สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1116 สัตว์ประหลาดในป่าทึบ
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง อวิ้นยวี่ตี๋ก็เดินมาถึงด้านหน้ารถม้าของเป่ยถังเย่
“ท่านอ๋อง! ไม่ทราบท่านอ๋องเรียกบ่าวมีเรื่องอันใดเพคะ? ”
“ขึ้นมา! ”
อวิ้นยวี่ตี๋ดูเหมือนจะได้ยินไม่ชัดและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“ขึ้นมา! ” เสียงของเป่ยถังเย่ดังมาจากด้านในรถม้าอีกครั้ง
อวิ้นยวี่ตี๋พลันรู้สึกปลาบปลื้มและดีใจอย่างมาก ทว่าไม่นานก็สงบลงอีกครั้ง จากนั้นจึงยกกระโปรงและขึ้นไปบนรถม้า
เตาไฟในรถม้าอบอุ่น หมอ เป่ยถังเย่ และถังเสวี่ยกำลังนั่งอยู่ ทว่าถังเสวี่ยที่อยู่ในอาการหมดสติอยู่ในอ้อมกอดของเป่ยถังเย่
นี่เป็นครั้งแรกที่ยวี่ตี๋เห็นท่านอ๋องกอดสตรี นางตกใจ ทว่าละสายตากลับมาอย่างรวดเร็วและก้มศีรษะด้วยความเคารพ
ยวี่ตี๋ไม่ได้เย่อหยิ่งเหมือนฉินเร่าเหลียง นางรู้สถานะของตนเองดี จึงทำเรื่องต่างๆ อย่างเหมาะสมและไม่เคยล้ำเส้น
เป่ยถังเย่ขยับถังเสวี่ยออกจากอ้อมแขนแผ่วเบา ให้นางพิงผนังรถม้า จากนั้นจึงลงจากรถม้าพร้อมกับหมอ ก่อนที่จะออกไป เขาพูดว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง”
รอจนเป่ยถังเย่ลงจากรถม้า ยวี่ตี๋จึงกล้าเงยหน้าขึ้นและเห็นเสื้อผ้าสะอาดวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
หลังผ่านไปราวสองกาน้ำชาเดือด ยวี่ตี๋ก็ออกมาจากรถม้า และพูดกับเป่ยถังเย่ด้วยความเคารพว่า “ท่านอ๋อง เปลี่ยนเสื้อผ้าให้แม่นางผู้นั้นเรียบร้อยแล้วเพคะ! ”
“อืม! ” เป่ยถังเย่ตอบเสียงเบา และขึ้นไปบนรถม้าโดยไม่พูดอันใดมาก
เป่ยถังเย่อนุญาตให้หมอนั่งรถม้าคันเดียวกันเพื่อดูแลอาการของถังเสวี่ยไปตลอดทาง ขบวนเดินทางมุ่งหน้าต่อไป ยวี่ตี๋หันหลังกลับและเหลือบมองม่านรถม้าที่ปิดสนิท ก่อนจะเดินกลับไปทางรถม้าของตนเอง
ทันทีที่นางขึ้นบนรถม้า นางก็เห็นใบหน้าของฉินเร่าเหลียงดูถมึงทึงจนน่าหวาดกลัว
นางรำสองคนรีบพูดสวนไปว่า “ยวี่ตี๋ เจ้าเก่งมากจริงๆ พวกเราทุกคนคิดว่าคนที่สามารถขึ้นรถม้าท่านอ๋องได้จะมีเร่าเหลียงเท่านั้น กลับไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่ไปได้ขึ้นไปบนรถม้า เร็ว บอกพวกเรา ท่านอ๋องให้เจ้าขึ้นไปทำอันใดหรือ? ”
รูปโฉมยวี่ตี๋นั้นไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับนางรำทั้งสองคน นับว่าธรรมดามากด้วยซ้ำ นางมีอุปนิสัยอ่อนโยนและไม่ชอบทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจ
นางตอบไปตามความจริงว่า “ไม่มีอันใด เสื้อผ้าของแม่นางผู้นั้นเปียก ท่านอ๋องขอให้ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดให้นางเท่านั้น”
“สตรีนางนั้นหน้าตาดีหรือไม่? ”
ยวี่ตี๋พยักหน้า “นางงดงามมาก! ”
สีหน้าของฉินเร่าเหลียงถมึงทึงมากขึ้น
นางรำคนหนึ่งเหลือบมองฉินเร่าเหลียง และถามนางว่า “แล้วสวยกว่าเร่าเหลียงไหม? ”
ยวี่ตี๋ตอบคำถามอย่างชาญฉลาด “สตรีนางนั้นอายุน้อยกว่าพวกเราพอสมควร”
“นางกำลังทำอันใดอยู่ตอนที่เจ้าเข้าไป? ท่านอ๋องชอบพอนางหรือไม่? ”
“ข้าจะกล้าคาดเดาจิตใจของท่านอ๋องได้อย่างไร? แม่นางผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติ”
……
ค่ายทหารแคว้นจงหนิงทางทิศเหนือ ประจำการชายแดนแคว้นหนานหลี
