สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1118 ข้าคือตงหลิงหวง
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เรื่องคู่ครองของหลินเชวีย ต่อไปให้เขาตัดสินใจเองจะดีกว่า! ”
ซูจิ่นซีเห็นว่าซูอวี้มีท่าทีอ้ำอึ้งอยากจะพูดอันใดบางอย่าง นางจึงพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้ามีอันใดจะพูดหรือ? ”
ซูอวี้ครุ่นคิดหาคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “พี่… จิ่นซี มีบางเรื่องที่ข้าปกปิดท่านมาโดยตลอด… ”
“เรื่องอันใด? ”
“รัชทายาทตงหลิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ตอนอยู่ที่เขาคุนหลุนแล้ว อวี้เอ๋อร์จับชีพจรของนางจึงรู้เข้า ทว่านางไม่ยอมให้พูด ข้าจึงไม่ได้บอกท่าน”
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างละเอียด “มิน่าเล่า จู่ๆ ในตอนนั้น นางจึงจากไปโดยไม่ได้บอกลา นางต้องการปกปิดเรื่องนี้จากผู้อื่นและไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ และคนผู้นั้นคือมู่หรงฉีกระมัง? กลับไม่คิดว่าต่อมามู่หรงฉีจะทิ้งเรื่องราวทุกอย่างและไปตามหานาง”
“พี่จิ่นซี ข้าขอโทษ! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดต้องขอโทษ! เจ้ารักษาสัญญาต่อผู้อื่น มีอันใดผิดหรือ? ”
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ของมู่หรงฉี…
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ซูจิ่นซีก็ขมวดคิ้วเครียดขึ้นมาทันที ทว่าทุกอย่างต้องจัดการหลังจากมู่หรงฉีฟื้นขึ้นมา จึงจะทำการรักษาขั้นตอนต่อไปได้
มู่หรงฉีกับตงหลิงหวงยังคงหมดสติ ไม่เหมาะที่จะกลับไปแคว้นหนานหลีในตอนนี้ ทว่าภายในค่ายทหารอับชื้นและไม่เหมาะสมต่อการพักฟื้น เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีจึงตัดสินใจกลับไปที่เมืองเฟิง
ในขณะที่ทุกคนเดินทางมาถึงเมืองเฟิง จงหรง เจ้าเมืองเฟิงออกมาต้อนรับที่หน้าประตูเมืองนานแล้ว พูดไปแล้ว จงหรงผู้นี้เป็นสายเลือดสกุลจงเช่นเดียวกัน เขาต้องการรับราชการเป็นขุนนาง จนในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าเมืองเฟิง เขารู้ข่าวว่าคนที่เดินทางมานั้นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานหลีและแคว้นจงหนิง อีกทั้งซูจิ่นซีและจงเทียนโย่วกับบุตรชายยังเป็นคนกันเองอีกด้วย ท่าทีของจงหรงจึงนอบน้อมเป็นพิเศษ
เขาต้อนรับขบวนเดินทางเข้ามาพักในจวนเจ้าเมืองด้วยความเคารพ และจัดที่พักที่ดีที่สุดให้
หลังจากทุกคนได้ที่พักฟื้นที่เหมาะสม ตงหลิงหวงก็ฟื้นขึ้นมา ซูจิ่นซีเข้าไปพบตงหลิงหวงด้วยตนเอง
บาดแผลจากลูกศรทั้งสามที่ยิงเข้ากลางอก แม้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ทว่าอาการยังสาหัสมาก นางนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดขาวและอ่อนแออย่างมาก
