สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1127 มู่หรงอวิ๋นไห่ตั้งชื่อให้เสี่ยวซินอี๋
พูดคุยกันอีกสักครู่ ซูจิ่นซีก็กล่าวกับมู่หรงฉีว่า “เสด็จพี่คงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด! และให้อวี้เอ๋อร์ตรวจชีพจรให้ท่านเป็นระยะด้วย! ”
“ตกลง! ”
หลังจากมู่หรงฉีจากไป ซูจิ่นซียังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ
จงซีจือจึงเอ่ยถาม “จิ่นซีมีเรื่องอยากคุยกับพวกเราหรือ? ”
ซูจิ่นซีจิบชาหนึ่งอึกแล้วพูดว่า “ความจริงมีเรื่องสำคัญมาก มีคนสองคนที่พวกท่านจำเป็นต้องพบ! ”
นางพูดพลางปรบมือ ไม่นานนักแม่นมเฝิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับตงหลิงหวงที่กำลังอุ้มเสี่ยวซินอี๋
ตงหลิงหวงโค้งคำนับให้ทั้งสองคนอย่างนอบน้อมโดยไม่ได้พูดอันใดมาก
มู่หรงอวิ๋นไห่ถามด้วยความสงสัย “จิ่นซี นี่มันเกิดอันใดขึ้น? ”
ซูจิ่นซียืนขึ้นและเดินไปอยู่ข้างตงหลิงหวง ก่อนจะพูดว่า “ผู้นี้คือรัชทายาทแห่งแคว้นตงเฉิน ตงหลิงหวง ส่วนเด็กน้อยในอ้อมกอดนี้… มีนามว่ามู่หรงซินอี๋”
“มู่หรง… นางเป็น… ” มู่หรงอวิ๋นไห่มีท่าทีไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่ผิด! ” ซูจิ่นซีพูด “ซินอี๋เป็นบุตรของเสด็จพี่กับตงหลิงหวง สถานการณ์ของเสด็จพี่ในตอนนี้ไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าพวกท่านพร้อมกับตงหลิงหวงและซินอี๋ได้ ทว่าเรื่องนี้ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมให้ครบถ้วน หม่อมฉันจึงพาสองแม่ลูกมาแนะนำให้พวกท่านทั้งสองได้รู้จัก”
สีหน้าของมู่หรงอวิ๋นไห่และจงซีจือดูซับซ้อนเล็กน้อย จู่ๆ ทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันจึงทำอันใดไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง
ซูจิ่นซีรับซินอี๋มาจากอ้อมแขนของตงหลิงหวง จากนั้นจึงเดินไปข้างกายจงซีจือและประคองซินอี๋ใส่อ้อมแขนของจงซีจือ “เสด็จแม่ ท่านดูสิ เด็กคนนี้คล้ายเสด็จพี่มากเพคะ! ”
จงซีจือใจอ่อน นางอดยื่นมือออกไปรับไม่ได้ พอมองใกล้ๆ จึงยิ้มและพูดกับมู่หรงอวิ๋นไห่ที่อยู่ข้างกายว่า “อวิ๋นไห่ ท่านดูสิ คล้ายยิ่งนัก”
เคราของมู่หรงอวิ๋นไห่ยกขึ้น ก่อนเขาจะเบนสายตามามองด้านข้าง
“แอ๊ะ แอ๊ะ… ” จู่ๆ ปากเล็กๆ ของซินอี๋ก็ส่งเสียงร้องพลางโบกมือให้มู่หรงอวิ๋นไห่
มู่หรงอวิ๋นไห่เข้าไปอุ้มซินอี๋ด้วยความตื่นเต้น “ไม่ใช่เพียงคล้ายกระมัง? แกะสลักออกมาจากพิมพ์เดียวกันเสียมากกว่า”
สีหน้าของจงซีจือพลันบึ้งตึงเล็กน้อย มู่หรงอวิ๋นไห่จับสังเกตได้อย่างรวดเร็ว เขากระทุ้งศอกใส่เอวของจงซีจือแล้วพูดว่า “หึงหรือ? เรื่องผ่านมาตั้งนานแล้ว? มารดาฉีเอ๋อร์ได้จากไปนานแล้ว ตอนนี้ในวังของเรามีเจ้าเพียงผู้เดียว”
