สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1121 พระชายาปีศาจเป็นภัยพิบัติของแคว้น
เมื่อเห็นซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเดินเข้ามา มู่หรงฉีจึงเงยหน้าขึ้น ท่าทางของเขาดูสับสนเหมือนว่ากำลังจะพูดอันใด ทว่าถูกองครักษ์ด้านนอกประตูขัดจังหวะ
“ท่านอ๋อง พระชายา! ”
องครักษ์ได้ยินเสียงดังในห้องจึงรีบเดินเข้ามา ทว่าพวกเขาช้ากว่าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยายกมือขึ้น องครักษ์ทั้งหมดจึงถอยกลับไป
ซูจิ่นซีเดินไปข้างหน้า พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “พี่ฉี ท่านรู้จักข้าหรือไม่? ”
ครั้งนี้ ดวงตาของมู่หรงฉีดูสดใสชัดเจน “จิ่นซี พี่จำเจ้าได้แน่นอน! ”
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นแรงด้วยความดีใจ ในที่สุดก็เห็นมู่หรงฉีกลับมาได้สติดังเดิมและไม่คลุ้มคลั่งอีก ทั้งยังดูมีสติดีอีกด้วย
นางจึงรีบเข้าไปประคองเขา “รีบนอนลงเถิด ท่านต้องการสิ่งใด ข้าจะไปหยิบมาให้ท่าน! ”
ซูจิ่นซีช่วยประคองมู่หรงฉีไปที่เตียง เทน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงทาบปลายนิ้วมือและตรวจชีพจรให้มู่หรงฉี
หลังจากยืนยันว่าชีพจรของเขาคงที่แล้ว สีหน้าของซูจิ่นซีก็ดูผ่อนคลายเล็กน้อย
มู่หรงฉีพูดว่า “จิ่นซี ข้าขอโทษ ตอนที่คลุ้มคลั่งข้าจะต้องทำร้ายพวกเจ้าเป็นแน่! ”
ขณะที่มู่หรงฉีพูด หว่างคิ้วของเขาเผยให้เห็นความเศร้าใจ
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “ไม่”
มู่หรงฉีราวกับกำลังครุ่นคิดอันใดบางอย่าง “หวงเอ๋อร์และซินอี๋อยู่ที่ใด? ก่อนหน้านี้ดูเหมือนข้าจะเห็นหวงเอ๋อร์เลือดออกมาก ข้าทำร้ายนางจนบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่? จิ่นซี เจ้าพาข้าไปหานางเถิด! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเครียด
หากให้มู่หรงฉีเห็นอาการบาดเจ็บของตงหลิงหวง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะคลุ้มคลั่งเหมือนก่อนหน้านี้อีก ทว่าเขาดื้อรั้นเช่นนี้หากไม่พาเขาไป เกรงว่าเขาจะไม่ยอม
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงกดมู่หรงฉีกลับไปนอนบนเตียง
“ยังเช้าอยู่ ตงหลิงหวงและเด็กยังไม่ตื่น! ท่านจะไปรบกวนพวกเขา”
มู่หรงฉีไม่ขัดขืนอีก ทว่ายังคงขมวดคิ้วด้วยความเคร่งขรึมเล็กน้อยและพูดว่า “เลือดบนร่างของนาง… นางคงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่? ” ในขณะที่พูด มู่หรงฉีค่อยๆ กำหมัดแน่น
แผ่นหลังของซูจิ่นซีเย็นวาบ นางรีบคลายกำปั้นและปลอบโยนเขาด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ได้รับบาดเจ็บ ทว่าไม่ร้ายแรง เลือดที่ท่านเห็นเป็นของผู้อื่น ไม่ใช่เลือดของนาง ”
ดูเหมือนมู่หรงฉีจะไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก “จริงหรือ? ”
“ท่านพี่ ท่านไม่เชื่อข้าหรือ? ข้าจะโกหกท่านไปเพื่อสิ่งใด? ”
มู่หรงฉีนิ่งเงียบ คิ้วขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
ซูจิ่นซีพูดต่อ “หรือว่าท่านไม่เชื่อแม้แต่วิชาแพทย์ของข้า? ยังมีซูอวี้และผู้อาวุโสสองท่านจากสำนักแพทย์เทียนอีอีก ท่านกลัวว่าพวกเขาไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บของพี่สะใภ้ได้เช่นนั้นหรือ? ท่านพี่ ท่านอย่าได้กังวลมากเกินไป”
สีหน้าของมู่หรงฉีอ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้า สุดท้ายซูจิ่นซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มู่หรงฉีกล่าวอีกครั้งว่า “จิ่นซี เมื่อครู่เจ้าเรียกหวงเอ๋อร์ว่าอันใด? ”
ซูจิ่นซียืดตัวตรงเล็กน้อยแล้วแย้มยิ้ม “เรียกว่าพี่สะใภ้! ”
มู่หรงฉีมีสีหน้าพึงพอใจอย่างมากเมื่อได้ยินคำตอบของซูจิ่นซี ใบหน้าเผยให้เห็นความสุขที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้ ราวกับรอคอยอันใดบางอย่าง
ซูจิ่นซีพูดขึ้นอีกครั้งว่า “พวกท่านมีบุตรด้วยกันแล้ว หากข้าไม่เรียกว่าพี่สะใภ้จะเรียกว่าอันใด? อย่างไรก็ตาม ท่านพี่ ท่านยังติดค้างนางเรื่องงานอภิเษก! กลับไปแล้วอย่าลืมทำเพื่อนาง”
มู่หรงฉีกล่าวว่า “ข้าเป็นหนี้หวงเอ๋อร์มากจริงๆ ! ”
เรื่องของความรักและความรู้สึก ผู้ใดเป็นหนี้ผู้ใดจะอธิบายชัดเจนได้อย่างไร?
ขณะที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านี้ ซูจิ่นซีกังวลอยู่ตลอดว่า หากทิ้งมู่หรงฉีไว้ตามลำพังในห้องคงไม่เป็นผลดี นางไม่วางใจให้องครักษ์คอยเฝ้าและปกป้อง ดังนั้นขณะที่มู่หรงฉีหลับไป นางจึงคอยเฝ้าอยู่ในห้อง
ห้องที่จงหรงจัดไว้ให้ค่อนข้างใหญ่ มีห้องนอนและเตียงอยู่ข้างใน เบาะนั่งและตู้หนังสืออยู่ด้านนอก ซึ่งมองเห็นด้านในได้
ซูจิ่นซีอดนอนมาทั้งคืน นางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจึงนอนบนเบาะนั่งเพื่อพักผ่อน
เยี่ยโยวเหยาอยู่เป็นเพื่อนซูจิ่นซี เขาสั่งให้องครักษ์นำเอกสารในช่วงสองสามวันมาที่ห้องนี้ จากนั้นจึงเริ่มจัดการสารจากราชสำนัก
เรื่องที่เยี่ยโยวเหยายกสิบเมืองให้แคว้นเป่ยอี้ แคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋นต่างคัดค้านอย่างหนัก ขุนนางจำนวนมากของทั้งสองแคว้นส่งฎีกามา บางคนถึงกับระบุว่า ‘พระชายาปีศาจเป็นภัยพิบัติของแคว้น มีความผิดมหันต์สิบแปดประการ’ ทั้งยังตำหนิเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี ในฎีกาขอให้เยี่ยโยวเหยาสังหารซูจิ่นซี
เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง ภายในใจของเยี่ยโยวเหยาเดือดดาลอย่างมาก ความโกรธเหล่านั้นได้เผยออกมาทางสีหน้า ทว่าเมื่อเหลือบไปมองซูจิ่นซีที่นอนอยู่ข้างๆ ความเดือดดาลรุนแรงพลันสงบลงเล็กน้อย เขาปรับลมหายใจให้อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้รบกวนซูจิ่นซี ก่อนจะวางเอกสารไว้ด้านข้างเบาๆ
เมื่อเปิดอ่านอีกครั้ง บรรทัดล่างยังคงเป็นการกล่าวโทษซูจิ่นซี
เมื่อเปิดอีกก็ยังเป็นเช่นเดิม
มีฎีกากว่ายี่สิบฉบับติดต่อกัน ทั้งหมดต่างกล่าวโทษซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาไม่ได้อ่านหรือแสดงความคิดเห็น เพียงวางมันไว้เฉยๆ
สุดท้ายก็มีรอยพับอยู่บนเอกสารที่แตกต่างออกไป เป็นฎีกาของหลานเสวียนหมิง ซึ่งทูลขอให้เยี่ยโยวเหยาสถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้โดยเร็วที่สุด ฎีกาอีกสี่ห้าฉบับกับฎีกาของหลานเสวียนหมิงต่างเขียนถึงเรื่องเดียวกัน เยี่ยโยวเหยาวางฎีกาเหล่านี้ไว้ทางซ้าย
