สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1131 แท่นวิญญาณนรกจิ่วโยว
“จิ่วหรง? ” จิ้นอี้เฉินยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ซูจิ่นซี เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังมีหน้าเอ่ยถึงคุณชายจิ่วอีกหรือ? ”
ซูจิ่นซีเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จิ้นอี้เฉินจึงกล่าวต่อ
“เหตุผลที่ข้าจับเจ้าที่แคว้นไหวเจียงในตอนนั้น ประการแรกก็เพื่อข่มขู่เยี่ยโยวเหยาให้สละบ้านเมือง ประการที่สองก็เพื่อส่งเจ้าไปพบคุณชาย กลับไม่คิดว่าจะปล่อยให้หนีรอดมาจนถึงตอนนี้ได้”
“คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร? ” ซูจิ่นซีพูดด้วยท่าทางสับสน
“หมายความว่าอย่างไร? ” จิ้นอี้เฉินยังคงยิ้มเยาะ “ข้าหมายความว่าอย่างไร? ซูจิ่นซี ในใจเจ้ารู้ดียิ่งกว่าผู้ใด เหตุใดต้องถามข้าอีก? ”
จิ้นอี้เฉินหยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วจึงพูดต่อ “คุณชายจิ่วไม่กลับมาแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ไม่กลับมาตลอดกาล ซูจิ่นซี หากเจ้ามีเยื่อใยต่อคุณชายและยังต้องการพบเขา เจ้าก็กรีดคอตายเพื่อลงไปพบเขา ขอเพียงเจ้าตาย เจ้าก็จะได้พบคุณชายอย่างแน่นอน เจ้ากล้าหรือไม่? ”
สีหน้าของซูจิ่นซียิ่งดูบูดบึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยโยวเหยาคว้ามือซูจิ่นซีไว้ เขารู้สึกได้ว่าฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นจัด
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะพลางฉีกรอยยิ้มปลอบโยนเยี่ยโยวเหยา เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่เป็นอันใด
จากนั้นจึงคลายมือจากคอของจิ้นอี้เฉิน และพูดกับอวิ๋นอี้ว่า “ท่านพญายม ฝากคนผู้นี้ไว้ที่ท่านก่อนได้หรือไม่ มีบุญคุณความแค้นส่วนตัวเล็กน้อยที่ข้าต้องจัดการกับเขาอย่างช้าๆ ”
“ตกลง! ”
“ข้าขอยืมลูกสมุนของท่านสักสองสามคน”
อวิ๋นอี้ยกมือขึ้น ทหารสองสามนายพลันเดินเข้ามาหา
“ฟังคำสั่งพระชายาโยวอ๋อง”
“ขอรับ! ”
ซูจิ่นซีถามอีกครั้ง “ปกติที่นี่พวกท่านสอบปากคำนักโทษที่ใดกัน? ”
ทหารนายหนึ่งเหลือบมองอวิ๋นอี้แล้วพูดว่า “ทูลพระชายาโยวอ๋อง ที่นี่พวกเราไม่มีสถานที่สอบปากคำนักโทษขอรับ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ทหารสองนายนิ่งเงียบ ซูจิ่นซีจึงถามอวิ๋นอี้
อวิ๋นอี้ไพล่สองมือไว้ด้านหลัง หน้ากากสีทองทำให้เขาดูลึกลับคาดเดาไม่ได้ “ปกตินักโทษของตำหนักพญายม ไม่ว่าทำผิดร้ายแรงหรือไม่ ทุกคนจะถูกประหารทันที”
โหดเหี้ยมยิ่งนัก!
วิธีการนี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าวิหารวิญญาณของเยี่ยโยวเหยาเสียอีก
“แล้วคนนอกเล่า? ปกติพวกท่านจับคนนอกขังไว้ที่ใด? ”
อวิ๋นอี้เหลือบมองซูจิ่นซีด้วยท่าทางคาดเดาไม่ได้และไม่พูดอันใด
ทหารนายหนึ่งอธิบายอย่างกล้าหาญว่า “พระชายาโยวอ๋อง ตำหนักพญายมของพวกข้าไม่เคยจับคนนอกมาก่อน”
“เหตุใด? ”
เมื่อถามออกมา ซูจิ่นซีดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างได้ในทันที
คนนอกที่ล่วงเกินคนในตำหนักพญายมคงมีจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าคนของตำหนักพญายมเสียอีก เมื่อถูกจับมาตำหนักพญายมจะยังโชคดีอันใดได้อีก? แน่นอนว่าต้องถูกประหารตรงที่เกิดเหตุทันที
ทว่าจากชื่อเสียงของตำหนักพญายม คาดว่าปกติคงไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องอย่างไม่คำนึงถึงชีวิต
เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีพลันยิ้มเยาะและกล่าวกับจิ้นอี้เฉินว่า “จิ้นอี้เฉิน โชคของท่านยังมีมากอยู่ ชีวิตยากพอแล้ว”
ผู้ที่สามารถอยู่รอดในเงื้อมมือของอวิ๋นอี้จนถึงตอนนี้ คงมีเขาเพียงผู้เดียวแล้ว
อวิ๋นอี้พูดว่า “หากเจ้าต้องการหาสถานที่สอบปากคำ ข้าก็มีอยู่ที่หนึ่ง”
“ที่ใด? ”
“แท่นวิญญาณนรกจิ่วโยว! ”
ฟังดูน่าสะพรึงกลัวไม่เลวทีเดียว
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอีกครั้ง นางมองไปที่จิ้นอี้เฉินแล้วพูดว่า “ตกลง ใช้ที่นี่ พาเขาไป”
แม้อวิ๋นอี้ไม่ได้พูดชัดเจนว่าเป็นสถานที่แบบใด และซูจิ่นซีไม่ได้ถามอันใดมาก ทว่าสีหน้าของจิ้นอี้เฉินกลับเปลี่ยนไปในทันที
เขาพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด “ซูจิ่นซี เจ้าทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้ ซูจิ่นซี เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้! เจ้าต้องไม่ตายดี! ซูจิ่นซี เจ้าต้องไม่ตายดีแน่นอน! ”
ซูจิ่นซียิ้มเยาะเย็นชา “ข้าจะมีจุดจบดีหรือไม่นั้นเป็นเรื่องภายหลัง ทว่าคนอย่างข้า ชะตาชีวิตค่อนข้างดี ชีวิตราบรื่นกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง จุดจบจะงดงามหรือไม่ เกรงว่าไม่ใช่เจ้าที่ตัดสินได้ ทว่าเจ้า… ”
ซูจิ่นซียังพูดประโยคหลังไม่จบ ดวงตางดงามกระจ่างใสของนางกลับมืดมิดหนาวเหน็บ นางโบกมือแล้วกล่าวอย่างโหดร้ายว่า “ส่งเขาไปที่แท่นวิญญาณนรกจิ่วโยว”
“ขอรับ” บ่าวรับใช้สองคนตอบรับแล้วลากจิ้นอี้เฉินออกไป
แท่นวิญญาณนรกจิ่วโยวเป็นสถานที่ที่โหดร้ายและน่ากลัวที่สุดในโลกสามเขตแดน กระทั่งแม่น้ำฉางซือยังเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
เพียงได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าที่นี่เต็มไปด้วยวิญญาณหยิน
ทว่าไม่ใช่วิญญาณหยินธรรมดา
แต่เป็นผู้ที่ขณะมีชีวิตอยู่ได้รับการดูถูกเหยียดหยามและได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก หลังตายไปแล้ววิญญาณไม่สามารถกลับชาติไปเกิด จึงกลายเป็นวิญญาณร้ายเร่ร่อนอยู่บนโลกมานานหลายปี
เป็นวิญญาณเร่ร่อนมานาน คนที่ตนเองอาฆาตพยาบาทล้วนตายไปหมดแล้ว หลังจากร่อนเร่พเนจรเพียงลำพังอย่างไร้จุดหมายจึงมารวมตัวกันที่แท่นวิญญาณนรกที่แดนนรกจิ่วโยวแห่งนี้