ซูอวี้ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เป็นเวลานาน ยังรู้สึกว่าควรบอกเยี่ยโยวเหยาเกี่ยวกับการจากไปของอู๋จุน
หลังจากซูจิ่นซีงีบหลับไป เยี่ยโยวเหยาก็เดินออกมาจากกระโจม ซูอวี้รีบเดินเข้าไปหา
“ท่านอ๋อง! ”
“มีเรื่องอันใด? ”
“เจ้าหุบเขาอู๋จากไปแล้ว! ”
เยี่ยโยวเหยาตกตะลึงเล็กน้อย นิ้วมือกำแน่น
“เกิดขึ้นเมื่อใด? ”
“สามชั่วยามก่อนหน้านี้! ”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความเคร่งขรึมมากขึ้น
“ข้ารู้แล้ว”
ซูอวี้หันไปมองกระโจมที่ซูจิ่นซีนอนพักอยู่ หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมา
แม้เขาอยากสนทนากับนาง อยากเห็นนางยิ้ม ทว่าหยุดอยู่ที่เบื้องหน้า ตอนนี้ เวลานี้ เพียงพอแล้ว!
พี่จิ่นซีสบายดี ข้าก็สบายใจแล้ว!
“เขา… ” เยี่ยโยวเหยาพูดขึ้น ทว่าหลังจากพูดคำเดียวก็หยุดชะงักอีกครั้ง
ซูอวี้พูดว่า “แม้จะรักษาชีวิตไว้ได้ ทว่า… กระหม่อมยังไม่มีวิธีรักษา เรื่องนี้สะเทือนจิตใจเจ้าหุบเขาอู๋อย่างมาก”
เยี่ยโยวเหยาหันไปมองกระโจมที่ซูจิ่นซีกำลังนอนอยู่ มือที่ไพล่ไว้ด้านหลังยิ่งกำแน่นมากขึ้น ทว่าไม่พูดสิ่งใดออกมา
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก
ทุกคนภายในค่ายทหารต่างมองไปทางเสียงนั้น
ฉินเทียนเดินออกจากกระโจม “เกิดอันใดขึ้น”
ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาหา “เรียนท่านผู้บัญชาการฉิน เสียงดังมาจากป่าด้านข้าง มีคนร้องขอความช่วยเหลือ”
“ช่วยด้วย… ช่วยด้วย… ”
เสียงนั้นดังมากขึ้นและน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
“รีบไปดู! ”
ฉินเทียนและจิ้นหนานเฟิงรีบพาทหารกลุ่มหนึ่งออกไปดู
ในป่ามีสตรีนางหนึ่งกำลังอุ้มทารกอยู่ในอ้อมกอด นางตะโกนขอความช่วยเหลือและวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก ทันใดนั้นศีรษะก็กระแทกเข้ากับหน้าอกของฉินเทียน
ฉินเทียนรีบพยุงสตรีนางนั้น
สตรีนางนั้นคว้าเสื้อฉินเทียนและพูดว่า “ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย! ”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ผู้ใดไล่เจ้ามาหรือ? ”
เขาเห็นเพียงสตรีที่วิ่งขอความช่วยเหลือ กลับไม่เห็นคนที่กำลังไล่ตามนาง
นางมีท่าทีสงบลงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองข้างหลัง “เป็น… ”
ฉินเทียนเห็นสตรีนางนั้นมีท่าทีแปลกประหลาด ทันใดนั้นก็มีเสียง ซู่ ซู่ ซู่ ดังมาจากด้านในป่าไม่ไกลนัก
องครักษ์ชักอาวุธออกมาอย่างรวดเร็วและชี้ไปยังทิศทางของเสียง ฉินเทียนชักกระบี่ยาวออกมาด้วย
กลับไม่คิดว่าสตรีนางนั้นจะเข้ามาห้ามพวกเขา “อย่าทำร้ายเขา อย่า อย่า! ”
ในชั่วพริบตา ร่างเงาในป่าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคน เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น เส้นผมยุ่งเหยิงปรกหน้า จึงเห็นไม่ชัดเจนว่าเขามีหน้าตาอย่างไร? ทว่านิ้วมือทั้งสองข้างของเขามีลักษณะเหมือนกรงเล็บ ปลายเล็บเรียวยาวสีดำเหมือนกรงเล็บของนกอินทรี ขณะที่เห็นองครักษ์ถืออาวุธอยู่ข้างหน้า การเคลื่อนไหวของเขาช้าลงเล็กน้อย ทว่ายังเดินมาข้างหน้าทีละก้าวและส่งเสียงคำราม ‘ฮู่ ฮู่’
อาการเช่นนี้ คล้ายกับศพพิษของแคว้นไหวเจียง?