จงซีจือทำหน้าฟึดฟัด “ผู้ใดหึงกัน? พูดเช่นนี้ต่อหน้าพวกเขา ไม่รู้จักอายเสียบ้าง! ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” มู่หรงอวิ๋นไห่อุ้มซินอี๋ยกขึ้นสูงแล้วกล่าวอย่างมีความสุข “เรียกเสด็จปู่ เรียกเสด็จปู่! ”
ซูจิ่นซีหลุดหัวเราะ “เสด็จพ่อ ฟันซินอี๋ยังไม่ทันงอกเลยเพคะ! กระทั่งคำว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ยังเรียกไม่ได้ นางจะเรียกเสด็จปู่ได้อย่างไร? ”
มู่หรงอวิ๋นไห่หัวเราะ พลางเหลือบมองตงหลิงหวงด้วยสายตาแปลกประหลาด
ท่าทางเช่นนี้ไม่อาจรอดพ้นสายตาของซูจิ่นซีไปได้ ซูจิ่นซีจึงถือโอกาสพูดว่า “เสด็จพ่อ พูดตามธรรมเนียมแล้ว ตงหลิงหวงให้กำเนิดบุตรสาวของเสด็จพี่ นางคือบุคคลสูงศักดิ์แห่งแคว้นตงเฉิน แม้แคว้นจะพังพินาศ ทว่าสายเลือดของนางนั้นสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งสกุลมู่หรงติดหนี้บุญคุณสกุลตงหลิงอย่างใหญ่หลวง บุญคุณนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทดแทนเพคะ! ”
มู่หรงอวิ๋นไห่หยอกล้อซินอี๋พลางพูดว่า “จะให้เราทดแทนอย่างไร? ”
ซูจิ่นซีกล่าวยิ้มๆ ว่า “ขึ้นอยู่กับความเห็นของเสด็จพ่อเพคะ! ”
มู่หรงอวิ๋นไห่หยอกล้อซินอี๋ต่อและไม่ได้ตอบซูจิ่นซีอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่ามู่หรงอวิ๋นไห่กำลังเลี่ยงคำถาม จู่ๆ มู่หรงอวิ๋นไห่ก็กล่าวขึ้นมาว่า
“มู่หรงซินอี๋… มู่หรงซินอี๋ ในเมื่อเป็นองค์หญิงของสกุลมู่หรง ช่วงเวลาปกติก็ไม่อาจให้ผู้ใดเรียกนางว่าซินอี๋ได้ เราขอตั้งชื่อให้นางว่าเจียหมิงกงจู่! ”
“เจียหมิง… ‘ตั้งชื่อมงคลสอดคล้องกับฤกษ์ยามเกิด ตั้งชื่อต้นมีความหมายที่ดี’ น้องสะใภ้ เหตุใดยังไม่ขอบพระทัยเสด็จพ่อแทนเจียหมิงอีกเล่า”
ชั่วครู่หนึ่ง ตงหลิงหวงไม่เข้าใจว่า ‘เจียหมิง’ ของมู่หรงอวิ๋นไห่หมายความว่าอันใด ทว่าจากความหมายของซูจิ่นซีนางจึงโค้งคำนับขอบพระทัยมู่หรงอวิ๋นไห่ “ขอบพระทัยไท่ซ่างหวงที่ประทานชื่อ ขอบพระทัยซูไท่เฟยเพคะ! ”
มู่หรงอวิ๋นไห่ส่งสัญญาณให้ขันทีข้างกายอีกครั้ง “ไปนำของที่เราซ่อนอยู่หลังภาพวาดในตำหนักฉินเจิ้งมา! ”
ขันทีน้อยตอบรับ เขาออกไปอย่างเร่งรีบ ในไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับกล่องใบหนึ่งในมือ
“เปิดออก! ” มู่หรงอวิ๋นไห่กล่าว
ขันทีน้อยเปิดกล่องตามคำสั่ง ด้านในมีแผ่นหยกพู่สีขาววางอยู่หนึ่งชิ้น
มู่หรงอวิ๋นไห่หยิบแผ่นหยกออกมาพลางยกขึ้นสูง ทันใดนั้นแววตาก็เหม่อลอยเล็กน้อย
“แผ่นหยกนี้ ในปีนั้นสกุลมู่หรงยังเป็นสกุลเสวียนหยวนอยู่ จักรพรรดิไหวเซวียนได้มอบให้แก่บรรพบุรุษเมื่อพวกเขาสืบทอดเชื้อสายราชครูประจำจักรวรรดิต้าฉินจากรุ่นสู่รุ่น เป็นมรดกตกทอดมาหลายชั่วอายุจนถึงมือเรา ของชิ้นนี้มีค่าสำหรับเรายิ่งนัก ต่อไปยกมันให้เจียหมิงเถิด! ”
