สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 37 ตอนที่ 1109 หนังสือจากแคว้นเป่ยอี้
“ข้าไป! ”
“ข้าไป! ”
เยี่ยโยวเหยาและถังเสวี่ยเอ่ยพร้อมกัน
ซูอวี้และจงเทียนโย่วเหลือบมองถังเสวี่ยและเหลือบมองเยี่ยโยวเหยา
ตอนนี้ในด้านวรยุทธ์ มีเพียงเยี่ยโยวเหยาเท่านั้นที่สามารถไปทะเลอู๋ว่างได้
ซูอวี้ไตร่ตรองคำพูดรอบหนึ่ง “ในเมื่อท่านอ๋องต้องการไปทะเลอู๋ว่าง แม่นางถังเสวี่ย ท่านอย่าไปเลย อยู่ดูแลเจ้าหุบเขาอู๋เถิด! แม้ตอนนี้ชีวิตของเขายังไม่อยู่ในระยะอันตราย ทว่าร่างกายของเขาต้องการคนดูแล! ”
“ไม่ได้ ข้าต้องไป! ” ถังเสวี่ยมีท่าทีแน่วแน่
“ทว่าทะเลอู๋ว่างอันตรายยิ่งนัก” จงเทียนโย่วกล่าว
“แม้ไปแล้วไม่ได้กลับมา ข้าก็จะไป! ” ถังเสวี่ยยังคงพูดด้วยท่าทีแน่วแน่ พูดจบก็หันไปพูดกับเยี่ยโยวเหยา “โยวอ๋อง ท่านไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงของท่าน! ”
ซูอวี้และจงเทียนโย่วเมื่อเห็นท่าทีแน่วแน่ของถังเสวี่ยจึงไม่ได้โต้เถียงและไม่ได้ห้ามอีก
ยิ่งมากคน บนเส้นทางก็ต้องเพิ่มความระวังมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น มีเยี่ยโยวเหยาอยู่ จะต้องไม่ปล่อยให้ถังเสวี่ยเกิดเรื่องแน่นอน
ถังเสวี่ยมองอู๋จุนซึ่งนอนอยู่ในห้องจากระยะไกล แล้วค่อยๆ กำหมัดแน่น
“ถังเป่าอวี้ ขอเพียงหาหัวใจสัตว์เทพโซ่วเหลียนพบ ข้าคงไม่กังวลอีกแล้ว ระหว่างท่านและข้า… จะไม่เกี่ยวข้องกันอีก ข้าไม่ติดค้างท่านอีกแล้ว! ”
เวลาไม่คอยท่า เยี่ยโยวเหยาและถังเสวี่ยจึงออกเดินทางทันที
ก่อนออกเดินทาง เยี่ยโยวเหยาเรียกซูอวี้ไปคุยด้านนอกเพียงลำพัง
“หลายวันที่ข้าไม่อยู่นี้ต้องฝากจิ่นซีไว้กับเจ้า ห้ามเกิดความผิดพลาด! ”
หากเป็นไปได้ เยี่ยโยวเหยาไม่คิดจะไปจากซูจิ่นซีในเวลานี้แน่นอน ทว่าเพราะชีวิตของอู๋จุนและซูจิ่นซีตกอยู่ในอันตราย เขาไม่อาจทนอยู่เฉยได้ แม้ซูจิ่นซีกำลังตื่นอยู่ เขาก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้
“ท่านอ๋องวางใจ มีกระหม่อมอยู่ พี่จิ่นซีต้องไม่เป็นอันใดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ซูอวี้กล่าวอีกครั้งว่า “ทว่าท่านอ๋อง มีเวลาเพียงเจ็ดวันเท่านั้น ภายในเจ็ดวัน ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นต้องเอาหัวใจสัตว์เทพโซ่วเหลียนมาให้ได้ มิฉะนั้นแม้เทพเซียนมาจุติก็ช่วยเจ้าหุบเขาอู๋ไม่ได้”
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า
“ส่วนพี่จิ่นซี ข้าจะคิดหาวิธีอย่างสุดความสามารถ ฮูหยินเฒ่าจงก็ยังไม่ยอมแพ้เช่นกัน”
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดมากความอีก ก่อนจากไป เขาเข้าวังอีกครั้งเพื่อไปดูซูจิ่นซี
ยามค่ำคืน แสงจันทร์เจิดจรัสราวกับน้ำนม สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างอย่างเงียบงัน และแผ่กระจายอย่างนุ่มนวลบนพื้นที่เย็นยะเบือกภายในห้อง
เยี่ยโยวเหยาอยู่ในชุดสีดำขลับ เย็นชาหาผู้ใดเปรียบ ทว่ากลับดูอ้างว้างอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินเข้าไปนั่งลงข้างเตียงซูจิ่นซี
สีหน้าของซูจิ่นซีดีขึ้นเป็นเท่าตัว ทว่านางยังคงไม่ตื่น ลมหายใจสม่ำเสมอ มุมปากยังคงยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนกำลังฝันอยู่
“จิ่นซี… ” เยี่ยโยวเหยากระซิบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเยี่ยโยวเหยาก็ดังขึ้นภายในห้องอันเงียบสงบอีกครั้ง “ชีวิตนี้และชาตินี้ของข้า ในครึ่งชีวิตแรกเต็มไปด้วยเลือดและความมืดมน ชีวิตช่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง ไม่เคยปรารถนาที่จะแต่งงานและมีความรักอันลึกซึ้ง ทว่าเมื่อได้พบเจ้า กลับทำให้ชีวิตที่มืดมนและหนาวเหน็บของข้าได้พบแสงสว่าง ถือเป็นเมตตาจากสวรรค์ เป็นตายจากลา ข้าขอสาบานว่าจะกุมมือเจ้า อยู่เคียงข้างเจ้าจนแก่เฒ่า หากถูกลิขิตให้ไม่อาจอยู่ดูแลกันร้อยปี ข้า… จะไปเหยียบยมโลกด้วยกันกับเจ้า ซีซี รอข้ากลับมา… ”
เยี่ยโยวเหยาพูดจบก็ลุกขึ้นและออกจากพระราชวังซีหัว
ซูจิ่นซียังคงนอนหมดสติอยู่บนเตียงเงียบๆ ทว่าหางตากลับมีของเหลวอุ่นไหลออกมาอย่างเชื่องช้า
วันที่สาม
ในตำหนักจ้งหวา จู่ๆ ก็ได้รับหนังสือจากแคว้นเป่ยอี้ มู่หรงอวิ๋นไห่สีหน้ากลัดกลุ้ม นั่งไม่สงบ ไม่รู้ว่าควรเลือกอย่างไรดีจึงเรียกประชุมขุนนางชั้นผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่ง เพื่อหารือราชกิจของแคว้น ซึ่งในกลุ่มพวกเขาได้ให้คนไปแจ้งซูอวี้
แม้ซูอวี้จะเป็นเพียงหัวหน้าสำนักหมอหลวง ทว่าในยามนี้ ในบรรดาขุนนางแคว้นจงหนิงที่อยู่ในแคว้นหนานหลี เขากลับเป็นผู้เดียวที่มีตำแหน่งสูงพอที่จะหารือเรื่องต่างๆ ในราชสำนักได้
ยิ่งไปกว่านั้น ซูอวี้อยู่ที่แคว้นจงหนิง แม้จะดำรงตำแหน่งในสำนักหมอหลวงเท่านั้น ทว่าเรื่องการเมืองการปกครองบางอย่าง เยี่ยโยวเหยาจะส่งต่อให้เขาจัดการ ครั้งหนึ่งเคยคิดจะฝึกให้เขาสืบทอดตำแหน่งมหาเสนาบดีคนต่อไป เรื่องนี้หลายคนในอาณาจักรเทียนเหอต่างรู้กันทั่ว
ภายในตำหนักจ้งหวา บรรยากาศเคร่งเครียดเล็กน้อย มู่หรงอวิ๋นไห่ยื่นหนังสือแคว้นเป่ยอี้ให้หัวหน้าขันทีด้านข้างจัดการและกล่าวว่า “หนังสือแคว้นเป่ยอี้ฉบับนี้ ทุกท่านโปรดอ่านเถิด! ควรจัดการอย่างไร ทุกคนว่ามาได้”
หัวหน้าขันทียื่นหนังสือแคว้นเป่ยอี้ให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่รับมาอ่านทีละคนด้วยสีหน้าตกใจ เคร่งเครียด และวิตกกังวล ในท้ายที่สุดก็ส่งต่อให้ซูอวี้
ซูอวี้เพียงแค่เหลือบมองก็ขมวดคิ้วแน่น
แม้หนังสือจากเป่ยถังเย่จะเขียนถึงมู่หรงอวิ๋นไห่ ทว่าในเนื้อหากลับเขียนถึงเยี่ยโยวเหยา ระบุในหนังสือชัดเจนว่าอีกสามวัน เป่ยถังเย่จะนำกองทัพเข้าประชิดชายแดนแคว้นหนานหลี และต้องการให้เยี่ยโยวเหยาพาพระชายาโยวอ๋อง ซูจิ่นซีมาพบกับเขาด้วย ในจดหมายเน้นย้ำว่าต้องพาซูจิ่นซีไปให้ได้
เป่ยถังเย่คิดจะทำอันใด?
เหตุใดถึงยืนกรานที่จะพบซูจิ่นซี
ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ ซูจิ่นซีกำลังตกอยู่ในอันตราย นางไปชายแดนไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้ว่านางจะไปได้ ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ไปชายแดนไม่ได้เช่นกัน! ในเวลานี้เขากำลังอยู่ที่โลกสามเขตแดน
กลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่หารือกันทีละคน ทว่ากลับหารือกันเป็นการส่วนตัวและไม่มีใครกล้าพูดมาก
จู่ๆ มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ตะโกนเสียงดัง “ใต้เท้าซู ท่านคิดว่า… เรื่องนี้ควรทำอย่างไร? ”
ซูอวี้ไตร่ตรองคำพูดอยู่รอบหนึ่งและพูดว่า “ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นหนานหลีและแคว้นเป่ยอี้ตึงเครียด เรื่องนี้… ต้องจัดการอย่างระมัดระวังพ่ะย่ะค่ะ! ”
คำพูดเช่นนี้มีน้ำหนักมาก ทั้งไม่ตอบคำถามมู่หรงอวิ๋นไห่แบบขอไปทีและไม่หลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ
“จัดการอย่างระมัดระวังอย่างไร? ”
“ใช่แล้ว! ในหนังสือรับรองระบุชัดเจนว่าเป่ยถังเย่ต้องการพบโยวอ๋อง ทว่าในเวลานี้โยวอ๋องไม่อยู่แคว้นหนานหลี! ”
“จากที่กระหม่อมเข้าใจ เรื่องนี้เป่ยถังเย่มุ่งเป้าไปที่พระชายาโยวอ๋องอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากลับถือโอกาสเข้าบุกแผ่นดินแคว้นหนานหลีอย่างไร้เหตุผล ปวงประชาแคว้นหนานหลีผู้น่าสงสารของข้า! ”
“ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้! พระชายาโยวอ๋องยังเป็นฉางอันกงจู่ของแคว้นหนานหลี ชีวิตของกงจู่ตกอยู่ในอันตราย แคว้นหนานหลีจะนิ่งดูดายได้อย่างไร? ”
“คำพูดสวยหรู หรือว่าเพื่อฉางอันกงจู่แล้ว แคว้นหนานหลีต้องเสียสละทั้งแคว้นเพื่อต่อสู้กับแคว้นเป่ยอี้? ”
กลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีความเห็นต่างกัน ส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่แคว้นจงหนิง โดยคิดว่าที่แคว้นเป่ยอี้กำลังต่อสู้กับแคว้นหนานหลีเป็นหายนะที่เกิดจากแคว้นจงหนิง
ซูอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟังสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างละเอียด หลังผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวเสียงดังว่า “ใต้เท้าทุกท่านกล่าวผิดแล้ว พวกท่านคิดว่าหากไม่มีแคว้นจงหนิงแล้ว แคว้นเป่ยอี้จะไม่เปิดศึกกับแคว้นหนานหลีอย่างนั้นหรือ? ”
เสียงของทุกคนเงียบลงทันที ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ซูอวี้
ซูอวี้กล่าวอีกครั้งว่า “แคว้นตงเฉินในตอนนี้เป็นดินแดนของแคว้นเป่ยอี้ไปแล้ว สกุลเป่ยถังมีความทะเยอทะยานที่จะยึดครองใต้หล้า ผู้ใดจะรู้ว่าการจุดไฟสงครามครั้งต่อไปจะไม่มีดินแดนแคว้นหนานหลีด้วย? ”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าพูดตอบโต้สักประโยค
ผลักความรับผิดชอบที่แคว้นเป่ยอี้โจมตีแคว้นหนานหลีให้แคว้นจงหนิง ความจริงแล้วมันก็มากเกินไปจริงๆ
ต้องทราบว่า หากไม่ใช่เพราะท่านอ๋องระดมกองทัพแสนกว่านายจากแคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋นเข้าประชิดชายแดนแคว้นเป่ยอี้ เกรงว่าตอนนี้แคว้นเป่ยอี้คงเปิดศึกกับแคว้นหนานหลีไปนานแล้ว
“โยวอ๋องเคยรับปากว่าจะร่วมมือกับแคว้นหนานหลีต่อสู้กับแคว้นเป่ยอี้ แคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลีเป็นพันธมิตรกัน หากผู้ใดกล้าพูดมากแม้แต่ประโยคเดียว ลากออกไปตัดศีรษะ” มู่หรงอวิ๋นไห่กล่าว
เพียงชั่วครู่ บรรยากาศภายในตำหนักจ้งหวาก็เงียบลงถนัดตา
ทว่าตอนนี้กำลังพลได้เข้าประชิดชายแดนแล้ว ผู้ที่สามารถมาหารือที่ตำหนักได้ล้วนเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ขุนนางฝ่ายพลเรือนเหล่านี้เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่เห็นจะทำอันใดเป็นชิ้นเป็นอัน ซูอวี้ก็คร้านจะเถียงเช่นกัน
“ใต้เท้าซู! ” มู่หรงอวิ๋นไห่กล่าวเสียงดัง “จากความคิดของท่าน หากพาจิ่นซีไปที่ชายแดนก่อน แล้วค่อยแจ้งให้โยวอ๋องที่กลับมาจากโลกสามเขตแดนตามไปพบที่ชายแดนแคว้นเป่ยอี้ ท่านว่าเหมาะสมหรือไม่?”