นอกจากนั้นยังมีฎีกาของเยวี่ยอวิ๋นซวง ซึ่งเขียนเกี่ยวกับสถานการณ์บางอย่างในแคว้นไหวเจียง เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เปิดอ่าน หลังอ่านเสร็จจึงเขียนแสดงความคิดเห็นตอบกลับไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็จัดการกับฎีกามากมายจนเสร็จสิ้นจากนั้นก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย ฉินเทียนจึงเดินเข้าประตูมา
“พี่ใหญ่? ”
“นำเอกสารเหล่านี้ไปเผาทิ้ง! ” เยี่ยโยวเหยาหมายถึงฎีกาที่กล่าวโทษซูจิ่นซี
“พ่ะย่ะค่ะ! ” ฉินเทียนสั่งให้ลูกน้องสองคนเข้ามาและนำเอกสารออกไปเผา
หลังจากนั้นเยี่ยโยวเหยาก็มอบเอกสารฉบับหนึ่งให้ฉินเทียน แม้จะไม่พูดสิ่งใด ทว่าฉินเทียนเข้าใจความหมายของเยี่ยโยวเหยา เขารับเอกสารฉบับนั้นแล้วเดินออกไปเงียบๆ
แม้เสียงสนทนาของทั้งสองคนจะแผ่วเบาอย่างมาก ทั้งเยี่ยโยวเหยาก็ไม่ค่อยพูดเพื่อไม่ให้รบกวนซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซีที่กำลังนอนหลับอยู่บนแคร่กลับพลิกตัวไปมาอย่างหงุดหงิด
เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นและเดินไปทางซูจิ่นซี พลางหยิบผ้าห่มที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาคลุมร่างของซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน จากนั้นเขาก็นอนตะแคงบนเบาะนั่งและโอบกอดร่างของซูจิ่นซีไว้ในอ้อมแขน
ซูจิ่นซีได้กลิ่นที่คุ้นเคยของเยี่ยโยวเหยา นางพลิกตัวเคลื่อนเข้าไปในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา ใช้มือดึงคอเสื้อด้านหน้าของเยี่ยโยวเหยา และสอดตัวเข้าไปในเสื้อผ้าของเยี่ยโยวเหยาโดยไม่รู้ตัว
การสัมผัสที่นุ่มนวลอย่างกะทันหัน ทำให้ร่างกายของเยี่ยโยวเหยาแข็งทื่อทันที ไฟแห่งความปรารถนาค่อยๆ ปะทุขึ้นจากส่วนลึกในความรู้สึก ดวงตาของเขาจับจ้องใบหน้าของซูจิ่นซี
แก้มของนางถูไถบริเวณหน้าอกของเยี่ยโยวเหยา พลางเม้มริมฝีปากและหาท่าที่สบายที่สุด ลมหายใจสม่ำเสมออย่างคนที่หลับสนิท ซูจิ่นซีที่นอนอยู่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นก็นอนหลับอย่างมีความสุข
เยี่ยโยวเหยายื่นมือไปลูบแก้มซูจิ่นซี นิ้วเรียวยาวและเย็นชาลูบไล้เส้นผมบนขมับและใบหูของซูจิ่นซี ดวงตาที่เร่าร้อนของเขามองไปที่คอเสื้อของซูจิ่นซี หลังจากนั้นนิ้วของเขาก็เอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อที่คอของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทว่ายังไม่ทันสัมผัสนาง ปลายนิ้วของเขาพลันหดกลับและขยับไปทางด้านหลังของซูจิ่นซี กอดนางให้แน่นขึ้น บังคับดับไฟแห่งความปรารถนาภายในร่างที่กำลังลุกโชน ทว่าไม่ว่าจะควบคุมอย่างไร ไฟแห่งความปรารถนากลับลุกโชนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีที่ควรจะถูกกระทำกิจแน่แล้วกลับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย ขาข้างหนึ่งยื่นออกมาจากผ้าห่มและวางพาดลงบนร่างของเยี่ยโยวเหยา ศีรษะของนางยกขึ้น ริมฝีปากสีแดงอ่อนนุ่มของนางสัมผัสร่างกายและใบหูของเยี่ยโยวเหยา
ดูเหมือนดวงตาที่เร่าร้อนและเต็มไปด้วยไฟปรารถนาของเยี่ยโยวเหยาได้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ เขาจ้องมองนางและเปล่งเสียงออกมาจากลำคอว่า “ซูจิ่นซี! ”