อย่าว่าแต่จงซีจือเลย กระทั่งตงหลิงหวงและขันทีน้อยที่อยู่ด้านข้าง รวมถึงซูจิ่นซีเองก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางรีบคุกเข่าลงบนพื้น “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ หม่อมฉันขอขอบพระทัยเสด็จพ่อแทนเจียหมิงเพคะ”
ตงหลิงหวงไม่ได้คุกเข่า นางโน้มตัวคำนับแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยไท่ซ่างหวงเป็นอย่างยิ่ง”
มู่หรงอวิ๋นไห่มองไปที่ซูจิ่นซี “เจ้าเด็กแสบคนนี้จริงๆ เลย ตอนนี้เจ้าคงพอใจแล้วกระมัง”
ซูจิ่นซีเงยหน้าแย้มยิ้มและพูดว่า “ไม่เพียงพอใจเพคะ เสด็จพ่อ ลูกนับถือท่านอย่างมาก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” มู่หรงอวิ๋นไห่หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยื่นซินอี๋คืนให้ตงหลิงหวง
“มีเพียงเท่านี้ที่ข้าสามารถทำได้ ส่วนเรื่องนั้น… คงต้องรอดูว่าเยี่ยโยวเหยาและฉีเอ๋อร์จะทำเช่นไร อย่างไรเสีย ใต้หล้านี้จะเป็นของพวกเขาในอนาคต”
แม้ไม่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าเรื่องอันใด ทว่าซูจิ่นซีเข้าใจว่าเขาคงหมายถึงเรื่องความแค้นระหว่างจักรวรรดิต้าฉินและสกุลเสวียนหยวน เรื่องนี้ยากที่จะอธิบายจริงๆ ทว่าในเมื่อมู่หรงอวิ๋นไห่ได้นำแผ่นหยกออกมาเบื้องหน้านางและมอบให้ซินอี๋ แทนที่จะส่งต่อให้มู่หรงฉี ท่ามกลางความหมายลึกซึ้งและซับซ้อนนั้น เกรงว่าคงมีเพียงคนในเท่านั้นที่เข้าใจ
จากนั้นมู่หรงอวิ๋นไห่จึงเหลือบมองตงหลิงหวงอีกครั้ง “ส่วนเรื่องของเจ้าและฉีเอ๋อร์ จะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาก็ดี แต่งตั้งเป็นพระชายาก็ช่าง ไว้ให้เขาตัดสินใจ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องวังหลังของเขา”
ตงหลิงหวงมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงรีบพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้วเพคะ แผ่นหยกสกุลมู่หรงถูกส่งมอบไปแล้ว อย่างไรก็ต้องเป็นฮองเฮา ไม่เช่นนั้นจะคู่ควรกับตำแหน่งอันสูงส่งของเจียหมิงกงจู่ในใจของเสด็จพ่อได้อย่างไรเพคะ? ”
“อย่างที่เจ้าพูด! ” มู่หรงอวิ๋นไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าบุตรของเจ้าเป็นบุตรชาย ชื่ออันใด… เยี่ยหลินเชวีย ชื่อนี้ตั้งเหมือน… ตามรูปแบบสกุลฝู เยี่ยโยวเหยาตั้งให้หรือ? ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าหัวเราะ “เพคะ! ”
“เหตุใดไม่พามาให้เราดู? ”
“วันนี้ตัวละครเอกคือเจียหมิง ไว้ครั้งหน้าเถิดเพคะ”
“เจ้าหนอเจ้า! ” มู่หรงอวิ๋นไห่อดชี้ไปที่ซูจิ่นซีด้วยสีหน้าเอ็นดูไม่ได้ เขาหัวเราะโดยพูดไม่ออกสักประโยค ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงพูดว่า “ยังไม่ลุกขึ้นอีก คิดว่าคุกเข่าบนพื้นเย็นๆ นั้นดีหรือ? ”
ซูจิ่นซีรีบลุกขึ้น “ดีที่ใดเล่า? เจ็บจะแย่แล้ว! ปีหนึ่งหม่อมฉันคุกเข่าไม่ถึงหนึ่งครั้ง! ”