สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1128 ราชาเฮยซาหู่ที่แตกต่างจากเมื่อก่อน/
ระหว่างที่พูด จงซีจือดึงตงหลิงหวงไปด้านข้างแล้วถอดกำไลหยกบนข้อมือให้ตงหลิงหวง “ที่ตัวข้าไม่มีของดีอันใดมอบให้เจ้า คิดๆ ดูแล้ว สิ่งที่มีความหมายที่สุดก็คือกำไลวงนี้”
มู่หรงอวิ๋นไห่มองแล้วขมวดคิ้วทันที “เจ้ามอบของชิ้นนั้นไปเพราะเหตุใด? ”
“อยู่ด้วยกันมาก็ปูนนี้แล้ว ท่านยังสนเรื่องนี้อยู่อีกหรือ? หากอาลัยอาวรณ์ ประเดี๋ยวเอาอีกวงให้ข้าก็สิ้นเรื่อง? ”
“ข้ามอบสิ่งของให้เจ้ามากมาย เหตุใดเจ้าถึงเลือกชิ้นนี้?”
“ของพวกนั้นดูได้อย่างเดียว ทว่าใช้การไม่ได้ มีความหมายเหมือนกำไลวงนี้ที่ใด? ”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงก็หูผึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อยากทราบว่าความหมายพิเศษของกำไลนี้คือสิ่งใด
จงซีจือพูดว่า “กำไลนี้ ท่านอ๋องมอบให้ข้าตอนที่ข้าเข้าวังครั้งแรก บอกว่าสืบทอดมาจากตวนอี้ฮองเฮา และต้องการมอบให้กับลูกสะใภ้ในอนาคต วันนี้ข้ามอบมันให้กับเจ้า หวังว่าในอนาคต เจ้าและฉีเอ๋อร์จะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขร่มเย็น อยู่คู่กันไปจนแก่เฒ่า อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”
ซูจิ่นซีได้ยินพลันยกยิ้มขึ้น นางพูดกับมู่หรงอวิ๋นไห่ว่า “แผ่นหยกของบรรพบุรุษก็ส่งให้แล้ว ชื่อก็ตั้งให้แล้ว เสด็จพ่อ ให้กำไลเพิ่มอีกชิ้นจะเป็นอันใด? เสด็จพ่อ ท่านช่างตระหนี่เสียจริง”
มู่หรงอวิ๋นไห่ถลึงตา ครู่หนึ่งจึงกล่าวกับจงซีจือว่า “ให้ก็ให้! ประเดี๋ยวเราจะให้คนทำวงที่ดีกว่านี้ให้! ”
จงซีจือแย้มยิ้มหวานยิ่งกว่าเดิม
ตงหลิงหวงสวมกำไลด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อยและคิดจะถอดมันออก ซูจิ่นซีจับมือนางไว้และพูดว่า “สวมมันเถิด เจ้าคู่ควรกับมัน”
ระหว่างที่พูด จงซีจือสั่งให้คนหยิบกล่องไม้อีกกล่องมาแล้วเปิดออก ข้างในเป็นวิชาแพทย์เล่มหนึ่ง ชื่อว่า ‘ตำราแพทย์หญิงจง’
จงซีจือยื่นหนังสือเล่มนั้นให้ตงหลิงหวงแล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าสร้างมาทั้งชีวิตและขอมอบให้เจียหมิง แม้นางจะเป็นองค์หญิง ทว่าอย่างไรแล้ว เด็กหญิงต้องแตกฉานในหนึ่งทักษะ หวังว่านางจะประสบความสำเร็จด้านการแพทย์ได้ในอนาคต”
ตงหลิงหวงยังไม่ได้รับวิชาแพทย์เล่มนั้นมา ซูจิ่นซีก็พูดขึ้นว่า “มารดาช่างลำเอียงนัก สิ่งของเช่นนี้มอบให้เพียงหลาน ไม่เคยมอบให้ข้า ข้าไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ”
ตงหลิงหวงดึงมือกลับแทบไม่ทัน
จงซีจือพูดว่า “เจ้าอย่าไปฟังนาง วิชาแพทย์และวิชาพิษของนางยอดเยี่ยมไร้เทียมทานอยู่แล้ว ยังจะต้องใช้ของพวกนี้อีกหรือ? ” ขณะที่พูดก็ยัดตำราวิชาแพทย์ใส่กลับไปในมือของตงหลิงหวง “นางเป็นเพียงลิงน้อยซุกซน! ”
ซูจิ่นซียิ้มหวานและไม่ได้พูดอันใดมาก
ทุกคนสนทนากันอีกครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงก็ออกมาจากวังไท่ซ่างหวาง
ตงหลิงหวงพูดขึ้นว่า “จิ่นซี ขอบคุณที่ช่วยพูดแทนข้ากับซินอี๋ในวันนี้”
ซูจิ่นซีพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเพียงทำในสิ่งที่ควรทำ ตอนนี้เสด็จพี่สุขภาพไม่ดีและทำบางเรื่องไม่สะดวก ทว่าเรื่องนี้ต้องรีบจัดการโดยด่วน นานวันไปพูดถึงอีกทีเรื่องราวกลับกัน อาจเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น”
ตงหลิงหวงแสดงสีหน้าซาบซึ้ง “ไม่ว่าอย่างไรก็ยังต้องขอบคุณเจ้าอย่างมาก จิ่นซี เจ้าพยายามทุกอย่างเพื่อพวกเราสองแม่ลูก”
นางพูดพลางอุ้มซินอี๋ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวและโค้งคำนับให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไม่เสแสร้งและตอบรับอย่างสบายใจ
“เพียงหวังว่าในภายภาคหน้า เจ้าและเสด็จพี่จะสามารถร่วมทุกข์ร่วมสุข อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ข้าก็พอใจแล้ว”
ใบหน้าซาบซึ้งของตงหลิงหวงยิ่งล้ำลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ซูจิ่นซีจึงดึงนางให้ลุกขึ้นมา
“อย่าเป็นเช่นนี้ เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าทนดูต่อไปไม่ไหว พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไปโลกสามเขตแดนกับเยี่ยโยวเหยา หากการเดินทางครั้งนี้ราบรื่นจะต้องหาวิธีรักษาเสด็จพี่ได้แน่นอน ตอนนั้นค่อยให้เขาจัดงานอภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ให้เจ้า”
“จิ่นซี ในที่สุดข้าก็ได้รู้แล้วว่า… ”
“รู้ว่าอันใด? ” ซูจิ่นซีมีท่าทีสงสัย
ตงหลิงหวงพูดว่า “รู้แล้วว่า เหตุใดโยวอ๋องถึงได้ชอบเจ้าถึงเพียงนั้น”
ซูจิ่นซีแก้มแดงเล็กน้อยพลางเลิกคิ้วอย่างเขินอาย นางยังไม่ทันพูดอันใด ตงหลิงหวงก็พูดว่า “เพราะเจ้าคู่ควร! ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาออกเดินทางไปเยือนโลกสามเขตแดน
เมื่อไปถึงเขาเมฆาไม่หวนคืน พวกเขาก็เดินทางไปที่เผ่าอวิ๋นหุนก่อนเพื่อพบอาจวินและอาอิน
เมื่อทุกคนพบว่าซูจิ่นซีฟื้นกลับมาเป็นปกติแล้ว อาจวินและอาอินก็ดีใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอาอินที่ลากซูจิ่นซีไปพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง
“เสี่ยวหลินเชวียสบายดีหรือไม่? ” อาอินถาม
“สบายดี! ”
อาอินกล่าวด้วยความเสียใจเล็กน้อยว่า “ตอนที่ไป ข้ายังไม่ได้อุ้มเขาเลย”
“คราวหน้ามีโอกาสจะให้เจ้าได้อยู่ใกล้ๆ เขาแน่นอน”
“ตกลง! ”
หลังจากพักอยู่ที่เผ่าอวิ๋นหุนชั่วครู่ ทั้งสองก็เข้าไปในโลกสามเขตแดนและเขตแดนดวงดารา
ทันทีที่เข้าสู่โลกสามเขตแดน พวกเขาก็เผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์อสูรแห่งแดนร้อยสัตว์อสูรที่เดินผ่านมา
ซูจิ่นซีรีบดึงเยี่ยโยวเหยาหลบอยู่ด้านข้าง
ดูเหมือนว่าปีศาจเหล่านั้นจะดื่มสุราไปเล็กน้อยและนั่งลงข้างก้อนหิน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาหลบอยู่ พวกมันบ่นไม่หยุด
“ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอันใดขึ้นกับราชาเฮยซาหู่ เหตุใดเขาจึงแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง? ”
“ใช่ อารมณ์ก็แปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ วิธีการยิ่งโหดเหี้ยม สัตว์อสูรที่ดูแลภายในตำหนักอสูรถูกเปลี่ยนไปสี่ห้ากลุ่มแล้ว หากผู้ใดปฏิบัติไม่ได้ดั่งใจก็ตายทันที นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ปีศาจน้อยอีกตนหวนคิดถึงความหลัง… “คิดย้อนไปถึงตอนนั้น แม้ราชาเฮยซาหู่จะปกครองอย่างองอาจ ทว่าเข้าถึงง่ายเป็นอย่างมาก จำได้ว่าในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ข้าหกล้มและทำแก้วสุราหกใส่ราชาเฮยซาหู่ ข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ กลับไม่คิดว่าราชาเฮยซาหู่จะไม่ว่าอันใด ทั้งยังมอบสุราอีกไหให้ข้าด้วย”
“เฮ้อ… วันคืนเหล่านั้นย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว! ”
“ราชาเฮยซาหู่ในตอนนี้ห่อตนเองด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ ไม่เหมือนทั้งคน ไม่เหมือนทั้งผี และไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดจึงขังตนเองอยู่ในตำหนักทั้งวัน อารมณ์ก็แย่ลงเรื่อยๆ ”
“พวกเจ้ากินหัวใจหมีดีเสือดาวมาหรือ? ถึงได้กล้านินทาราชาเฮยซาหู่ที่นี่” จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น
ปีศาจน้อยเหล่านั้นรีบลุกขึ้นยืน “คำนับท่านผู้บัญชาการ! พวกข้าเหนื่อยจากการลาดตระเวนจึงพักสักครู่เท่านั้น เพียงแค่พัก! จะไปกล้านินทาราชาเฮยซาหู่ได้อย่างไร? ”
“ต่อให้ใจกล้า จากนี้ก็ต้องประพฤติตัวให้ดี ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ? ยังไม่รีบไปลาดตระเวนอีก! ”
“ขอรับๆ ๆ ! ”
ระหว่างที่พูด ปีศาจน้อยก็เดินไปไกลแล้ว
ซูจิ่นซีค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นจากที่มืด ใบหน้าของนางนิ่งเฉย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
“เป็นอันใดหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาเอ่ยถาม
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ “บอกไม่ถูก เพียงเรื่องราชาเฮยซาหู่ที่พวกเขาพูด ดูเหมือนจะต่างจากเมื่อก่อนมาก”
“เยี่ยโยวเหยา! ”
“หืม?”
“เช่นนั้นพวกเราไปที่ดินแดนร้อยสัตว์อสูรก่อนเถิด! ”
“ตกลง! ”
จากนั้นทั้งสองจึงเบี่ยงเส้นทางไปยังดินแดนร้อยสัตว์อสูร
เมื่อเข้าสู่เขตอสูร ซูจิ่นซีก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศที่นี่แตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ทั้งอึดอัดและอึมครึม ปีศาจน้อยจำนวนมากเดินก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ
ที่อยู่ไม่ไกลคือตำหนักแดนอสูรซึ่งตั้งสูงตระหง่าน
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาหลบเลี่ยงการลาดตระเวนอย่างเข้มงวด และค่อยๆ เข้าไปใกล้ตำหนักใหญ่
ตุบ…
ทันใดนั้นก็มีเสียงวัตถุหนักตกลงบนพื้น