สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1119 ความรักอันลึกซึ้งของตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงพูดพลางหันกลับมามองซูจิ่นซี นางแทบจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนว่า “อย่ามัดเขาได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันกล่าวอันใด ฉินเทียนที่อยู่ด้านข้างก็พูดว่า “รัชทายาทตงหลิง ไม่อาจทำได้! ตอนนี้เขาเสียสติไปแล้ว เชือกธรรมดาไม่อาจมัดเขาได้จึงต้องใช้เชือกของพระชายาเท่านั้น หากไม่มัดเขาไว้ก็ไม่มีผู้ใดหยุดเขาได้เลย! ”
ตงหลิงหวงส่ายศีรษะและร้องไห้ฟูมฟาย “ทว่าเขาเป็นพี่ชายของเจ้า! ซูจิ่นซี เจ้าทนเห็นเขาถูกมัดเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าทนได้อย่างไร? ”
ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉินเทียนไม่อาจพูดอันใดมากไปกว่านี้ จึงยืนอยู่ข้างหลังซูจิ่นซีโดยไม่พูดสิ่งใด
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุกเล็กน้อย นางยกมือขึ้นเก็บเชือกเทวะ และปลดผนึกที่ปากของมู่หรงฉี
“มู่หรงฉี! ” ตงหลิงหวงกอดมู่หรงฉี น้ำตาไหลอาบแก้ม
“หวงเอ๋อร์… ” เสียงต่ำแหบแห้งดังจากลำคอของมู่หรงฉี ดวงตาสีแดงก่ำของเขาค่อยๆ อ่อนแสงลง เล็บสีดำยาวที่มือและเท้าของเขาค่อยๆ หายไป
ฉินเทียนพูดอย่างประหลาดใจว่า “ดูเหมือนฮ่องเต้แคว้นหนานหลีจะฟื้นคืนสติแล้ว”
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุกเล็กน้อย
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของมู่หรงฉีค่อยๆ สดใส เขามองทุกคนในห้องด้วยสายตาเหม่อลอยและมองไปทางตงหลิงหวงที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขน จากนั้นจึงยื่นมือออกมากอดตงหลิงหวงแน่น
“หวงเอ๋อร์! ” ตงหลิงหวงลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น “มู่หรงฉี ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่ที่นี่แล้ว! เจ้าจำข้าได้แล้วใช่หรือไม่? เจ้าจำข้าได้แล้วใช่หรือไม่? ”
“อืม! ” มู่หรงฉีตอบ “ข้า… หวงเอ๋อร์… ข้าทำร้ายเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่? ”
ตงหลิงหวงกัดริมฝีปากพลางส่ายศีรษะอย่างสิ้นหวัง น้ำตานองหน้า “ไม่ มู่หรงฉี เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้า ไม่เลย ไม่แม้แต่น้อย! ”
แววตาของมู่หรงฉีทอประกายเผยให้เห็นบางสิ่ง จากนั้นจึงกอดตงหลิงหวงไว้ในอ้อมแขนแน่น “ข้าขอโทษ! ”
ซูจิ่นซีหันหลังกลับและเดินออกจากห้อง ฉินเทียนและคนอื่นๆ ก็เดินตามออกไปเช่นกัน ปล่อยให้ตงหลิงหวงและมู่หรงฉีอยู่ในห้องตามลำพังสองคน
ฉินเทียนถาม “พี่สะใภ้ ฮ่องเต้แคว้นหนานหลีเป็นอันใดกันแน่? ถูกหมอพิษแคว้นไหวเจียงทำให้เป็นศพพิษหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่เหมือน หมอพิษแคว้นไหวเจียงจะใช้เฉพาะคนที่ตายไปแล้วเพื่อทำเป็นศพพิษ เมื่อพวกเขากลายเป็นศพพิษแล้วจะไม่มีวันฟื้นคืนสติ ทว่ามู่หรงฉียังฟื้นคืนสติได้หลังจากคลุ้มคลั่ง นี่ไม่ใช่อาการของศพพิษอย่างแน่นอน”
