สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1125 ยั่วยวนท่านอ๋อง
มีชีวิตมากี่ภพชาติ กลับชาติมาเกิดกี่ครั้ง นางนับไม่ได้แล้ว ท่ามกลางการกลับชาติมาเกิดเหล่านั้น ความทรงจำมากมายและเงาร่างของใครบางคนได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว และที่ชัดเจนมากที่สุดก็น่าจะเป็นเมื่อชาติที่แล้ว
ชาติก่อนนางเป็นแพทย์ทหารประจำสำนักแพทย์แห่งชาติ
แม้ภายนอกนางจะเป็นแพทย์ทหาร ทว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักความมั่นคงแห่งชาติอย่างลับๆ ทั้งยังพบเจออันตรายตลอดเวลา
อาชีพเช่นนี้หาคู่ชีวิตได้ยากนัก เพราะชีวิตไม่ได้เป็นของตนเองและไม่สามารถควบคุมเองได้
นางเคยคิดว่าชีวิตนั้น ตนคงไม่มีโชคกับคำว่า ‘ความสุข’ และถูกกำหนดให้ไม่พบรักแท้ชั่วชีวิต ดังนั้นนางจึงไม่ได้คาดหวังอันใดมากมายกับการแต่งงาน
เป็นเพราะนางหรือ?
เป็นเพราะคนข้างกายของนางหรือ?
เป็นเพราะไม่จำเป็นต้องระวังตัวใดๆ กับนางหรือ?
ต้องใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากเพียงใดถึงทำให้คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสนามรบ ผ่านการนองเลือดและความมืดมิด ลดการป้องกันและความระแวดระวัง และเผยการแสดงออกเช่นนั้นออกมาในสายตา?
“เมื่อครู่คิดอันใดอยู่หรือ? ” เสียงของเยี่ยโยวเหยาทุ้มต่ำ แหบแห้ง ทว่าอ่อนโยน
ซูจิ่นซียื่นมือไปโอบศีรษะของเยี่ยโยวเหยา เขายันตัวขึ้นเบาๆ พลางจุมพิตที่หน้าอกของนาง
“เยี่ยโยวเหยา ต่อให้ภูผาพังทลาย สายธารเหือดแห้ง อสนีบาตกลางเหมันต์ หิมะโปรยปรายกลางคิมหันต์ พสุธาเคลื่อนคล้อย ข้าไม่คิดแยกจากท่านอีกแล้ว! พวกเราจะไม่แยกจากกันตลอดไป ดีหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่า วันหนึ่งบทกลอนที่ซ้ำซากจำเจจะถูกขับขานออกมาจากปากของนาง ทว่านี่คือสิ่งที่นางอยากจะพูดกับเยี่ยโยวเหยาในตอนนี้จริงๆ เปิดใจให้เขาได้ยินถ้อยคำนี้
จุมพิตของเยี่ยโยวเหยาหยุดชะงัก จากนั้นจึงพลิกกายคร่อมทับบนร่างของนาง จ้องดวงตาทั้งสองของนาง ดวงตาของเขาแดงก่ำเล็กน้อยด้วยเปลวเพลิงแห่งความปรารถนา
“ซูจิ่นซี เจ้าพูดอันใด? ”
ฎีกา พู่กัน หมึก และกระดาษที่ถูกปัดตกพื้นยามที่พวกเขาเกิดอารมณ์ปรารถนาอันเร่าร้อนเมื่อคืน ยังคงกระจัดกระจายกลาดเกลื่อน เยี่ยโยวเหยาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาจากพื้น เมื่ออ่านจบก็ใช้พู่กันสีแดงเขียนอธิบายประกอบแล้ววางลงข้างๆ จากนั้นก็หยิบอีกเล่มขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทางจดจ่อ
ซูจิ่นซีมองพลางยกยิ้มมุมปาก นางลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งบนพื้นขึ้นมาคลุมไหล่และเดินไปหาเยี่ยโยวเหยา
เมื่อรู้สึกได้ว่าซูจิ่นซีเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยโยวเหยาจึงวางฎีกาลงและเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ตื่นแล้วหรือ? ”
“เพคะ! ”
ซูจิ่นซีวางมือลงบนฝ่ามือของเยี่ยโยวเหยาที่ยื่นมาหาแล้วนั่งพิงข้างกายเขา นางเหลือบมองจากหางตา เห็นว่าฎีกาที่เปิดอยู่บนโต๊ะนั้นเป็นของหลานเสวียนหมิง ด้านหลังยังมีขุนนางใหญ่หลายท่านร่วมลงนาม เนื้อหาประมาณว่า ทูลขอให้เยี่ยโยวเหยาเป็นฮ่องเต้
เยี่ยโยวเหยาตอบฎีกาไปว่า ‘ปฏิเสธ’
“ลำบากท่านอ๋องแล้ว ไม่ว่าไปที่ใดก็ไม่ละทิ้งเรื่องในราชสำนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของท่านจะทนไหวได้อย่างไร? ”
นางพูดพลางหยิบสมุดพับหนึ่งเล่มขึ้นมาจากพื้นแล้วเปิดต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา
“มิสู้ให้จิ่นซีแบ่งเบาภาระของท่านอ๋องดีกว่า! แม้ข้าไม่รู้อันใดเกี่ยวกับงานในราชสำนัก ทว่าช่วยท่านอ๋องเขียนตอบและฝนหมึกจัดการฎีกาได้! ”
ขณะที่พูด นางก็หยิบแท่นหมึกและที่ทับกระดาษขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปหยิบสิ่งของอย่างอื่น ทว่าทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยากลับจับมือนางไว้
“เรื่องเหล่านี้ปกติมีคนมาทำอยู่แล้ว เจ้าเป็นพระชายาของข้า ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ”
ซูจิ่นซีจึงหยุดการกระทำแล้วกลับมานั่งข้างกายเยี่ยโยวเหยา “เช่น? ”
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็คว้าศีรษะของซูจิ่นซีแล้วขบเม้มริมฝีปากของนางเบาๆ “เช่น ปรนนิบัติเรื่องบนเตียงให้ข้า”
“เพคะ! ” ซูจิ่นซีกลั้นยิ้มและตอบรับแผ่วเบา “เช่นนั้นข้าจะรับผิดชอบเรื่องบนเตียงของมหาอุปราชโดยเฉพาะ แต่ไม่ทราบว่า พายุเพิ่งกระหน่ำไปเมื่อคืน หยาดฝนและน้ำค้างไม่ได้หยุดพัก ท่านมหาอุปราชยังต่อสู้บนเตียงไหวอีกหรือไม่? ”
“ไม่ลองไม่รู้! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดพลางโหมกระหน่ำพายุเร่าร้อนใส่ซูจิ่นซีอีกครั้ง กดนางลงบนฎีกาที่กระจัดกระจายบนพื้น
ลมพัดเอื่อยๆ เข้ามาจากทางหน้าต่างที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่ง พัดผ่านฎีกาที่ซูจิ่นซีเปิดทิ้งไว้จนพลิกไปหน้าหนึ่ง เนื้อหายังคงกล่าวตำหนิซูจิ่นซีว่า ‘ล่อลวงจิตใจท่านอ๋อง’
ลมพัดยาว พัดหน้าฎีกาให้พลิกไปมาไม่หยุดจนเกิดเสียงดังพรึบพรึบ ตามด้วยเสียงเสียดสีและเสียงครวญครางกระสันแผ่วเบาภายใต้อารมณ์อันเร่าร้อน รวมถึงเสียงลมหายใจหนักหน่วงของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี