สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1115 เดือดดาลสุดขั้ว
ถังเสวี่ย…
แม้เขาจะไม่สนิทมากนัก ทว่าชื่อนี้เป่ยถังเย่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดอันใดอยู่ ทันใดนั้นเขาก็เปิดม่านและกระโดดออกจากรถม้า องครักษ์รีบช่วยถือร่มก้าวไปข้างหน้า เป่ยถังเย่เดินมาด้านหน้าขบวน
เป็นจริงดั่งคาด มีสตรีสวมชุดสีเหลืองนางหนึ่งนอนสลบอยู่บนพื้น เสื้อเปียกชุ่มไปด้วยเลือด ศีรษะของนางเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน
“ท่านอ๋อง! ” แม่ทัพรีบลุกขึ้น
เป่ยถังเย่เดินเข้าไปตรวจสอบและเห็นว่าสตรีนางนั้นยังมีลมหายใจอยู่ เขาไม่สนว่าน้ำโคลนจะเปื้อนเสื้อสีขาวหิมะของเขาหรือไม่ ก่อนจะเข้าไปกอดถังเสวี่ยโดยไม่สนใจเรื่องอื่น
“ท่านอ๋อง? ”
แม่ทัพและเหล่าทหารต่างตกตะลึง
ท่านอ๋องรักสะอาดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อคลุมหิมะลวดลายดอกโบตั๋นสีทองตัวนั้น ในยามปกติ ท่านอ๋องไม่เคยทำให้มันเปื้อนฝุ่นแม้แต่น้อย ทว่าวันนี้เขาทำได้ถึงเพียงนี้เพื่อสตรีนางหนึ่ง
สตรีนางนี้… นางเป็นใคร?
นางรำทั้งสิบสองคนนั่งอยู่บนรถสามคันที่อยู่ด้านหลังเป่ยถังเย่
หนึ่งในนั้นคือสตรีรูปงามรูปร่างสูงพอสมควร ทันใดนั้นนางก็กระโดดลงจากรถม้า เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงเป่ยถังเย่ และพูดว่า “ท่านอ๋อง ท่าน… ”
“ไปตามหมอมาที่นี่เดี๋ยวนี้” เป่ยถังเย่ไม่สนใจสตรีนางนั้น คำพูดนี้เป็นการออกคำสั่งกับทหารที่อยู่ด้านหลัง
แม่ทัพคนนั้นรีบตอบรับคำและไปตามหมอ เมื่อสตรีนางนั้นเห็นเป่ยถังเย่กำลังอุ้มถังเสวี่ยเข้าไปในรถม้าของตนเอง นางก็ตกใจและรีบเข้าไปห้ามไว้
“ท่านอ๋อง สตรีนางนี้เป็นผู้ใด”
“ข้าไม่รู้จัก! ”
“ไม่รู้จักหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? ข้าได้ยินแม่ทัพเฟิงบอกว่านางชื่อถังเสวี่ย”
“นั่นมันเรื่องของเขา! ” เป่ยถังเย่ไม่ได้พูดโกหกเช่นกัน จำนวนครั้งที่เขาพูดกับถังเสวี่ยแทบใช้นิ้วนับได้เลย ถือว่าไม่รู้จักก็ว่าได้
“ทว่านี่คือรถม้าของท่านอ๋อง! ”
แม้เป่ยถังเย่จะมีหญิงงามจำนวนมากห้อมล้อม ทว่าเขาไม่เคยให้พวกนางเข้าออกรถม้าหรือห้องนอนของเขาเลยสักคน แม้แต่นางที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดก็ไม่เคยนั่งรถม้าของเขามาก่อน ทว่าในตอนนี้ เขากำลังจะอุ้มสตรีแปลกหน้าขึ้นไปบนรถม้าของตน
เป็นไปได้อย่างไร?
“ไปให้พ้น! ”
“ไม่! ”
สตรีนางนั้นยืนขวางหน้าเป่ยถังเย่ด้วยท่าทางดื้อรั้น น้ำฝนชโลมใบหน้าและเสื้อผ้าของนางจนเปียกชุ่ม
เป่ยถังเย่ขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าหมดความอดทน เขากระชากเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ไปให้พ้น! ”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนักของเป่ยถังเย่ ทหารที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รีบดึงสตรีนางนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว เป่ยถังเย่กอดถังเสวี่ยเดินตรงไปที่รถม้าของตนเอง
หมอประจำตัวที่ติดตามกองทัพมาด้วยรีบขึ้นรถเพื่อตรวจชีพจรให้ถังเสวี่ย
สตรีนางนั้นยังมองไปบนรถม้าด้วยสายตาไม่เต็มใจนัก น้ำฝนและน้ำตาไหลรินผสมปนเปกัน
แม่ทัพเฟิงที่อยู่ด้านข้างพูดว่า “แม่นางเร่าเหลียง เจ้าอย่าทำเกินตนเอง อย่าลืมสถานะของเจ้า! ”
ฉินเร่าเหลียงกัดริมฝีปากแน่น
ภายในรถม้า หมอตรวจชีพจรให้ถังเสวี่ยและพูดกับเป่ยถังเย่ด้วยความเคารพว่า “ท่านอ๋อง สตรีนางนี้ได้รับบาดเจ็บหลายจุด แม้บาดแผลจะได้รับการรักษาแล้ว ทว่าจากการเดินทางระยะไกล กอปรกับความเหนื่อยล้าและน้ำฝน ทำให้บาดแผลติดเชื้ออย่างหนัก ทั้งนางยังได้รับพิษร้ายแรงอีกด้วย อาการของนางเข้าขั้นวิกฤตมาก”
“ร่างกายนางได้รับพิษชนิดใด? ”
“กระหม่อมไม่เคยเห็นพิษชนิดนี้มาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่เคยเห็น เช่นนั้นรู้ได้อย่างไรว่านางถูกพิษ? ”
“ริมฝีปากสีม่วง เล็บสีดำ นี่เป็นอาการของคนถูกพิษ ทว่าพิษนี้แปลกมาก กระหม่อมมีประสบการณ์น้อยจึงไม่เคยเห็นพิษชนิดนี้มาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ใดสามารถถอนพิษชนิดนี้ได้”
“กระหม่อม… กระหม่อม… ” หมอลังเลและไม่กล้าพูดอันใดออกมา เป่ยถังเย่กระชากเสียงเย็นชา “มีอันใดก็พูดออกมาตรงๆ ! ”
“กระหม่อมเกรงว่าต้องเป็นคนของวิหารเทพเท่านั้นที่สามารถรักษานางได้พ่ะย่ะค่ะ”
วิหารเทพซีหวังหมู่!
แม้แคว้นเป่ยอี้จะได้รับอำนาจจากสวรรค์ ผู้คนต่างเคารพจวนเป่ยอี้อ๋อง ทว่าพวกเขาไม่มีทางไปรบกวนเทือกเขาคุนหลุนเป็นแน่ เว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย
สีหน้าของเป่ยถังเย่เผยความเคร่งเครียด เขาครุ่นคิดอันใดบางอย่างโดยไม่ได้พูดออกมา
หมอก้มหน้าด้วยความเคารพ ไม่กล้าลุกขึ้น
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เป่ยถังเย่ก็เหลือบมองถังเสวี่ย
เห็นนางนั่งพิงผนังรถม้า ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากเป็นสีม่วง ตัวนางสั่นเทาตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเย็นหรือเป็นผลจากพิษในร่างกาย ทว่านางกัดริมฝีปากของตนเองแน่น เส้นผมที่เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนเปรอะตามแก้มและลำคอ ยังมีหยดน้ำที่หยดลงในคอเสื้อทีละหยด ร่างกายเล็กสมส่วนขดตัวเหมือนลูกแมวโดนน้ำ เห็นสภาพเช่นนี้แล้วน่าสงสารจับใจ
ทันใดนั้น เป่ยถังเย่ก็ถอดเสื้อคลุมสีขาวของเขาออก ก่อนจะนั่งข้างถังเสวี่ยและสวมมันให้นาง พลางอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนของตนเอง
“กลับแคว้นเป่ยอี้ ”
น้ำเสียงแผ่วเบาอย่างมาก ทว่าแม่ทัพเฟิงที่อยู่ข้างรถม้าตอบรับคำสั่งทันที “ท่านอ๋อง กลับไปที่แคว้นเป่ยอี้ในเวลานี้หรือ? ทว่าแคว้นตงเฉิน… ”
“กลับไปแคว้นเป่ยอี้! ” น้ำเสียงของเป่ยถังเย่หนักแน่นอย่างมาก ไม่อนุญาตให้ผู้ใดซักถามหรือไม่เชื่อฟัง แม่ทัพเฟิงตอบรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ! ” จากนั้นเขาก็สั่งให้กองทัพหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปทางแคว้นเป่ยอี้
ฉินเร่าเหลียงยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเป็นเวลานาน ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีม่วงจากความหนาวเย็น นางทำได้เพียงหันหลังกลับไปขึ้นรถม้าของตนเอง
ภายในรถม้ามีนางรำอีกสามคนนั่งอยู่ พวกนางเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทุกอย่าง
“เร่าเหลียง เจ้าไปที่รถม้าของท่านอ๋องมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลับมาเล่า? ”
“ใช่! ปกติท่านอ๋องเอ็นดูเจ้ามาก ข้ายังคิดว่าท่านอ๋องจะให้เจ้าขึ้นไปบนรถม้า? ”
สตรีอีกนางหนึ่งพูดว่า “เป็นไปได้อย่างไร? เอ็นดูมากเพียงใด ท่านอ๋องก็ยังเป็นท่านอ๋อง หลักการของเขาไม่มีผู้ใดกล้าละเมิด”
“ใครว่าไม่ได้? เจ้าไม่เห็นหรือ? สตรีที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่ขึ้นรถม้าของท่านอ๋อง? ”
นางรำคนหนึ่งแสร้งทำท่าทีแปลกใจ “ท่านอ๋องอุ้มนางขึ้นรถม้าตนเองจริงหรือ? เหตุใดข้าไม่เห็น? ”
“คิกคิก… ” เหล่านางรำหัวเราะ “หมายความว่าอย่างไร? เห็นชัดๆ แต่กลับบอกว่ามองไม่เห็น จงใจทำให้เร่าเหลียงโกรธหรือ? พวกเราเป็นพี่น้องกัน อย่าทำเช่นนี้! ”
“คิกคิก… ” เสียงหัวเราะด้วยความขำขันดังขึ้นภายในรถม้า
ฉินเร่าเหลียงมีอารมณ์ขุ่นเคืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมคนนั้นคำคนนี้คำของนางรำทั้งสามคน ยิ่งโหมไฟเข้าไปอีก นางกำมือแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล ขอเพียงมีคนเติมเชื้อไฟลงไปอีกก็อาจระเบิดขึ้นมาได้
นางรำคนหนึ่งพูดเสริมเข้าไปอีกครั้งว่า “เร่าเหลียง? ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไรกันแน่? เดิมพวกเราทุกคนคิดว่าคนที่สามารถเข้าใกล้ท่านอ๋องได้มีเจ้าเพียงผู้เดียว! ผลสุดท้ายเจ้าก็ไม่สามารถขึ้นรถม้าของท่านอ๋องได้ ซ้ำยังปล่อยให้สตรีที่ไม่รู้มาจากที่ใดขึ้นบนรถม้าท่านอ๋องเป็นคนแรก ปัดโธ่… นี่คงเป็นสัญญาณว่าพระองค์เลิกโปรดปรานเจ้าแล้วกระมัง! ”
“เลิกโปรดปรานแล้ว… คำนี้พูดออกมาได้อย่างไร? ท่านอ๋องก็แค่ชอบนางเล็กน้อยเท่านั้น เพียงชอบฟังนางดีดพิณ นางจึงถูกเรียกตัวไปเล่นดนตรีไม่กี่ครั้ง แต่กลับทึกทักเอาเองว่าเป็นคนโปรดปรานของท่านอ๋องหรือ? พูดออกไปไม่กลัวขายหน้าหรือ! ”
“ฮิ ฮิ ฮิ ใช่ ต่อให้ท่านอ๋องจะโปรดปราน ก็คงไม่โปรดปรานนางรำอย่างพวกเราแน่! ”
“พอได้แล้ว! ” ในที่สุดฉินเร่าเหลียงก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป นางระเบิดโทสะออกมาอย่างรุนแรง เพลิงโทสะลุกโชนจนน่าหวาดกลัว
“แม่นางเร่าเหลียง เกิดอันใดขึ้น? ” ทหารนอกรถม้าเอ่ยถาม
ก่อนที่ฉินเร่าเหลียงจะพูดอันใด นางรำอีกคนก็พูดดักไว้ก่อนว่า “นางกำลังเดือดดาล อย่าไปสนใจนาง”
นางรำทั้งสิบสองคนมักจะโต้เถียงกันเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากท่านอ๋อง และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สอง ทหารเข้าใจดีจึงไม่พูดมากความ
ไม่นานนักรถม้าก็หยุดลงอีกครั้ง ทหารคนหนึ่งพูดขึ้นข้างรถม้าว่า “แม่นางยวี่ตี๋ ท่านอ๋องเรียกตัวเจ้า”
ทันใดนั้น แววตาของนางรำทุกคนต่างจับจ้องไปที่นางรำที่ชื่อยวี่ตี๋
สตรีนางนั้นสงบนิ่ง “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใดหรือ?”
“ท่านอ๋องไม่ได้บอก เพียงสั่งให้เจ้าไปหา!”