สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1117 ลูกสะใภ้
โอ้ พระเจ้า…
พวกเขาไปทำอันใดมา?
ฉินเทียนรีบเข้าไปสางเส้นผมที่ยุ่งเหยิงบนใบหน้าของบุรุษคนนั้น เป็นมู่หรงฉีไม่ผิดแน่
ทว่าดูเหมือนเขาจะเสียสติไปแล้ว ทั้งยังส่งเสียงคำรามในลำคอเหมือนสิงโต
เนื่องจากกลัวว่าเขาจะทำร้ายตงหลิงหวง ฉินเทียนจึงรีบสั่งให้ทหารจับเขาไว้ กลับไม่คิดว่าองครักษ์จำนวนหนึ่งจะก้าวเข้ามาข้างหน้าและคุมตัวเขาไว้
ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็ถูกคุมตัวไปพบเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาเห็นทั้งสองคนก็พลันขมวดคิ้วแน่น “เกิดอันใดขึ้นกับพวกเจ้า? ”
จิ้นหนานเฟิงและทหารองครักษ์ก้มหน้า ไม่มีใครกล้าพูด ฉินเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เอ่อ… พี่ใหญ่ พวกเราไม่รู้ว่าเป็นพวกเขา จึงทำร้ายพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“รีบไปตามซูอวี้มาเดี๋ยวนี้! ”
องครักษ์รีบไปตามซูอวี้ ทันใดนั้นเสียงของซูจิ่นซีก็ดังมาจากด้านหลังกลุ่มคน “เกิดอันใดขึ้น? ”
หัวหน้าทหารองครักษ์ก้มหน้าลงต่ำ พวกเขาหลีกทางให้ซูจิ่นซี และยืนแยกออกเป็นสองฝั่ง
ซูจิ่นซีเห็นลูกธนูสามดอกปักอยู่ที่หน้าอกของตงหลิงหวงที่หมดสติ นางรีบวิ่งเข้าไปหา
“ตงหลิงหวง เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า? ”
เยี่ยโยวเหยานั่งยองๆ เพื่อพยุงซูจิ่นซี “ฝนยังไม่หยุดตก เจ้าออกมาได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซีไม่ตอบคำถามเยี่ยโยวเหยา นางปัดเส้นผมที่ปรกหน้าบุรุษผู้นั้น ก่อนจะตกตะลึงอย่างมาก “เสด็จพี่? ” จากนั้นจึงมองรูปลักษณ์ที่เหมือนศพพิษของมู่หรงฉี สีหน้าของนางปรากฏความเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น
ทหารองครักษ์หลายคนกำลังคุมตัวมู่หรงฉี เขายังส่งเสียงคำรามในลำคอตลอดเวลา ดวงตาของซูจิ่นซีหดเกร็ง
เยี่ยโยวเหยารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่มีทางพักผ่อนอย่างสงบ จึงรีบสั่งให้องครักษ์พาตงหลิงหวงและมู่หรงฉีไปพักที่กระโจมก่อน
ไม่นานนัก ซูอวี้ หมอเทวดา และเทพโอสถก็มารวมตัวกันในกระโจมบัญชาการ ซูจิ่นซีสั่งการให้พวกเขาจัดการกับลูกศรและบาดแผลบนร่างกายของทั้งสองคน
โชคดีที่ลูกศรทั้งสามดอกปักเข้ากลางอกตงหลิงหวงแต่ไม่ถูกหัวใจจึงช่วยชีวิตนางไว้ได้ ทว่า…
มู่หรงฉีเสียสติอย่างสมบูรณ์ เขาคลุ้มคลั่งดุดัน ทหารองครักษ์ใช้แรงอย่างมากเพื่อจับเขาไว้ เชือกธรรมดาก็ไม่สามารถมัดเขาได้ ซูจิ่นซีทำได้เพียงใช้เชือกเทวะโดยไม่เต็มใจนัก กลับไม่คิดว่าทันทีที่มัดเชือกเทวะที่มือและเท้าของมู่หรงฉีแล้ว เขาก็หมดสติไป
“พระชายา! ” ซูอวี้กล่าว
แววตาของซูจิ่นซีจ้องไปที่ร่างของมู่หรงฉี “ไม่ใช่การถูกพิษ”
หมดสติเมื่อถูกมัดด้วยเชือกเทวะ นี่ไม่ใช่สัญญาณการได้รับพิษ ทว่า… เหมือนเป็นเวทมนตร์ดำ
อย่างไรก็ตาม เวทมนตร์ดำจำพวกนี้ นอกจากพบที่แคว้นหนานหลีก่อนหน้านี้แล้วก็ไม่เคยพบคนที่ใช้เวทมนตร์ดำนี้เลย หรือว่าในอาณาจักรเทียนเหอยังมีคนที่ใช้วิชาเวทมนตร์ชั่วร้ายเช่นนี้อีก?
ซูจิ่นซีใช้ระบบถอนพิษตรวจสอบร่างกายของมู่หรงฉีอีกครั้ง ทว่าไม่พบสารพิษใดๆ
บาดแผลของมู่หรงฉีและตงหลิงหวงได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่นซีเรียกให้คนมาชำระร่างกายของมู่หรงฉีและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดให้เขา จากนั้นจึงเตรียมคนคอยดูแล ก่อนจะออกจากกระโจม
ทันทีที่เดินออกมา นางก็เห็นฉินเทียนเดินไปรอบๆ และอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งอยู่ไม่ไกล เด็กคนนั้นกำลังร้องไห้ และดูเหมือนว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมเด็กทารกไม่ได้
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปหา
ฉินเทียนพูดว่า “พี่สะใภ้! ”
ฉินเทียนเคยมีอคติกับนางมาก่อน ต่อมาแม้เขาจะยอมรับในตัวนาง ทว่าเขาและทหารองครักษ์คนอื่นๆ ก็ยังเรียกนางว่าพระชายา และนางก็ไม่คุ้นเคยกับคำว่าพี่สะใภ้ นางเกือบลืมไปแล้วว่าเขาเป็นบุตรชายของฮูหยินปิงจี และเป็นลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยโยวเหยา
“เกิดอันใดขึ้น? ”
ฉินเทียนรู้ว่าซูจิ่นซีกำลังถามถึงเด็กทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา “เด็กคนนี้ รัชทายาทตงหลิงอุ้มไว้ขณะที่พวกเราพบนาง ในจังหวะที่สถานการณ์คับขัน นางโยนเด็กออกไปจนเกือบจะตกลงบนพื้น ข้าเข้าไปอุ้มไว้ได้ทัน ทว่าเด็กร้องไห้ไม่หยุดเลย เกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่หยุดร้อง”
เด็กที่ตงหลิงหวงอุ้มมา?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ให้ข้าดูหน่อย! ”
ฉินเทียนอุ้มเด็กไปให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีกอดเด็กทารกในอ้อมแขนและมองอย่างละเอียด คิ้วและดวงตาสีอ่อนเหมือนเมฆ ดวงตากลมโตสุกสกาวดั่งทะเลแห่งดวงดาว มีส่วนคล้ายตงหลิงหวงมาก สันจมูกโด่ง หว่างคิ้วเด่นชัด ดูอบอุ่นคล้ายมู่หรงฉี
ซูจิ่นซีตกตะลึงกับความคิดในใจของนาง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นและหันกลับไปมองยังกระโจมที่ตงหลิงหวงและมู่หรงฉีอยู่
หรือว่า… นี่คือบุตรของพวกเขา?
จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พบกับตงหลิงหวงที่ภูเขาคุนหลุน ตอนนั้นนางไม่มีร่องรอยการตั้งครรภ์แม้แต่น้อย!
นางเปิดผ้าห่มที่ห่อตัวเด็กขึ้น เห็นเด็กน้อยตัวเล็กมาก แขนเรียวเล็กเพียงครึ่งเดียวของเยี่ยหลินเชวีย เห็นได้ชัดว่าเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนด
ฉินเทียนเห็นท่าทางแปลกๆ ของซูจิ่นซีจึงพูดว่า “พี่สะใภ้! ”
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้น “เด็กทารกคนนี้ข้าจัดการเอง! ”
“ทว่า… ”
“อันใด? ”
“ทว่าพี่เยี่ยไม่ต้องการให้พวกเรารบกวนท่าน! ”
“ไม่เป็นไร ข้างกายข้ายังมีแม่นมเฝิงกับแม่นมอี๋! ”
ซูจิ่นซีอุ้มเด็กทารกกลับไปที่กระโจมของตนเอง
เยี่ยโยวเหยากับซูอวี้กำลังหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ของตงหลิงหวงและมู่หรงฉีภายในกระโจม
เมื่อเห็นซูจิ่นซีเข้ามาพร้อมกับเด็กทารกที่กำลังร้องไห้ เยี่ยโยวเหยาพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “เด็กคนนั้นเป็นของผู้ใด? ”
ซูจิ่นซีพูดว่า “ฉินเทียนอุ้มอยู่ บอกว่าตงหลิงหวงอุ้มเด็กทารกคนนี้ตอนที่พวกเขาพบนาง”
ซูจิ่นซีพูดพลางอุ้มเด็กยื่นไปด้านหน้าเยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา ท่านดูสิ เด็กคนนี้เหมือนตงหลิงหวงและมู่หรงฉีหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว ไม่พูดอันใด
ซูจิ่นซีพูดอีกครั้ง “ดูคิ้วของเขา ดูเหมือนตงหลิงหวงเจ็ดส่วน มู่หรงฉีสามส่วน”
เยี่ยโยวเหยาพูดว่า “เด็กยังเล็กอยู่จะเห็นอันใด อย่าพูดเรื่องไร้สาระ”
ซูจิ่นซียกยิ้มเล็กน้อย
สีหน้าของซูอวี้แปลกไป หลังครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้ของตงหลิงหวงกับมู่หรงฉีมีบางอย่างที่ไม่สามารถปกปิดไว้ได้อีกแล้ว
ซูจิ่นซีพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ อีกเดี๋ยวเจ้ากลับไปศึกษาดูว่าจะจัดการกับอาการของพี่ฉีอย่างไร? ”
“พ่ะย่ะค่ะพระชายา” ซูอวี้พยักหน้าให้ซูจิ่นซีด้วยความเคารพ
ซูจิ่นซีตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ เหตุการณ์ในแคว้นจงหนิงปีนั้นก็ปรากฏเข้ามาในความคิดของนาง
ทว่าบุคคลที่อยู่ในความทรงจำไม่ใช่ซูอวี้ เขาเป็นคนที่อบอุ่นและอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
เขาสวมชุดสีขาว ยืนอบอุ่นและสง่างามท่ามกลางดอกไห่ถัง รอยยิ้มที่สดใสดั่งฟ้าหลังฝน
“พ่ะย่ะค่ะพระชายา! ”
“กระหม่อมคำนับพระชายา! ”
“พระชายา! ”
……
“จิ่นซี? ” เยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซีจิตใจเหม่อลอย จึงเอ่ยเรียกแผ่วเบา
ซูจิ่นซีกลับมาได้สติ นางรีบปกปิดความผิดปกติในดวงตาอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่ได้พบเจ้ามาสองสามวันแล้ว เหตุใดอวี้เอ๋อร์จึงพูดจาเหินห่าง? เมื่อก่อนเจ้ามักเรียกข้าว่าพี่จิ่นซีมิใช่หรือ? เหตุใด จู่ๆ ถึงเรียกข้าเช่นนี้? ”
ซูอวี้พูดว่า “ตอนนี้อวี้เอ๋อร์ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักหมอหลวงและไม่ใช่เด็กเล็กเหมือนเมื่อก่อน เป็นการไม่สมควรที่จะเรียกท่านว่าพี่จิ่นซีอีก”
“เหตุใดถึงไม่เหมาะสม? เรียกตั้งแต่เล็กจนโต จู่ๆ ก็เปลี่ยนชื่อเรียก ดูขัดเขินอย่างไรบอกไม่ถูก ต่อไปก็เรียกพี่จิ่นซีเหมือนเดิมเถิด”
ซูอวี้พูดว่า “เรื่องนี้ไม่เหมาะสม! ”
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียงเพราะความเหินห่างหรือสาเหตุอื่น แต่เป็นเพราะว่าคนในราชสำนักแคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋นต่อต้านซูจิ่นซีมาโดยตลอด ตอนนี้เขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปกครองอย่างเป็นทางการ เขาเกรงว่าจะสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับซูจิ่นซี
แม้บางเรื่องจะมองภายนอกไม่ออก ทว่ากระแสน้ำกำลังพลุ่งพล่านและซ่อนตัวอยู่ลึกลงไป ไม่รู้ว่าวันใดจะปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหัน ระมัดระวังไว้ดีที่สุด
ซูจิ่นซีเห็นสีหน้าดื้อดึงของซูอวี้ นางรู้ดีว่าไม่สามารถโน้มน้าวเขาได้ จึงพูดว่า “ไม่เป็นอันใด! ต่อไปอยู่ต่อหน้าผู้อื่นจะเรียกอย่างไรก็ได้แล้วแต่เจ้า ทว่าตอนไม่มีใครอยู่ เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่จิ่นซี ข้ามีน้องชายไม่กี่คน! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
“เรียกให้ข้าฟังหน่อย! ”
ซูอวี้เงยหน้าขึ้น “พี่จินซี! ”
“เช่นนี้ถูกต้องแล้ว! ”
หลังจากพูดจบ นางก็กล่อมเด็กในอ้อมแขนต่อ เด็กหยุดร้องไห้เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของซูจิ่นซี ดวงตากลมโตจ้องมองนาง
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มและพูดว่า “เด็กคนนี้ โตขึ้นคงจะเป็นเด็กที่งดงามมากทีเดียว”
หลังพูดจบ นางก็หันไปพูดกับเยี่ยโยวเหยาว่า “เยี่ยโยวเหยา ต่อไปให้นางเป็นพระชายาหลินเชวียของเราเป็นอย่างไร? ”