สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1111 สรรพสิ่งในโลก รักนั้นเป็นฉันใด
ลูกศิษย์หลายคนของสำนักแพทย์เทียนอีและหมอหลวงสำนักหมอหลวงแคว้นจงหนิงหลายท่านอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเหลือ จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ซูอวี้ก็เดินออกมาจากกระโจมของอู๋จุน
“เป็นอย่างไร? ” ฉินเทียนเฝ้าด้านนอกกระโจมอยู่ตลอด
ซูอวี้พยักหน้า “เจ้าหุบเขาอู๋ปลอดภัยแล้ว พักผ่อนสักสองสามวันคงจะฟื้น” เขาพูดพลางมองไปที่กระโจมของซูจิ่นซี
แม้ไม่ได้เอ่ยปากถาม ฉินเทียนก็รู้ว่าซูอวี้เป็นกังวลอันใดจึงพูดว่า “ตั้งแต่เมื่อคืนที่เข้าไป ท่านอ๋องยังไม่ได้ออกมา และผู้อื่นไม่ได้รับอนุญาตให้ไปรบกวน”
“เรื่องไปพบที่แคว้นเป่ยอี้ ท่านอ๋องตอบรับหรือไม่? ”
“ตอบตกลงแล้ว เตรียมออกเดินทางตอนยามซื่อ เตรียมกำลังพลพร้อมหมดแล้ว สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน จู่ๆ จงเทียนโย่วก็วิ่งเข้ามา “แย่แล้ว แย่แล้ว! ”
“อันใดแย่แล้ว? ” ฉินเทียนเอ่ยถาม
“แม่นางถังเสวี่ย… แม่นางถังเสวี่ยหายไปแล้ว!? ”
“อันใดคือหายไปแล้ว? คนทั้งคนจะหายไปได้อย่างไร? นางไม่ได้ถูกพิษหรือ? จะไปที่ใดได้? ไปห้องน้ำหรือไม่? ให้บ่าวรับใช้ไปตามหา! ”
“หาแล้ว ไม่พบ หาทั่วทุกที่แล้วไม่พบเลย! ”
ฉินเทียนรีบวิ่งไปที่กระโจมของถังเสวี่ย นางหายไปจริงๆ
“เป็นไปได้อย่างไร? เมื่อคืนข้ายังเห็นนางเดินออกมาอยู่ด้านนอกกระโจมเจ้าหุบเขาอู๋อยู่เลย” ฉินเทียนกล่าว
ซูอวี้ถาม “นางมาดูเจ้าหุบเขาอู๋หรือ? ”
ฉินเทียนตอบ “ใช่แล้ว! พวกท่านอยู่ด้านในรักษาเจ้าหุบเขาอู๋ นางจึงไม่ได้เข้าไป ยืนอยู่ด้านนอกราวครึ่งชั่วยาม ยามเฉินก็กลับไป”
ซูอวี้ตกใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “ให้คนไปตามหา ต้องหานางให้พบ นางถูกพิษและยังบาดเจ็บภายนอก คงไปได้ไม่ไกล จะต้องตามนางกลับมาให้ได้”
“ขอรับ! ”
ฉินเทียนรีบส่งคนไปตามหาถังเสวี่ยทันที
ซูอวี้มองไปยังกระโจมที่ถังเสวี่ยอยู่แล้วมองไปที่กระโจมของอู๋จุน ท้ายที่สุดแววตาของเขาก็หยุดอยู่ที่กระโจมของซูจิ่นซี
พูดในใจว่า สรรพสิ่งในโลก รักนั้นเป็นฉันใด เป็นตายขออยู่เคียงคู่ สุขยามชิดใกล้ ทุกข์ยามลาจาก ถึงรู้ก็ยังงมงาย ท่านโปรดตอบ เมฆาหมื่นลี้ หิมะพันภูผา อยู่ไปเพื่ออันใด…
อยู่ไป… เพื่ออันใด
เขาคิดพลางหันหลัง แววตาเหม่อเล็กน้อย ทอดสายตามองไปยังด้านเหนือสุด
แม้ท้องฟ้าสดใส หมื่นลี้ไร้เมฆ ทว่ามองไม่เห็นสิ่งใด
ทว่าเขารู้ดีว่าตำแหน่งของเขาคุนหลุนอยู่ทางนั้น
หลังเยี่ยโยวเหยาออกจากค่าย เขาไม่ได้พาทหารแคว้นหนานหลีไปด้วย ทว่าพาองครักษ์วิหารวิญญาณบางส่วนไปพบกับเป่ยถังเย่ที่ชายแดน
ฉินเทียนตามหาถังเสวี่ยรอบๆ แต่ก็หาไม่พบ และกังวลว่าจะพลาดเวลาที่เยี่ยโยวเหยาเดินทางไปชายแดน เขาจึงกลับไปที่ค่ายหลักก่อน ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ให้เขาไปและสั่งให้คุ้มกันค่ายหลักเพื่อดูแลความปลอดภัยของทุกคน
แม้จะพูดว่าทุกคน ทว่าฉินเทียนทราบดีว่า สิ่งเยี่ยโยวเหยาไม่ต้องการให้มีข้อผิดพลาดแม่แต่น้อยคือ ซูจิ่นซีเพียงผู้เดียว
ยามซื่อ เยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ เดินทางมาถึงจุดนัดพบ นั่นคือเมืองเฟิงโจวซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือสุดของแคว้นเป่ยอี้ ทว่ากลับไม่เห็นเงาของเป่ยถังเย่ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เห็นทหารและกองทัพแคว้นเป่ยอี้เลย
จิ้นหนานเฟิงเดินตามเยี่ยโยวเหยา “ท่านอ๋อง เป่ยถังเย่คงจะไม่ได้ปั่นประสาทพวกเรากระมัง? ”
“ไม่! ” เยี่ยโยวเหยากล่าวเบาๆ
“หรือเขารู้ว่าพวกเราทิ้งพระชายาไว้ที่ค่ายหลักโดยไม่ได้พามาด้วย จึงไม่ยอมมาพบพวกเรา? ”
ตอนที่ออกจากค่ายหลัก จิ้นหนานเฟิงกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พอดี ในหนังสือ เป่ยถังเย่เจาะจงว่าต้องการพบพระชายา ถึงเวลานัดกลับไม่พานางมา ปัญหาย่อมตามมามากมายแน่นอน
ทว่าตอนนี้ซูจิ่นซีเป็นเช่นนั้น หากพานางมายังสถานที่เช่นนี้ ถือเป็นการแสดงความอดทนขั้นสูงสุดสำหรับเยี่ยโยวเหยาแล้ว หากตอนนั้นเขาอยู่ที่เมืองเย่หลิน คงไม่ยอมให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายซูจิ่นซีเป็นแน่ ทว่าในเมื่อตอนนี้พามาแล้วคงยากที่จะพูดอันใด เขาไม่มีทางพานางมาเมืองเฟิงโจวแน่นอน
รออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นเป่ยถังเย่มาตามนัดหมาย ผ่านไปครึ่งชั่วยาม จิ้นหนานเฟิงจึงต้องหาโรงน้ำชาให้เยี่ยโยวเหยาพักผ่อนก่อน
ทว่าการดื่มชาในเวลานี้ไม่สำคัญสำหรับเยี่ยโยวเหยา
เขานั่งอยู่ชั้นสูงสุดของโรงน้ำชา เสื้อคลุมสีดำขลับ รัศมีรอบตัวเย็นยะเยือกจนน่าหวาดกลัว อย่าว่าแต่ลูกค้าในโรงน้ำชาที่ไม่กล้าเข้าใกล้ กระทั่งจิ้นหนานเฟิงและกลุ่มองครักษ์ที่ติดตามข้างกายเขาก็ยังไม่กล้าพูดสักประโยค
ชาในถ้วยส่งกลิ่นหอมกรุ่น ไอร้อนลอยฟุ้ง
เยี่ยโยวเหยาทอดสายตายาวออกไป ที่นี่คือตึกที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและสูงที่สุดในเมืองเฟิงโจว ที่นี่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองเฟิงโจวได้อย่างชัดเจน ฝูงชนพลุกพล่าน เจ้าของแผงลอยที่คอยตะโกนขายของอยู่ริมถนน แม่น้ำหนานเว่ย สะพานเล็ก เรืออูฉวน และจวนเจ้าเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่ในระยะไกล ยังมี…
ทันใดนั้น แววตาดำขลับและล้ำลึกของเยี่ยโยวเหยาก็มองไปที่ไกลแสนไกล แสงในดวงตาลึกล้ำ เขาค่อยๆ ลุกขึ้น
จิ้นหนานเฟิงรีบก้าวไปข้างหน้า “ท่านอ๋อง! ”
“นั่นคือที่ใด? ”
“จวนท่านเจ้าเมืองขอรับ”
“ไม่ใช่”
ไกลกว่าจวนเจ้าเมือง ที่นั่นก็คือประตูเมืองทางใต้
“ท่านอ๋อง ที่นั่นคือประตูเมืองทางใต้ของเมืองเฟิงโจว เป่ยถังเย่มาจากทางเหนือก็น่าจะเป็นประตูเมืองทางเหนือ”
“ไม่ใช่! ”
ไม่ใช่?