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เยี่ยโยวเหยายึดแคว้นไหวเจียงมาได้ทั้งหมด เขาเผาศพพิษของแคว้นไหวเจียงทั้งหมดกับมือ! หรือว่า… จิ้นอี้เฉินกำลังแอบสร้างความวุ่นวายอีกครั้ง?
ขณะที่กำลังครุ่นคิด คนผู้นั้นก็พุ่งเข้ามาหาฉินเทียน มือธนูที่อยู่ข้างหลังเขาง้างธนูพร้อมยิงตลอดเวลา ทันใดนั้น มือธนูคนหนึ่งก็ยิงธนูเข้ากลางหัวใจของคนผู้นั้น
“อย่า… หยุด หยุด พวกเจ้าทำร้ายเขาไม่ได้! ”
สตรีนางนั้นพลันร้องตะโกนเสียงดัง นางพยายามจะกระโจนเข้าหาศพพิษ ทว่าฉินเทียนรีบคว้าตัวนางไว้ “อย่าเข้าไป อันตราย! ”
สตรีนางนั้นดิ้นรนขัดขืนและร้องขอความช่วยเหลือ เด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของนางร้องไห้ตลอดเวลา ฉินเทียนเหลือบมองนางอีกครั้ง สีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย เพียงเส้นผมยุ่งเหยิงปรกคลุมใบหน้านางจึงเห็นไม่ชัดว่านางมีหน้าตาอย่างไร
สิ่งที่ดูเหมือนศพพิษถูกยิงด้วยลูกธนูและหยุดนิ่งอยู่กับที่ เดิมคิดว่าสามารถปราบเขาได้แล้ว จิ้นหนานเฟิงกับคนจำนวนหนึ่งเดินเข้าไปหาเขา กลับไม่คิดว่าเขาจะดึงลูกธนูที่หน้าอกออกมาและกระโจนใส่กลุ่มทหารอีกครั้ง มือธนูที่อยู่ด้านหน้าสุดจำเป็นต้องยิงธนูอีกครั้ง
“อย่า! ” จู่ๆ สตรีนางนั้นก็ตะโกนร้องเสียงดัง นางไม่สนใจเด็กทารกในอ้อมกอดและผลักฉินเทียนอย่างแรง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ศพพิษนั้น
สีหน้าฉินเทียนเปลี่ยนไป เขารีบคว้าเด็กที่กำลังตกลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเงยหน้ามองสตรีนางนั้นที่กำลังวิ่งเข้าไปปกป้องศพพิษ ลูกธนูยาวสามดอกปักที่หน้าอกของนาง
เส้นผมที่ยุ่งเหยิงถูกลมแรงพัดเปิดใบหน้า ในที่สุดใบหน้าของสตรีนางนั้นก็เผยออกมาให้เห็นชัดเจน
จิ้นหนานเฟิงพูดเสียงต่ำด้วยความประหลาดใจ “รัชทายาทตงหลิง? ”
นิ้วมือของฉินเทียนสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที มิน่าเล่า เมื่อครู่สตรีนางนี้ดูคุ้นหน้าอย่างมาก ทว่าเขาไม่คิดว่าจะเป็นตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงไม่สนใจลูกธนูยาวที่ยิงเข้าที่ร่างกายของตน นางหันหลังกลับมา “มู่หรงฉี มู่หรงฉี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? …มู่หรงฉี… ”
นางมองคนที่ถูกลูกธนูปักตามตัวราวกับเม่น มือของนางยื่นออกมาและหยุดชะงักกลางอากาศโดยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี น้ำตาพลันไหลรินและร้องไห้คร่ำครวญ
มู่หรงฉี?
ฮ่องเต้แคว้นหนานหลี มู่หรงฉี???