เมื่อตงหลิงหวงเห็นซูจิ่นซีจึงพยายามลุกขึ้น ซูจิ่นซีรีบก้าวเข้าไปจับไหล่นางไว้ “ไม่ต้องลุกขึ้น เจ้ายังอ่อนแอมาก นอนลงเถิด” ตงหลิงหวงเห็นซูจิ่นซีแล้วดวงตาเป็นประกาย หลังเห็นซูอวี้ หมอเทวดา เทพโอสถ และคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังนาง ดูเหมือนนางจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและนอนลงอย่างสงบ
“ซินอี๋อยู่ที่ใด? ”
ซูจิ่นซีตกตะลึงครู่หนึ่ง ทว่ารับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าตงหลิงหวงกำลังพูดถึงบุตรสาวของนาง จึงรีบสั่งให้คนไปบอกแม่นมเฝิงให้อุ้มเด็กเข้ามา
ไม่นานนักเด็กก็ถูกอุ้มเข้ามาหานาง แม่และเด็กมีจิตใจสัมพันธ์กัน ทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง เด็กก็ร้องไห้ออกมาทันที ตงหลิงหวงตื่นเต้นเล็กน้อยและพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง ซูจิ่นซีช่วยพยุงนางขึ้น ก่อนจะหยิบหมอนสองใบให้นางพิงไว้ด้านหลัง แม่นมเฝิงส่งเด็กไว้ในอ้อมแขนของนาง
เมื่อตงหลิงหวงผู้ซึ่งเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเสมอมาได้เห็นหน้าลูกของตนเอง น้ำตาของนางพลันไหลรินและกอดเด็กไว้แน่น
“ลูกรัก แม่ดูแลเจ้าไม่ดีพอ แม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก! ”
ซูจิ่นซีพูดว่า “เด็กคนนั้นชื่อซินอี๋หรือ? เป็นดอกไม้ซินอี๋ ดอกไม้ประจำแคว้นตงเฉินหรือ? ชื่อไพเราะยิ่งนัก! ”
นางใช้แก้มตนเองแตะแก้มเด็กและพยักหน้าเล็กน้อย
ซูจิ่นซีพูดเสริมอีกว่า “ไม่ต้องกังวล หลายวันที่ผ่านมาตอนที่เจ้าหมดสติ ข้าดูแลเด็กด้วยตนเอง ข้าดูแลนางอย่างดี”
ตงหลิงหวงเงยหน้ามองซูจิ่นซีด้วยสายตาซาบซึ้ง “ขอบใจมาก! ” จากนั้นดูเหมือนนางจะคิดอันใดได้บางอย่าง “มู่หรงฉีอยู่ที่ใด? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “อยู่ข้างห้องเจ้า”
เมื่อเห็นสีหน้าซูจิ่นซีเปลี่ยนไป ตงหลิงหวงจึงพูดด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “เขาเกิดคลุ้มคลั่งอีกแล้วใช่หรือไม่? ตอนนี้อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง? ”
นางพูดพลางวางเด็กไว้ด้านข้างและพยายามลุกขึ้นจากเตียง ซูจิ่นซีรีบเข้าไปห้ามตงหลิงหวง
“ตอนนี้เขาดีขึ้นมากแล้ว ข้าได้จัดคนดูแลเขาเป็นพิเศษ ไม่ต้องกังวล เขาจะไม่เป็นอันใดในตอนนี้”
ตงหลิงหวงตื่นเต้นมากเกินไปจนกระเทือนบาดแผล นางขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดและทรุดตัวนั่งลงบนเตียง
บาดแผลปริแตก เสื้อบริเวณหน้าอกมีเลือดสีแดงซึมออกมา
ซูจิ่นซีสั่งให้คนที่อยู่ด้านหลังนางออกไปและพันผ้าพันแผลให้ตงหลิงหวงด้วยตนเอง ก่อนจะเตือนนางว่า “แม้บาดแผลของเจ้าจะไม่ถึงชีวิต ทว่ายังนับว่าสาหัสพอสมควร ในช่วงสองสามวันนี้ห้ามขยับร่างกาย อย่างน้อยต้องรอจนกว่าบาดแผลจะตกสะเก็ด”
แม้ซูจิ่นซีจะมีสมุนไพรคุณภาพสูง สามารถทำให้บาดแผลสมานเร็วขึ้น ทว่าจะเร็วเพียงใดก็ต้องใช้เวลา!