จิ้นหนานเฟิงไม่รู้ว่าที่เยี่ยโยวเหยาปฏิเสธคือสิ่งใด หรือว่าเป่ยถังเย่ไม่ได้มาจากประตูเมืองทางเหนือ หรือว่าเขาหมายถึงประตูเมืองทางใต้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงของเยี่ยโยวเหยาพูดว่า “ทะเลดอกเหมย ทะเลดอกเหมยของเมืองเหยาเฉิง”
ทะเลดอกเหมย?
จิ้นหนานเฟิงมองไปไกลๆ แล้วค่อยๆ ขมวดคิ้ว
ทะเลดอกเหมยอันใดกัน?
ไกลออกไปอีก ไกลกว่าประตูหนานเฉิง นั่นคือภูเขาลูกหนึ่ง!
นอกจากนี้ เมืองเหยาอยู่ห่างจากที่นี่ร้อยกว่าลี้ ต่อให้โรงน้ำชาของเมืองเฟิงโจวจะสูงขึ้นไปอีก ทว่ายืนอยู่ตรงตำแหน่งนี้ก็มองไม่เห็นเมืองเหยาเฉิง
“ท่านอ๋อง ท่านดูผิดแล้ว นั่นไม่ใช่ทะเลดอกเหมย! ”
“ดอกเหมยในสวนตี้เหมยบานแล้วหรือ? จิ่นซี… ชอบสวนดอกเหมยที่บานตลอดทั้งปีและไม่เหี่ยวเฉา” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางค่อยๆ กำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้าง
จิ้นหนานเฟิงตกตะลึงอย่างรุนแรง เขาหันหน้ากลับไปมององครักษ์ข้างกายด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะเบนสายตามามองแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาที่ดำทะมึน เย็นชา และโดดเดี่ยว ทว่ากลับไม่พูดอันใดสักประโยค
ท่านอ๋องคิดถึงพระชายา!
เขาคิดถึงพระชายามากเกินไปแล้ว
จู่ๆ ก็มีเสียงเพลงดังแว่วมาแต่ไกล
เสียงพิณและเสียงขลุ่ยขับขาน ผสานกับเครื่องดนตรี เสียงกลอง เสียงพิณคงโหว และเสียงขลุ่ย
ชาวบ้านด้านนอกโรงน้ำชาต่างหันไปยังทิศทางเดียวกัน
“รีบไปดู มีคนเล่นดนตรีอยู่ด้านนอกประตูเมืองทางเหนือ”
“สตรีที่เล่นดนตรีเหล่านั้นดูเหมือนเทพธิดาจิ่วเทียน”
“เสียงนี้ช่างไพเราะเหลือเกิน เหมือนเสียงดนตรีจากสรวงสวรรค์ ข้าอยู่มาครึ่งชีวิตยังไม่เคยได้ยินเสียงดนตรีไพเราะเช่นนี้มาก่อน”
…….
“เป็นกองทัพแคว้นเป่ยอี้ คนของแคว้นเป่ยอี้บุกเข้ามาแล้ว คนของแคว้นเป่ยอี้โจมตีเมืองแล้ว! ”
“ปิดประตูเมืองเร็ว รีบปิดประตูเมือง! ”
ทันใดนั้น ท่ามกลางเสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดี ผสานกับเสียงแสบแก้วหูน่ากลัว ฝูงชนแตกตื่นวิ่งหนีกันชุลมุน
มีเสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
คนของแคว้นเป่ยอี้?
จิ้นหนานเฟิงกำลังครุ่นคิดว่าเป่ยถังเย่และคนอื่นๆ น่าจะมาถึงแล้ว เงาดำวาบผ่านด้านหน้า เยี่ยโยวเหยาลงจากโรงน้ำชาแล้ว
นัดพบที่เมืองเฟิงโจว ตระกูลเป่ยอี้ลึกลับคาดเดาได้ยาก ไปมาลึกลับ ไม่รู้ว่าเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน [1] อีกหรือไม่?
……
เชิงอรรถ
[1] งานเลี้ยงหงเหมิน เป็นงานเลี้ยงสำคัญในประวัติศาสตร์จีน เมื่อเซี่ยงหยี่ (บ้างเรียกว่า เซี่ยงอี่ว์ ฌ้อปาอ๋อง) ส่งเทียบเชิญหลิวปัง (เล่าปัง) ไปร่วมงานเพื่อหลอกฆ่ากลางงานเลี้ยง ซึ่งแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็สร้างความหวาดหวั่นกับผู้คน ต่อมาผู้คนจึงได้เรียกงานเลี้ยงที่มีแผนการซ่อนเร้น งานเลี้ยงที่แฝงเจตนาไม่ดี ว่า “งานเลี้ยงหงเหมิน”