สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1123 ตงหลิงหวงพูดปด?
ดังนั้นตงหลิงหวงจึงบอกสิ่งที่ตนเองและมู่หรงฉีเผชิญให้ซูจิ่นซีฟัง เพราะมันเกี่ยวกับความเป็นความตายของมู่หรงฉี ซูจิ่นซีจึงรับฟังอย่างตั้งใจ
ที่แท้ ในวันนั้นที่กองทัพแคว้นเป่ยอี้บุกตีเมืองหลวง ตงหลิงหวงไม่ลังเลที่จะพาครรภ์ใกล้คลอดและทหารชั้นยอดกว่าห้าร้อยนายฝ่าวงล้อมออกไป จากนั้นก็ได้ให้กำเนิดเสี่ยวซินอี๋ที่ป่านอกเมือง นางถูกกองทัพของเป่ยถังเย่ไล่ฆ่าตลอดทาง และเพื่อปกป้องพวกนางสองแม่ลูก ทหารทั้งห้าร้อยนายจึงตายในสนามรบ ภายหลังตงหลิงหวงได้อุ้มเสี่ยวซินอี๋หนีไปที่ชายฝั่งทะเลตงไห่ และกองทัพเป่ยถังเย่ก็ไล่ล่าตามไปถึงที่นั่น
ในเวลานั้นตงหลิงหวงเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ไม่มีกำลังต่อสู้กับศัตรูอีกต่อไปแล้ว
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง นางเตรียมพร้อมรับความตายที่กำลังมาเยือน โดยตัดสินใจว่าจะอุ้มซินอี๋กระโดดลงไปในทะเลตงไห่ กลับไม่คิดว่าในช่วงวิกฤตินี้ มู่หรงฉีได้นำกองทัพบางส่วนมาทำศึกใหญ่กับกองกำลังแคว้นเป่ยอี้ถึงสามวันสามคืน และในที่สุดก็สามารถพาพวกนางสองแม่ลูกฝ่าวงล้อมออกไปจนได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่า หลังพวกเขาหนีออกมาได้ก็บังเอิญหลงเข้าไปในป่าเวทมนตร์ที่มีชื่อเสียงของแคว้นตงเฉินอย่าง ‘ป่าไม่หวนกลับ’
ป่าไม่หวนกลับมีอีกชื่อว่า ‘ป่ากลืนชีวิต’ ซึ่งเป็นป่าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าป่าแห่งนี้กว้างใหญ่เพียงใด รู้เพียงว่า หากมีคนหลงเข้าไปในป่าแห่งนี้ จะไม่มีผู้ใดมีชีวิตรอดออกมา แม้แต่ห่านป่าที่ชำนาญทิศทางยังหลงทางเมื่อบินเข้าไปในป่า ทั้งด้านในยังเต็มไปด้วยอันตรายและน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
พวกเขาอยู่ในป่าเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน พบอันตรายหลายรูปแบบ ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ อากาศที่เป็นพิษในป่าแห่งนี้
เพื่อปกป้องตงหลิงหวงและซินอี๋ มู่หรงฉีได้ใช้แสงลึกลับเป็นเกราะคุ้มกันให้ทั้งสองตลอดทาง ทว่าภายหลังพลังของเขาอ่อนแอลงเพราะได้รับผลกระทบจากอากาศพิษในป่า ซึ่งกัดกร่อนพลังของเขา
ในที่สุด พวกเขาได้ประสบอันตรายมากมายและมีชีวิตรอดออกจากป่าไม่หวนกลับ ทว่ามู่หรงฉีได้รับผลกระทบจากการถูกพิษกัดกร่อนจึงทำให้กลายเป็นดังเช่นตอนนี้
หลังจากซูจิ่นซีฟังจบ ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดสิ่งใด นางนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
ตงหลิงหวงจึงเอ่ยถาม “จิ่นซี เจ้าคิดอันใดอยู่หรือ? ”
ซูจิ่นซีได้สติกลับมาอีกครั้ง “ไม่มีอันใด ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะเผชิญอันตรายมากมายถึงเพียงนี้ที่แคว้นตงเฉิน น่าเสียดายที่พวกข้าไม่ได้อยู่เคียงข้างพวกเจ้าในตอนนั้น จึงช่วยเหลืออันใดไม่ได้เลย! ”
ตงหลิงหวงกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาจากแม่นมเฝิง ในตอนนั้นเจ้าเองได้รับบาดเจ็บจากศิลาสะกดวิญญาณจนแทบเอาชีวิตไม่รอดอยู่ที่เผ่าอวิ๋นหุุน ข้าจะโทษพวกเจ้าได้อย่างไร? ” ตงหลิงหวงพูดพลางหันหลังกลับมา “ไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเจ้า ทั้งยังเสียแผ่นดินไปกว่าครึ่งเพื่อต่อรองกับเป่ยถังเย่”
ทุกคนต่างรู้ดีว่าสำหรับโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง ผู้มีอำนาจเหนือใต้หล้า บ้านเมืองสำคัญมากเพียงใด ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเขาคือ การรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว ทว่าเพื่อซูจิ่นซีแล้ว เขากลับเต็มใจสละบ้านเมืองครึ่งหนึ่งที่วางแผนมาตลอดหลายปี การกระทำเช่นนี้… ทำให้การรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งยิ่งห่างไกลออกไป ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นเป่ยอี้ลึกลับทรงพลัง พลังของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะต่อกรได้ เกรงว่าชีวิตนี้ หากเยี่ยโยวเหยาคิดจะรวบรวมแผ่นดินอีกครั้งคงต้องใช้เวลาอีกนานเสียแล้วกระมัง
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก นางช่วยคลุมผ้าห่มให้ตงหลิงหวงและพูดว่า “พี่สะใภ้ ยังเช้าอยู่ ท่านพักผ่อนอีกหน่อยเถิด! ”
ตงหลิงหวงมึนงงเล็กน้อย “จิ่นซี เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอันใด? ”
ดวงตาของซูจิ่นซีสดใสเป็นพิเศษ “พี่สะใภ้! เจ้าให้กำเนิดบุตรสาวตัวน้อยแก่สกุลมู่หรงของพวกข้า ภายหลังย่อมเป็นคนในสกุลมู่หรงของพวกข้า ข้าไม่เรียกว่าพี่สะใภ้แล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร? เพียงเสด็จพี่ติดค้างงานอภิเษกกับเจ้า รอจนเขาดีขึ้น พวกข้าจะเตรียมจัดงานอภิเษกให้พวกเจ้าเป็นอย่างดี”
ตงหลิงหวงเม้มริมฝีปาก หยาดน้ำสีใสเอ่อคลอเป็นประกายในดวงตา “เขาไม่ได้ติดค้างข้า เป็นข้าที่ติดค้างเขา ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่ดื้อรั้น ดื้อรั้นเกินไป… ”
ซูจิ่นซียกยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ท่านทั้งสอง บุตรก็มีด้วยกันแล้ว ยังจะพูดว่าติดค้างไม่ติดค้างอันใดอีก? หากในใจของเจ้ารู้สึกติดค้างพี่ชายข้า รอเขาดีขึ้น เจ้าก็ดีกับเขาก็ได้แล้ว”
ตงหลิงหวงพูดว่า “จิ่นซี เจ้ารักษามู่หรงฉีได้จริงหรือ? ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า “วางใจเถิด! เชื่อมือข้า”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินออกมาจากห้องของตงหลิงหวง ในใจซูจิ่นซีกลับรู้สึกหนักอึ้ง
สถานการณ์ของมู่หรงฉียากจะแก้ไขจริงๆ หากเป็นไปตามที่ตงหลิงหวงพูดมา เพียงถูกอากาศพิษจากป่าไม่หวนกลับก็ยังไม่เป็นอันใด ขอเพียงเกี่ยวข้องกับวิชาแพทย์และพิษ ไม่มีสิ่งใดที่นางแก้ไขไม่ได้ ทว่านางตรวจหลายครั้งกลับไม่พบสารพิษใดๆ บนร่างกายของมู่หรงฉี
นอกจากนี้ จากคำพูดของตงหลิงหวง หลังจากที่พวกเขาฝ่าวงล้อมจากชายฝั่งทะเลตงไห่และหลงเข้าไปในป่าไม่หวนกลับ อย่างไรก็ตาม เท่าที่นางรู้ ทะเลตงไห่อยู่ทางตะวันออกสุดของแคว้นตงเฉิน ส่วนป่าไม่หวนกลับอยู่ทางเหนือของแคว้นตงเฉิน ทว่าพวกเขากลับเดินทางไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งมีพรมแดนติดกับชายแดนแคว้นหนานหลี ระหว่างสถานที่แห่งนั้นกับป่าไม่หวนกลับ มีสถานที่ที่กองทัพแคว้นเป่ยอี้ประจำการอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือจวนตงตู
มู่หรงฉีกับตงหลิงหวงผ่านจวนตงตูมาได้อย่างไร ทั้งยังปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาโดยไม่ถูกกองทัพแคว้นเป่ยอี้พบ? คิดดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก
หรือว่าตงหลิงหวงพูดปด?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีรู้สึกว่ามาถึงตอนนี้แล้ว ตงหลิงหวงไม่จำเป็นต้องแต่งเรื่อง!
หรือว่าตงหลิงหวงถูกพิษจากอากาศพิษในป่าไม่หวนกลับเช่นกัน เพราะผลกระทบจากสารพิษ สติของนางจึงเลอะเลือนเล็กน้อย?
ทว่าแม้จะเลอะเลือนเพียงใด พวกเขาก็ไม่น่าจำป่าไม่หวนกลับผิดพลาด ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาฝ่าวงล้อมที่ชายฝั่งทะเลตงไห่และเข้าไปในป่าไม่หวนกลับก็คงไม่มีอันใดผิดพลาด
ดังนั้น… คำถามสำคัญคือ พวกเขาผ่านจวนตงตูแล้วมาโผล่ที่ชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นหนานหลีได้อย่างไร? ความคิดมากมายหมุนวนอยู่ภายในใจ ทว่าไม่สามารถเรียบเรียงให้กระจ่างชัดได้
ไม่นานซูจิ่นซีก็กลับมายังที่พักของมู่หรงฉี
หลังจากมู่หรงฉีตื่นขึ้นมาและอารมณ์ยังคงที่ ซูจิ่นซีจึงถามคำถามมู่หรงฉีเช่นเดียวกับที่นางถามตงหลิงหวง ซึ่งมู่หรงฉีก็ตอบแบบเดียวกับตงหลิงหวง
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงยิ่งมั่นใจว่าตงหลิงหวงไม่ได้พูดปด
เช่นนั้นแล้ว ปัญหาอยู่ไหนกันแน่?
เนื่องจากอาการของมู่หรงฉียังทรงตัว ซูจิ่นซีจึงกลับไปพักที่ห้องของตนเอง นางจัดองครักษ์สองสามนายที่มีความสามารถให้คอยคุ้มกันด้านนอกห้องของมู่หรงฉี และกำชับไว้ว่า ไม่ว่าเกิดอันใดขึ้นจะต้องรีบรายงานนางทันที
บนโต๊ะเบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยามีเอกสารมากมายวางกองพะเนินเป็นภูเขา เขาจึงยุ่งอยู่กับการจัดการฎีกาของราชสำนัก
ซูจิ่นซีมองสถานการณ์นี้จากทางหน้าต่างไกลๆ โดยไม่กล้าเข้าไปรบกวน ทว่าเปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปในครัวและทำน้ำแกงเม็ดบัวด้วยตนเองหนึ่งชาม เสร็จแล้วจึงเดินเข้าไปหาเยี่ยโยวเหยา
เมื่อเยี่ยโยวเหยาได้ยินเสียงจึงวางเอกสารในมือลง พลางเงยศีรษะขึ้นมา คิ้วเรียวยาวค่อยๆ ผูกเข้าหากัน
“ท่านอ๋อง พักผ่อนเสียหน่อยเถิด! วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน ดื่มน้ำแกงเม็ดบัวข้นดับร้อนสักชาม”
นางพูดพลางวางชามในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงหยิบชามหยกเขียว ใช้ช้อนคนเม็ดบัวในชามเบาๆ แล้วยื่นให้เยี่ยโยวเหยา
“หลังทำน้ำแกงเม็ดบัวข้นนี้เสร็จ ข้านำไปแช่น้ำแข็งอีกครึ่งชั่วยาม ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการคลายร้อน”
อย่างไรก็ตาม ไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่รับถ้วยน้ำแกงเม็ดบัวข้นนั้น ทว่าเขาคว้าข้อมือของนางและดึงมานั่งบนตักอย่างรวดเร็ว
“สิ่งที่คลายร้อนให้ข้าได้มีเพียงเจ้า ซูจิ่นซี! ”