จิ้นอี้เฉินถูกคุมขังอยู่ที่นี่ ถูกวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นรุมกัดกิน ทำให้ทรมานทุกวัน
เป็นจริงดั่งคาด ตอนที่ซูจิ่นซีไปเยี่ยมจิ้นอี้เฉินในภายหลัง วิญญาณร้ายคอยหลอกหลอนอยู่รอบกายเขา และถูกทรมานจนหมดสภาพ
ต้องทราบว่า แม้จิ้นอี้เฉินจะอายุเกินครึ่งร้อยปีแล้ว ทว่าเนื่องจากการบำเพ็ญเพียร ใบหน้าของเขาจึงได้รับการดูแลอย่างดี หากไม่รู้ตัวตนของเขาและหากเขาไม่มีเส้นผมสีขาวหิมะนั่น ทุกคนคงคิดว่าเขาเป็นเพียงคนหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ
ทว่าตอนนี้ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างกายเต็มไปด้วยคราบเลือด บนใบหน้าก็มีคราบเลือดจำนวนไม่น้อยเช่นกัน แม้ในอนาคตบาดแผลจะสมานกัน ทว่าคงทิ้งรอยแผลเป็นน่าเกลียดไว้มากมาย วิญญาณร้ายหลอกหลอนอยู่รอบกาย กรีดร้องไม่หยุด
ราวกับรับรู้ได้ว่าซูจิ่นซีเข้ามาใกล้ จิ้นอี้เฉินจึงตะโกนว่า “ซูจิ่นซี เจ้า เจ้าปล่อยข้า เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้ …อย่างไรเสีย ระหว่างเจ้ากับข้าก็มีสายเลือดเดียวกัน ข้า… ข้าเป็นผู้อาวุโสของเจ้า เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้! ”
“โอ้? ” ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “สายเลือดเดียวกันหรือ? หากราชครูไม่เตือน จิ่นซีคงลืมไปแล้ว สกุลเกาเคยเป็นตระกูลย่อยของสกุลเสวียนหยวน ทว่าได้เปลี่ยนสกุลในภายหลัง”
ซูจิ่นซีพูดพลางหยุดชะงักครู่หนึ่ง ทำท่าทางครุ่นคิด “ทว่า อันใดคือสาเหตุที่ทำให้เชื้อสายตระกูลของพวกเราเปลี่ยนสกุลกันเล่า? จากสกุลเสวียนหยวนเป็นสกุลเกา แล้วก็เป็นสกุลมู่หรง เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก… ”
จิ้นอี้เฉินกรีดร้องพลางพูดว่า “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ซูจิ่นซี เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เจ้าปล่อยข้า ข้าจะค่อยๆ อธิบายให้เจ้าฟัง ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด… ”
สีหน้าของซูจิ่นซีพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “รายละเอียดเป็นอย่างไร นั่นเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง พูดขึ้นมาวันนี้ก็ไม่มีความหมาย จิ้นอี้เฉิน ตอนนี้ข้าสนใจเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น จิ่วหรงอยู่ที่ใด? ”
จิ้นอี้เฉินที่กรีดร้องอยู่บนแท่นวิญญาณนรกพูดว่า “ตายแล้ว คุณชายตายไปแล้ว”
หัวใจของซูจิ่นซีปวดร้าวอย่างรุนแรง ทว่าไม่นานก็ทำจิตใจให้มั่นคงแล้วพูดว่า “ทำอย่างไรถึงจะชุบชีวิตเขาได้? วิญญาณของเขาอยู่ที่ใด? ”
จิ้นอี้เฉินที่กำลังกรีดร้อง จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงดัง
“ชุบชีวิต… ซูจิ่นซี คิดจะให้คนตายฟื้นคืนชีวิต พูดง่ายแต่ทำยากกระมัง? ตอนนั้นคุณชายสูญเสียไปมากเพียงใดเพื่อชุบชีวิตเจ้า? เจ้าคงไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คนที่ตายคือคุณชาย เขาไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในสามอาณาจักรเจ็ดดินแดน บนสวรรค์ ใต้ผืนดิน ไม่มีวิญญาณของคุณชายอีกแล้ว เจ้าจะชุบชีวิตเขาได้อย่างไร? คิดเพ้อฝันเสียจริง! ”
ไม่!
เป็นไปไม่ได้!
สีหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนไปกะทันหัน ร่างซวนเซไปสองก้าว