เมื่อเห็นตงหลิงหวงขมวดคิ้วไม่ตอบสนอง ซูจิ่นซีจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้นเล็กน้อย “เจ้าได้ยินหรือไม่? ”
ตงหลิงหวงพยักหน้า
นางหันไปมองซูจิ่นซีด้วยสายตาอ้อนวอน “ซูจิ่นซี ข้ารู้ว่าทักษะทางการแพทย์และด้านพิษของเจ้าสูงส่งมาก เจ้าต้องช่วยเขา เจ้าต้องช่วยเขาให้ได้! ”
ซูจิ่นซีพูดว่า “เขาเป็นพี่ชายของข้า ข้าต้องช่วยชีวิตเขาอยู่แล้ว”
ตงหลิงหวงมีท่าทางผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ทารกที่อยู่ด้านข้างร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ตงหลิงหวงกำลังจะเข้าไปอุ้มเด็ก ทว่าซูจิ่นซีเข้าไปอุ้มเด็กก่อน
“ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้จะอุ้มเด็กได้อย่างไร? เด็กอาจพลัดตกจากมือได้”
ซูจิ่นซีอุ้มซินอี๋และร้องกล่อมด้วยท่าทีจริงจัง ไม่นานนักซินอี๋ก็งีบหลับไป นางจึงยื่นเด็กให้แม่นมเฝิง เมื่อหันหลังกลับมาในห้องก็พบว่าตงหลิงหวงหลับแล้วเช่นกัน
แม้ซูจิ่นซีจะมีเรื่องมากมายที่ต้องการถามตงหลิงหวง ทว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเกรงว่าจะรบกวนนางมากเกินไป ซูจิ่นซีจึงออกไปก่อน
ทันทีที่นางออกมาก็ได้ยินเสียงร้องคำรามดังลั่นจากห้องข้างๆ ฉินเทียนรีบพาคนจำนวนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้อง
สีหน้าของซูจิ่นซีพลันเปลี่ยนไปและรีบวิ่งตามเข้าไปเช่นกัน
มู่หรงฉีฟื้นแล้ว ทว่าเขายังเป็นเช่นเดิม เหมือนสิงโตที่บ้าคลั่ง เป็นเหมือนศพพิษที่ไร้สติสัมปชัญญะและร้องคำรามตลอดเวลา ราวกับต้องการจะกัดกินคน
ซูจิ่นซีกังวลว่าจะรบกวนตงหลิงหวงที่นอนหลับอยู่ห้องข้างๆ นางจึงรีบปิดปากเขาและมัดเขาด้วยเชือกเทวะอีกครั้ง
“มู่หรงฉี! ” ทันใดนั้น เสียงอ่อนแอก็ดังขึ้นจากด้านนอกประตู
กลับไม่คาดคิดว่าตงหลิงหวงยังได้ยินเสียง
นางพยายามลุกจากเตียงและเดินเข้ามาด้านใน นางยืนอยู่ด้านหน้าประตู สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากไร้สีเลือด ใบหน้าโศกเศร้าอย่างมาก
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว นางรีบก้าวไปหาอย่างรวดเร็วเพื่อพยุงตงหลิงหวง
“เจ้ารับปากข้าว่าจะนอนพักผ่อน ลุกขึ้นมาอีกได้อย่างไร? ”
ตงหลิงหวงมองไปทางมู่หรงฉีที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา ทั้งยังดิ้นรนไม่หยุด พลันน้ำตาคลอเบ้า
“มู่หรงฉี! ” นางร้องเรียกแผ่วเบาและเดินเข้าไปหามู่หรงฉี
ซูจิ่นซีกลัวว่ามู่หรงฉีจะเกิดคลุ้มคลั่งและอาจทำร้ายตงหลิงหวงได้ อย่างไรเสียนางก็บาดเจ็บสาหัสและร่างกายอ่อนแอ หากถูกกระแทกเพียงเล็กน้อยอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ซูจิ่นซีจึงรีบเข้าไปห้าม
ทว่าตงหลิงหวงผลักมือซูจิ่นซีออกอย่างดื้อรั้น และก้าวเข้าไปหามู่หรงฉีทีละก้าว
“มู่หรงฉี… เจ้ามองหน้าข้า ข้าคือตงหลิงหวง! มู่หรงฉี… ”
มู่หรงฉีถูกมัดด้วยเชือกเทวะและยังถูกปิดปากอีกด้วย แม้ไม่สามารถออกแรงขัดขืนหรือส่งเสียงใดๆ ทว่าเขายังคงดิ้นรนราวกับสิงโตที่ติดกับดัก ดูเหมือนว่าหากเขาหลุดเป็นอิสระได้ เขาจะจับทุกคนในห้องกินจนหมด
ทว่าเมื่อเขาได้ยินเสียงของตงหลิงหวง การเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดลงทันที ดวงตาสีแดงเลือดค่อยๆ มองไปที่ตงหลิงหวง
น้ำตาของตงหลิงหวงไหลรินอย่างต่อเนื่อง นางยื่นมือออกไปค่อยๆ สัมผัสแก้มของมู่หรงฉีและพูดว่า “ข้าคือตงหลิงหวง มู่หรงฉี ข้าคือตงหลิงหวง! ”