นางตรวจสอบแล้ว และไม่พบสารพิษใดในร่างกายของมู่หรงฉี
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่? ” ฉินเทียนมีสีหน้ากังวลเช่นกัน
ซูจิ่นซีพูดว่า “ความจริงเป็นอย่างไรต้องรอให้จิตใจตงหลิงหวงสงบลงก่อน หลังสอบถามอย่างละเอียดแล้วก็จะรู้เอง! ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันก็มีเสียงคำรามดุดันดังจากในห้อง
ตงหลิงหวงพูดว่า “มู่หรงฉี อย่าทำเช่นนี้ อย่าทำเช่นนี้! ”
สีหน้าของซูจิ่นซีและฉินเทียนเปลี่ยนไปทันที จากนั้นจึงรีบเข้าไปในห้อง เห็นเพียงดวงตาของมู่หรงฉีกลายเป็นสีแดงเลือดอีกครั้ง มือและเท้าเป็นสีดำ เล็บของเขางอกออกมาอีกครั้งเหมือนกรงเล็บนกอินทรีและข่วนเตียงจนพังยับเยิน
ตงหลิงหวงกอดมู่หรงฉีแน่นและตะโกนว่า “มู่หรงฉี อย่าทำเช่นนี้! มู่หรงฉีตั้งสติ มู่หรงฉี ข้าคือตงหลิงหวง! มู่หรงฉี ข้าคือตงหลิงหวง! ”
ทว่ามู่หรงฉีคลุ้มคลั่งไปแล้ว และไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ตงหลิงหวงพูด
เขาขว้างปาสิ่งของอย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง ทุบทำลายทุกอย่างในห้องจนแตกละเอียด เขาโยนตงหลิงหวงกระเด็นไปไกลอย่างแรง จากนั้นนางก็วิ่งกลับมากอดร่างของมู่หรงฉีอย่างสิ้นหวัง พยายามหยุดเขาไม่ให้คลุ้มคลั่ง
มู่หรงฉีไม่ได้สวมรองเท้า ส่วนรองเท้าของตงหลิงหวงก็ไม่รู้ว่าถูกโยนไปอยู่ที่ใด ในขณะที่มู่หรงฉีกำลังคลุ้มคลั่ง เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองกำลังจะเหยียบเศษกระเบื้องบนพื้น ซูจิ่นซีจึงรีบดึงเชือกออกมามัดมู่หรงฉีไว้อีกครั้ง
องครักษ์หลายคนพร้อมกับฉินเทียนรีบวิ่งไปข้างหน้า และกดร่างของมู่หรงฉีลงบนพื้น
แม้จะถูกกดร่างกับพื้น ทั้งยังมีเชือกเทวะมัดไว้อีก ทว่ามู่หรงฉีที่กำลังคลุ้มคลั่งยังพยายามดิ้นรนต่อต้าน ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าเขาได้พลังมาจากที่ใดจึงสามารถเหวี่ยงองครักษ์ทั้งหมดที่จับเขาอยู่จนกระเด็นลอยออกไป
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น
ดูเหมือนมู่หรงฉีจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าก่อนหน้านี้มาก ก่อนหน้านี้ที่ถูกมัดด้วยเชือกเทวะ เขาไม่สามารถออกแรงต่อต้านได้เลย
ซูจิ่นซีมองเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของตงหลิงหวงที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ตั้งใจ และคาดเดาได้ว่าต้องเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของตงหลิงหวงที่กระตุ้นอาการคลุ้มคลั่งของมู่หรงฉี
เมื่อเห็นองครักษ์วิหารวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัสและนอนอยู่บนพื้น ซูจิ่นซีจึงไม่สนใจสิ่งใดและรีบส่งพลังเสวียนชี่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเชือกเทวะ
อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดว่า จู่ๆ ตงหลิงหวงที่กำลังร่ำไห้กลับยืนขวางหน้านาง และยื่นมือออกมาบังมู่หรงฉีที่คลุ้มคลั่งอยู่ข้างหลัง
“ไม่ ซูจิ่นซี อย่ามัดเขาด้วยเชือกเทวะ! เขาไม่ใช่สัตว์อสูร ไม่ใช่สัตว์ประหลาด เหตุใดต้องใช้เชือกเทวะมัดเขาไว้? เขาเป็นพี่ชายของเจ้า อย่าทำเลย! ”
