนางก็ค่อยๆ เลื่อนไปมองยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป
บนต้นหลิวตรงนั้น มีร่างสีแดงเพลิงของอู๋จุนอยู่
หลังจากแม่นมอี๋อุ้มเยี่ยหลินเชวียออกมาตอนอยู่ที่เผ่าอวิ๋นหุน เขาก็หายตัวไป ทว่าถังเสวี่ยรู้ดีว่าเขาไม่ได้จากไปไหน เขาอยู่เคียงข้างพวกเขา เขา… จะไม่ทิ้งซูจิ่นซี อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ถังเสวี่ยก็ละสายตา นางยกยิ้มมุมปากพลางกอดไหล่เยวี่ยไหวชิ่งและเดินจากไป
เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ใครบอกได้ชัดเจน?
หากนางยังคงรักถังเป่าอวี้และไม่เปลี่ยนแปลง แสดงว่านางยังเป็นถังเสวี่ยคนเดิม!
เพียงแค่นางไม่ชอบตนเองในเวลานี้เลย
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนออกจากค่ายและกลับเข้าไปในเมืองเย่หลิน เมืองหลวงแคว้นหนานหลี
ขณะที่พวกเขามาถึงนอกเมือง ไท่ซ่างหวง มู่หรงอวิ๋นไห่ จงซีจือ ฮูหยินเฒ่าจง และคนอื่นๆ ได้เข้ามาทักทายพวกเขาเป็นการส่วนตัวที่ประตูเมือง ยังมีหมอเทวดาและเทพโอสถจากสำนักแพทย์เทียนอีที่ได้พาลูกศิษย์ที่มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมมาอีกพอสมควร
เมื่อพวกเขาเห็นรถม้าของซูจิ่นซี น้ำตาของฮูหยินเฒ่าจงและจงซีจือก็ไหลออกมาไม่หยุด จงซีจือปีนขึ้นไปบนรถม้าและร้องห่มร้องไห้ “ครั้งสุดท้ายที่จากกันไป เจ้ายังสบายดีอยู่เลย เหตุใดกลับมาถึงเป็นเช่นนี้ได้ บุตรสาวของข้า… ”
เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างสำนึกผิด “ฮูหยินเฒ่าจง ข้าขอโทษท่านด้วย ข้าดูแลจิ่นซีไม่ดีพอ! ”
เขาพูดจบก็โค้งคำนับให้ฮูหยินเฒ่าจง จงซีจือ และมู่หรงอวิ๋นไห่ทีละคน
จิ้นหนานเฟิงและองครักษ์วิหารวิญญาณที่อยู่ข้างหลังต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่าพวกเขาไม่ได้พูดสิ่งใด
ท่านอ๋องคำนับฟ้า คำนับดิน ทว่าไม่เคยก้มหัวให้ผู้ใดมาก่อน ทว่านั่นคือผู้อาวุโสของพระชายา และผู้อาวุโสของเขาด้วย… จะว่าไปแล้วก็ไม่เห็นเป็นอันใด
“เกิดในยุคโกลาหล สิ่งต่างๆ ไม่เที่ยง ชีวิตและความตายเป็นสิ่งไม่เที่ยง ข้าจะตำหนิเจ้าในเรื่องนี้ได้อย่างไร! ”
มู่หรงอวิ๋นไห่พูด “สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหาวิธีรักษาจิ่นซี ตอนนี้ข้าได้ออกประกาศตามที่เจ้าเขียนในจดหมายเพื่อหาหมอที่มีชื่อเสียง”
ทุกคนเข้าเมือง พวกเขาพาซูจิ่นซีไปที่วังหลวงเพื่อความสะดวกต่อการรักษา
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ซูอวี้ จงรุ่ยอัน จงซีจือ จงเทียนอี้ หมอเทวดา เทพโอสถ และคนอื่นๆ ที่รู้วิชาแพทย์ได้มารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับอาการของซูจิ่นซี ฮูหยินเฒ่าจงซึ่งไม่ได้ออกจากภูเขามาหลายปีแล้วเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ด้วยตนเอง อีกทั้งได้จับชีพจรซูจิ่นซีแล้ว
“ทุกคนที่นี่จับชีพจรหลานสาวของข้าแล้ว มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ทุกท่านลองพูดออกมาได้! ”
สีหน้าของฮูหยินเฒ่าไม่ค่อยดีนัก เห็นได้ชัดว่านางหมดหนทาง
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า บ้างก็ส่ายศีรษะ บ้างก็ถอนหายใจ
การหารือครั้งนี้ผ่านไปหนึ่งคืน เที่ยงวันของวันที่สอง ทุกคนยังไม่ออกจากห้องประชุม
เยี่ยโยวเหยาอยู่ข้างซูจิ่นซีเสมอมา องครักษ์เงาที่ถูกส่งออกไปตามหาหมอที่มีชื่อเสียงและสมุนไพรชั้นเลิศกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขานำใบสั่งยาและสมุนไพรมาให้เขา หลังจากเขาตรวจแล้วก็ส่งต่อไปยังห้องประชุม
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังส่งกองกำลังทั้งหมดจากแคว้นจงหนิง แคว้นซีอวิ๋น และแคว้นไหวเจียงเพื่อออกตามหาจิ่วหรง ติดประกาศทุกหนแห่งในอาณาจักรเทียนเหอ ด้วยความหวังที่ริบหรี่ว่าจะได้พบกับจิ่วหรงจริงๆ
ทว่าเวลาผ่านไปสามวันเต็มก็ยังไม่มีข่าวอันใดเลย
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ห้องประชุมได้ออกเทียบยามาสองใบและให้ซูอวี้เป็นคนจัดการรักษาอาการของซูจิ่นซี ทว่าไม่ดีขึ้นเลย สถานการณ์กลับหนักมากขึ้นกว่าเดิม
ในตอนนี้ เป็นเวลาเจ็ดวันแล้วที่ซูจิ่นซีใช้พลังศิลาสะกดวิญญาณจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในวันที่เจ็ด ทุกคนทุกข์ทรมานอย่างมาก แต่ไม่มีใครคิดยอมแพ้
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องจริงที่ใครคนหนึ่งต้องพูด แม้จะค่อนข้างใจดำ แต่ต้องมีใครคนหนึ่งทำ
หากต้องการคนแบบนี้จริงๆ ให้ข้าทำเถิด!
จงซีจือคิดเช่นนั้นในใจ
ภายในห้องประชุม สีหน้าของทุกคนเศร้าหมอง ฮูหยินเฒ่าจงชราภาพ แต่กลับอยู่กับทุกคนเป็นเวลาสามวันสามคืน จงรุ่ยอันและบุตรชาย หมอเทวดาและคนอื่นๆ ยังค้นหาตำราแพทย์ ทดลองสมุนไพร ตำราแพทย์กองเต็มพื้น ซูอวี้ใช้ตนเองทดลองยาจนอาเจียนเป็นเลือดหลายครั้ง
ทุกคนไม่ว่างมือ จงซีจือค่อยๆ ลุกขึ้นและมองไปที่ทุกคน นางคิดจะพูดบางอย่างแต่ติดอยู่ที่ริมฝีปาก ในที่สุดนางก็กัดฟันพูดออกมา
“ทุกท่าน… ” แววตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่นาง “ยอมแพ้เถิด! จิ่นซี… จิ่นซีใกล้จะสิ้นลมหายใจแล้ว ช่วยชีวิตไม่ได้แล้ว”
หลังสิ้นเสียงพูดนั้น ร่างกายของนางก็สั่นสะท้านและคุกเข่าลงกับพื้น ร่ำไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
‘เพล้ง… ’
ฮูหยินเฒ่าจงโยนถ้วยชาที่อยู่ในมือลงบนพื้น น้ำเสียงโกรธจัด “พูดจาไร้สาระ! เจ้า… เจ้าเป็นมารดาของนาง พูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? ”
พูดจบก็นั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยความโกรธ
จงรุ่ยอันรีบก้าวไปข้างหน้าและลูบหน้าอกของฮูหยินเฒ่าจง
“มารดา ระงับความโกรธ น้องซีจือใจร้อน นาง… นางอาจจะเหนื่อยเกินไป”
“หึ บนโลกนี้ยังมีมารดาเช่นนางอีกหรือ? ”