ขณะที่พูด มู่หรงฉีที่กำลังคลุ้มคลั่งพลันใช้ฝ่ามือซัดร่างตงหลิงหวงจนลอยกระแทกผนังด้านข้าง แผลที่หน้าอกฉีกออกมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นตงหลิงหวงก็กระอักเลือดออกมาสองคำใหญ่
ทว่านางไม่สนใจความเจ็บปวดของตนเอง ยิ่งไม่สนใจบาดแผลบนร่างกาย นางยังลุกขึ้นอย่างสิ้นหวังและขวางอยู่ด้านหน้ามู่หรงฉี พลางส่ายศีรษะให้ซูจิ่นซี “จิ่นซี อย่า! อย่ามัดเขาด้วยเชือกเทวะเลย! ”
แม้จะมัดด้วยเชือกเทวะซึ่งเป็นเพียงอาวุธวิเศษระดับต่ำของเผ่าสวรรค์ ทว่ามันไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อให้มัดคนธรรมดาทั่วไปก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ซูจิ่นซีรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาแล้ว
มู่หรงฉีที่คลุ้มคลั่งซัดตงหลิงหวงจนลอยกระเด็นออกไป ทว่านางก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ แทนที่จะขวางทางพลังเสวียนชี่ที่เพิ่มพลังให้เชือกเทวะ นางกลับตรงไปกอดมู่หรงฉี
มู่หรงฉีซัดตงหลิงหวงกระเด็นออกไปอีกครั้ง ทว่านางยังหวนกลับมา
นางลอยกระเด็นออกไปอีกครั้ง และหวนกลับมา…
จนสุดท้าย ร่างกายของนางเต็มไปด้วยเลือดและไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก ทว่านางยังคงยื่นมือไปทางมู่หรงฉีและตะโกนว่า “ไม่ ไม่! ซูจิ่นซี อย่าใช้เชือกเทวะจัดการกับเขา เขาเป็นพี่ชายของเจ้า! อย่า! ”
ซูจิ่นซีจะทนมองตงหลิงหวงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ต่อไปได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ซูจิ่นซียังไปไหนไม่ได้ เพราะพลังที่แข็งแกร่งบนร่างกายของมู่หรงฉีกำลังยื้อยุดกับพลังที่แข็งแกร่งของนาง เขาเพียงผ่อนแรงชั่วครู่เท่านั้น บางทีเชือกเทวะที่มัดบนร่างของมู่หรงฉีอาจไม่สามารถควบคุมเขาได้อีกต่อไป
พลังของมู่หรงฉีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากเขาดิ้นหลุดไปได้ ผลที่ตามมาคงยากจะคาดเดา
ซูจิ่นซีพูดกับตงหลิงหวงว่า “ข้ารู้ว่าเขาเป็นพี่ชายของข้า ข้าต้องการมัดเขาไว้เช่นนี้หรือ? ทว่าตงหลิงหวง เจ้าก็เห็นท่าทางของเขาในตอนนี้แล้ว เขาจำผู้ใดไม่ได้เลย เขาไม่ใช่มู่หรงฉีที่มีสติแล้ว เจ้าถอยออกไปก่อนเถิด! ”
“ไม่! ” ตงหลิงหวงจับมู่หรงฉีแน่นขึ้นเล็กน้อย “หากเจ้าต้องการมัดเขา เช่นนั้นก็มัดข้ากับเขาไว้ด้วยกัน! ”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของนาง พลันเกิดเสียงดัง ‘ครืน’ ร่างของตงหลิงหวงและซูจิ่นซีลอยกระเด็น ในขณะเดียวกัน กว่าครึ่งห้องเกิดแรงสั่นสะเทือนจนพังทลาย คานไม้ท่อนใหญ่ด้านบนกำลังจะร่วงลงมาทับร่างของซูจิ่นซี ทว่าจู่ๆ ก็มีร่างเงาสีดำลึกลับปรากฏขึ้นและอุ้มซูจิ่นซีเหาะออกนอกประตู
เมื่อมายืนอยู่ข้างนอกประตูห้องอย่างมั่นคง ห้องอีกครึ่งหนึ่งก็ทรุดตัวลงมาเสียงดัง ‘ครืน’
เศษฝุ่นผงลอยฟุ้งกระจาย ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับมา สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไป