สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 38 ตอนที่ 1132 (ตอนอวสาน)
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”
เสียงหัวเราะที่น่าสมเพชของจิ้นอี้เฉินดังออกมาจากแท่นวิญญาณนรกเก้าขุม เสียงหัวเราะนั้นน่าสังเวชและสยดสยอง ฟังแล้วน่าขนลุกอย่างมาก
สีหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซีดขาว
แม้นางจะเคยได้ยินคำนี้มาหลายครั้งแล้ว ทว่าหัวใจของนางยังคงเจ็บปวดเมื่อได้ยินอีกครั้ง ราวกับว่านางถูกบางอย่างดึงรั้งอย่างรุนแรง ทำให้หายใจติดขัด
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาของซูจิ่นซีก็ปรากฏแสงเย็นเยียบ
“โอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จิ้นอี้เฉิน ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง วิญญาณของจิ่วหรงอยู่ที่ใด? เจ้าลองคิดดูให้ดี เมื่อเจ้าจำได้ ข้าจะปล่อยเจ้าออกจากแท่นวิญญาณนรกเก้าขุมแห่งนี้ หากเจ้าจำไม่ได้ เจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนพวกเขาในนี้ก็แล้วกัน! ”
หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็ไม่อยากอยู่นานนัก นางเดินออกจากแท่นวิญญาณนรกเก้าขุมทันที
หลังจากนั้น เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของจิ้นอี้เฉินก็ดังมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งอยู่ที่ตำหนักพญายมก็สามารถได้ยินเสียงนั้น
ทว่าวันแรกผ่านไป จิ้นอี้เฉินยังไม่พูดอันใดเกี่ยวกับจิ่วหรง
วันที่สองผ่านไป ยังไม่พูดอันใด
วันที่สามผ่านไป ก็ยังไม่พูดอันใด
ในเวลานี้ เสียงกรีดร้องจากแท่นวิญญาณนรกเก้าขุมอ่อนแรงลงและดังขึ้นน้อยครั้ง บางครั้งเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามก็ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้อง ซูจิ่นซีสงสัยว่าเขาอาจจะตายไปแล้ว
“มีคนไม่มากที่สามารถอยู่ที่แท่นวิญญาณนรกเก้าขุมได้ เขาอยู่ในนั้นเป็นเวลาสามวัน นับเป็นคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง หากเขาไม่พูดอันใด อาจหมายความว่าเขาไม่รู้อันใดจริงๆ ” อวิ๋นอี้พูด
ซูจิ่นซีสงบนิ่ง นางพยักหน้าเล็กน้อยและพูดอย่างเฉยเมย “หากเป็นเช่นนี้ ก็ให้เขาอยู่ในนั้นไปตลอดชีวิตและอย่าออกมาอีกเลย”
อวิ๋นอี้จ้องซูจิ่นซีครู่หนึ่ง พลางแย้มยิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีมุมที่โหดเหี้ยมมาก”
แววตาของซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยาที่กำลังเดินอยู่ไม่ไกล “นั่นต้องดูว่าทำกับผู้ใด? ”
“อวิ๋นอี้ พวกเราออกเดินทางเถิด! ” ซูจิ่นซีพูด “รอจนดอกท้อบานเดือนสามปีหน้า ข้าจะเดินทางไปช่วยนางที่แท่นดวงวิญญาณพร้อมกับเจ้า”
“ตกลง! ”
เยี่ยโยวเหยาเพิ่งเดินมาถึงทั้งสองคน ก่อนจะถามว่า “เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอันใด? ”
“ไม่มีอันใด! ” ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้น พลางยิ้มหวานให้เยี่ยโยวเหยา “พรุ่งนี้เช้า พวกเราจะกลับไปเมืองเย่หลิน! ”
เสียงกรีดร้องจากแท่นวิญญาณนรกเก้าขุมยังดังมาจากระยะไกล เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ถามมากความ เพียงตอบว่า “ตกลง”
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนออกเดินทางกลับไปที่เมืองเย่หลิน
มู่หรงฉีไม่ได้ถูกวางยาพิษ ทว่าต้องคำสาป ในเมื่อเป็นเวทมนตร์ดำที่อวิ๋นอี้เป็นคนทำ เขาจึงต้องเป็นคนแก้เท่านั้น
ในคืนที่อวิ๋นอี้ถอนคำสาปเวทมนตร์ดำในตัวมู่หรงฉี ภายในวังเต็มไปด้วยความสุข ตงหลิงหวงและมู่หรงฉีร้องไห้กอดกันอยู่ในตำหนักจ้งหวา ซินอี๋ก็ร้องไห้อยู่ด้านข้างเช่นกัน
ซูจิ่นซีมองจากระยะไกล ไม่ต้องการเข้าไปรบกวน ก่อนจะหันหลังกลับมาอย่างมีความสุข ขณะที่นางกำลังเดินออกจากตำหนักจ้งหวา นางได้พบกับเยี่ยโยวเหยาในชุดคลุมสีดำลึกลับซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากทางเดินภายในวัง
ในยามค่ำคืน แสงจันทร์สีนวลสาดส่องบนร่างสีดำของเขา อย่างเงียบสงัด สงบนิ่ง และงดงามอย่างมาก
ซูจิ่นซีสวมชุดคลุมสีขาวนวลจันทร์ ชายเสื้อพลิ้วไหวราวกับสายน้ำที่ไหลอยู่ใต้แสงจันทร์ นางค่อยๆ เดินตรงเข้าไปหาเขา
“เยี่ยโยวเหยา! ”
“ใช่! ”
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าอบอุ่น ลูบเส้นผมยุ่งเหยิงหลังใบหูของนางแผ่วเบา พลางจับมือของนาง
กำแพงวังมีสีแดงและกระเบื้องสีเขียว แสงจันทร์ทอดยาวงดงาม ร่างหนึ่งสีดำ ร่างหนึ่งสีขาว ทั้งสองค่อยๆ เดินออกไปทางด้านนอกกำแพงวัง
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“หืม? ”
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“หืม? ”
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“…”
“เยี่ย… ”
ทันทีที่ซูจิ่นซีพูดคำว่า ‘เยี่ย’ เยี่ยโยวเหยาก็สวมกอดนาง และบรรจงจูบอย่างดูดดื่ม
สามวันต่อมา เยี่ยโยวเหยามอบตราหยกราชลัญจกรของแคว้นหนานหลีคืนให้มู่หรงฉี ทว่ามู่หรงฉีปฏิเสธที่จะรับมันไว้ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนหารือเรื่องอันใดภายในตำหนักฉินเจิ้งวันนั้น จนกระทั่งช่วงพลบค่ำ เยี่ยโยวเหยาออกมาจากตำหนักฉินเจิ้ง ตราหยกราชลัญจกรของแคว้นหนานหลีไม่ได้อยู่ในมือของเขาแล้ว
เจ็ดวันต่อมา กองทัพใหญ่แคว้นจงหนิงซึ่งนำทัพโดยหลานเสวียนหมิง เดินหน้าไปยังแคว้นหนานหลี จากชายแดนมาถึงเมืองเย่หลินมีด่านทั้งหมดยี่สิบเจ็ดด่าน ทว่าไม่มีผู้ใดขวางทาง เมื่อมุ่งหน้าเข้ามายังพระราชวังแคว้นหนานหลี ภายในวังก็ว่างเปล่านานแล้ว ไม่มีร่องรอยของไท่ซ่างหวง ไท่เฟย ฮ่องเต้มู่หรงฉี และตงหลิงหวง
หนึ่งเดือนต่อมา จักรพรรดิแคว้นจงหนิงสิ้นพระชนม์ เยี่ยโยวเหยาขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาผนึกรวมแผ่นดินแคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋นบางส่วน รวมกับแคว้นไหวเจียงและแคว้นหนานหลี แผ่นดินทั้งหมดถูกขนานนามใหม่ว่า ‘เทียนฉี’ รัชสมัยเทียนหยวน แยกการปกครองจากสกุลเป่ยถังที่รวบรวมแผ่นดินทางเหนือเป็นราชวงศ์เหนือใต้ เมืองหลวงถูกสร้างขึ้นใหม่ในบริเวณจวนโยวอ๋องแคว้นจงหนิงเดิม ซูจิ่นซีได้รับแต่งตั้งอิสริยยศเป็นฮองเฮา วังหลังมีเพียงชื่อ ไม่มีการแต่งตั้งพระสนมแต่อย่างใด
สองเดือนต่อมา ในวันที่หิมะโปรยปรายในเมืองเหยา สวนตี้เหมย
เสียงของซูจิ่นซีดังมาจากระยะไกล “ออกแรงอีกนิด ออกแรงอีกนิด! เยี่ยโยวเหยา ออกแรงอีกนิด! ”
“ซูจิ่นซี! ”
“เยี่ยโยวเหยา ออกแรงอีกนิด… ”
สองมือของซูจิ่นซีถือเนื้อและผักเสียบไม้ นางกำลังยืนย่างอยู่หน้าเตาปิ้งย่าง เมื่อนางได้ยินเสียงเยี่ยโยวเหยามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบหันไปมอง ก่อนจะอดหัวเราะไม่ได้
“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ฮ่า ฮ่า ฮ่า สนุกมากจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เหตุใดท่านถึงทำตนเองให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
นางเห็นเพียงแก้มที่เคยงดงามของเยี่ยโยวเหยาเปื้อนไปด้วยฝุ่นและเขม่า เส้นผมของเขาถูกไฟเผาไปกว่าครึ่ง ดูน่าสงสาร น่าเวทนา และน่าขันอย่างมาก
ซูจิ่นซีอดกลั้นไม่ได้อีกต่อไป นางโยนเนื้อและผักในมือทิ้ง พลางกุมท้องหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ซูจิ่นซี! ” เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นยืน เขาคว้าข้อมือของซูจิ่นซีด้วยใบหน้าเย็นชา ทว่ากลับทำอันใดไม่ถูก
ซูจิ่นซีหัวเราะจนน้ำตาไหล นางรีบกอดแขนของเยี่ยโยวเหยาและเอ่ยขอความเมตตา “เยี่ยโยวเหยา โยวอ๋อง ไม่ใช่ ฮ่องเต้ของข้า พระองค์….. ยกโทษให้หม่อมฉัน… หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ… ไม่ได้ตั้งใจหัวเราะเยาะพระองค์เพคะ”
“เจ้ายังหัวเราะอีก! ” สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาทวีความเย็นชามากขึ้น
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มและพูดว่า “หม่อมฉัน… หม่อมฉันกลั้นไม่ไหวแล้วเพคะ! ”
เมื่อได้ยินเสียงดัง จึงมีคนเปิดม่านภายในเรือนเดินออกมา นั่นคือตงหลิงหวงกับมู่หรงฉี พร้อมกับลวี่หลีและแม่นมฮวาที่กำลังอุ้มเด็กทารก
ทันทีที่เห็นสภาพของเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี ทุกคนต่างตกตะลึง แม่นมฮวาร้องอุทานออกมาพูดว่า “โอ้ ท่านอ๋อง บ่าวบอกแล้ว พระองค์ไม่สมควรทำเรื่องเหล่านี้ พระองค์ดูสภาพของพระองค์เองสิเพคะ”
นางพูดพลางรีบยื่นเยี่ยหลินเชวียให้แม่นมอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนจะเดินไปหาทั้งสองคน และช่วยพยุงซูจิ่นซีลุกขึ้นจากพื้น
“ฮองเฮา รีบพยุงพระองค์เข้าไปล้างหน้าเพคะ! บ่าวทำความสะอาดที่นี่เอง”
ซูจิ่นซีมองสภาพของเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง และอดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้
ตงหลิงหวงพูดว่า “บอกให้พวกเราเข้าไปรอข้างในอย่างสบายใจ เจ้าสองคนจะทำเนื้อย่างให้พวกเรา ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ซูจิ่นซี เนื้อที่เจ้าย่างอยู่ที่ใด? ”
“จุดไฟไม่ติด โทษข้าไม่ได้! ถ้าจะโทษก็ต้องโทษเยี่ยโยวเหยา เขามีหน้าที่จุดไฟ! ”
เยี่ยโยวเหยามีสีหน้าบึ้งตึงและไม่พูดอันใด จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปในห้องก่อน
ตงหลิงหวงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าผลักความรับผิดชอบได้ดีจริงๆ ! มู่หรงฉีกับข้ามอบใต้หล้าให้พวกเจ้าสองสามีภรรยา ทว่าเนื้อย่างสักมื้อของเจ้าก็ยังไม่ได้กิน ไม่ได้ วันนี้ข้าจะต้องกินเนื้อย่างให้ได้”
“ตกลง ข้าจะทำให้พวกเจ้า จะทำให้พวกเจ้า! ” ซูจิ่นซีพูด
ตงหลิงหวงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “จะต้องกินเนื้อย่างที่เจ้ากับเยี่ยโยวเหยาย่างกับมือตนเอง”
“ตกลง รอให้แม่นมฮวาจุดไฟติดแล้ว ข้าสองคนจะย่างเนื้อให้พวกเจ้ากับมือตนเอง! ”
“เช่นนั้นก็พอได้! ” ตงหลิงหวงพูด
“เนื้อ เนื้อ เนื้อ… ” เยี่ยหลินเชวียพูดได้เร็วกว่าเด็กคนอื่น เขาส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ด้านข้าง
เมื่อซูจิ่นซีเดินเข้ามาในห้อง นางสัมผัสใบหน้าของเยี่ยหลินเชวีย “ลูกรัก เจ้ายังเด็ก กินเนื้อไม่ได้! ”
“เนื้อ เนื้อ เนื้อ… ”
ซูจิ่นซีมีท่าทีอับจนหนทาง
“คนนั้นก็จะกินเนื้อ คนนี้ก็ร้องจะกินเนื้อ ฮองเฮาอย่างข้า… ทำอันใดไม่ถูกแล้ว! ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”
ทุกคนที่อยู่ภายในเรือนต่างหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”
ซูจิ่นซีกวาดสายตามองไปรอบๆ กลุ่มคนที่กำลังหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข มีตงหลิงหวงกับมู่หรงฉี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจงซีจือและมู่หรงอวิ๋นไห่ จงรุ่ยอัน จงเทียนโย่ว ซูอวี้ หลานเสวียนหมิงพ่อลูก รวมถึงหมอเทวดากับเทพโอสถจากสำนักแพทย์เทียนอี ทุกคนต่างมาอยู่กันพร้อมหน้า
ทว่าในกลุ่มคนทั้งหมดนี้ มีเพียงสามคนที่หายไป อู๋จุน ถังเสวี่ย และจิ่วหรง
จิ่วหรงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง ส่วนอู๋จุน หลังจากฟื้นขึ้นมาตอนอยู่ชายแดนแคว้นเป่ยอี้ ซูจิ่นซีก็ไม่พบอู๋จุนและถังเสวี่ยอีกเลย
นางเคยถามเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยาตอบเพียงว่า อู๋จุนจากไปหลังจากนางฟื้นขึ้นมา
ถังเสวี่ยตามติดอู๋จุนไปทุกที่ นางจะต้องอยู่กับอู๋จุนแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สองสามวันมานี้ ภายในใจของนางรู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลา ทั้งยังฝันหลายคราว่าใบหน้าของอู๋จุนเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเขาเหมือนไม้แห้ง
นางไม่รู้ว่าเหตุใดถึงฝันเช่นนี้ ความฝันนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะอยู่มุมใดในโลกใบนี้ นางปรารถนาให้พวกเขามีความสุข
“ฮองเฮา! ” ซูอวี้เห็นซูจิ่นซีเหม่อลอยจึงเรียกนาง
ซูจิ่นซีกลับมาได้สติ ทุกคนยังคงแย้มยิ้มอย่างมีความสุข “ทุกคนดื่มชาก่อน ดื่มชาก่อน! เดี๋ยวข้ากับฝ่าบาทกลับมา เดี๋ยวกลับมา! ”
เมื่อพูดจบ ซูจิ่นซีก็เดินเข้าไปที่ห้องด้านในกับเยี่ยโยวเหยา
บ่าวรับใช้ยกน้ำร้อนและเสื้อผ้าสะอาดเข้ามา พวกนางกำลังล้างหน้าให้เยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชาว่า “ซูจิ่นซี เจ้ามานี่! ”
ซูจิ่นซีได้ยินน้ำเสียงวางอำนาจและไม่ให้โอกาสต่อต้านของเยี่ยโยวเหยา จึงเดินไปหาเขาและบอกให้บ่าวรับใช้ทั้งสองถอยออกไป
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดขึ้นมา กำลังจะเช็ดหน้าให้เยี่ยโยวเหยา ทว่าเขาคว้าข้อมือของนางและดึงเข้าใกล้มากขึ้น
ซูจิ่นซีรีบใช้มือขวางที่หน้าอกของเขาอย่างรวดเร็ว “เยี่ยโยวเหยา ท่านกำลังทำอันใด? ” จากนั้นนางจึงส่งสายตาว่ายังมีคนอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า
กลับไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้สนใจ เขาดึงร่างของนางเข้ามาแนบชิดมากกว่าเดิม
“ซูจิ่นซี นับวันเจ้ายิ่งบังอาจมากขึ้นทุกวัน กล้าหยอกเย้าข้า”
ซูจิ่นซีทำท่าทางดั่งผู้บริสุทธิ์ “ใช่ที่ใดกันเพคะ? หม่อมฉันบริสุทธิ์ พระองค์บอกว่าจะช่วยจิ่นซีย่างเนื้อให้ทุกคน และพระองค์รับปากว่าจะช่วยหม่อมฉันจุดไฟ พระองค์ออกแรงโบกพัดไม่เร็วพอ จะตำหนิผู้ใดได้เพคะ? หรือว่าเรื่องทั้งหมดนี้ พระองค์จะตำหนิจิ่นซีคนเดียวหรือเพคะ? ”
“โบกพัดไม่แรงพอหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น ท่าทางดุดัน
แววตาของซูจิ่นซีเผยความซุกซน “เอ่อ… ดูเหมือนหม่อมฉันไม่ควรใช้คำนี้เพคะ ฝ่าบาท พระองค์ไม่ใช่คนที่เข้าครัวบ่อยนัก เอ่อ… ยังไม่ชำนาญ… ยังไม่ชำนาญ”
ทันทีที่นางพูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็โอบเอวนางและบรรจงจูบอย่างดูดดื่ม ดวงตาของซูจิ่นซีเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ นางไม่กล้าพูดอันใดแม้แต่คำเดียว ยิ่งไม่กล้าขัดขืน
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งทั้งสองแทบหายใจไม่ทัน เยี่ยโยวเหยาขบเม้มริมฝีปากของซูจิ่นซีเพื่อลงโทษนาง ก่อนจะปล่อยนาง
ซูจิ่นซีรีบถอยหลังไปสองก้าวเพื่อปรับลมหายใจ นางเช็ดปากตนเองและถลึงตาใส่เยี่ยโยวเหยา “คนป่าเถื่อน! ”
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยสีหน้าภูมิใจ จากนั้นจึงค่อยๆ เหยียดแขนออก เพื่อให้ซูจิ่นซีสวมเสื้อผ้าให้เขา
“คนป่าเถื่อน! ” ซูจิ่นซีกล่าวตำหนิอีกครั้ง
“ยังไม่มาอีก! ” เยี่ยโยวเหยาพูด “หรือจะให้ข้าไปหา? ”
“คนป่าเถื่อน! ”
ซูจิ่นซีหยิบผ้าเช็ดตัวพลางบ่นอีกครั้ง ก่อนจะเช็ดใบหน้าให้เยี่ยโยวเหยา
นางค่อยๆ เช็ดคราบขี้เถ้าบนใบหน้าและร่างกายของเขา จากนั้นก็สวมเสื้อผ้าสะอาดให้เขา
ถือว่าซูจิ่นซีเข้าใจแล้ว ความจริงนางเข้าใจมานานแล้ว! หากดื้อดึงกับเยี่ยโยวเหยา นางไม่เคยได้ผลประโยชน์อันใด โดยเฉพาะเวลาที่นางอยู่กับเยี่ยโยวเหยาเพียงลำพัง นางต้องร้องขอความเมตตาอย่างเสียไม่ได้ และนางก็เป็นคนที่ถูกกระทำตลอด
จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็จับมือซูจิ่นซี “ข้าป่าเถื่อนกับเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก นางเงยหน้าขึ้นและทุบหน้าอกของเยี่ยโยวเหยา “กล้าป่าเถื่อนกับสตรีอื่นหรือเพคะ พระองค์ลองดูสิ! ”
หลังเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้ว ทั้งสองก็เดินจับมือออกมาจากห้องด้านใน
แม่นมฮวาเดินเข้ามาด้านในและพูดว่า “ทูลฮองเฮา จุดไฟติดแล้วเพคะ! ”
ซูจิ่นซีเดินไปด้านนอกและพูดว่า “ข้าจะย่างเนื้อให้พวกเจ้าทาน! ” หลังเดินไปได้สองก้าว นางก็หยุดเดินและหันหลังกลับมาถามเยี่ยโยวเหยา “ฝ่าบาท พระองค์จะย่างเนื้อหรือไม่เพคะ? ”
แม้เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใด ทว่ากลับเดินตามซูจิ่นซีออกไปด้านนอก
หมอเทวดาและเทพโอสถต่างลุกขึ้นและพูดว่า “พวกเราจะไปช่วยอีกแรง! ”
“ใช่ พวกเราไปช่วยอีกแรง” จงรุ่ยอันก็พูดขึ้นเช่นกัน
มู่หรงอวิ๋นไห่พูดว่า “แม้ข้างนอกจะมีหิมะตก ทว่าก่อไฟแล้วจึงไม่หนาวมาก พวกเราออกไปข้างนอกกันเถิด! ”
“ดีเพคะ! ” จงซีจือพูด
จากนั้นจึงสั่งให้บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งย้ายโต๊ะ เก้าอี้ และถ้วยชาไปข้างนอก
ภายในสวนตี้เหมยที่เงียบสงบและหนาวเย็น พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
บางคนหั่นผักและเสียบไม้ บางคนย่างเนื้อและย่างผัก บางคนเล่นบอลหิมะ ใบหน้าของเยี่ยหลินเชวียกับซินอี๋กลายเป็นสีแดงระเรื่อเพราะความหนาวเย็น ต่างหัวเราะ ฮิ ฮิ ไปพร้อมกับทุกคน
แม่นมฮวาพูดว่า “ฮองเฮา บ่าวอุ้มท่านอ๋องน้อยเข้าไปข้างในดีกว่าเพคะ! อากาศหนาว เกรงว่าจะไม่สบายเพคะ”
“เด็กผู้ชายจะอ่อนแอได้อย่างไร? ” ซูจิ่นซียื่นไม้เสียบเนื้อในมือให้ตงหลิงหวง พลางใช้นิ้วมือที่มันเยิ้มถูไถแก้มของเยี่ยหลินเชวีย “หากไม่พบความหนาวเหน็บเข้ากระดูกบ้าง เจ้าจะชมเชยกลิ่นหอมของดอกท้อได้อย่างไร? [1] ”
แม่นมฮวายังรู้สึกไม่เหมาะสม “ทูลฮองเฮา ท่านอ๋องน้อยยังเล็ก พระองค์เข้มงวดเกินไปหรือไม่เพคะ? ”
ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงพูดพลางกินเนื้อย่าง “เช่นนี้ถือว่าเข้มงวดได้อย่างไร? ตลอดชีวิตของเขา ใต้หล้านี้ เสด็จพ่อของเขาเป็นคนสร้างมากับมือ ใต้หล้าในอนาคตสงบสุขมั่นคง ไม่เคยได้พบกับความทุกข์ยาก หากต่อไปไม่เข้มงวดตั้งแต่เล็ก เขาจะปกป้องใต้หล้าอันยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างไร? ต้องทราบว่าการปกป้องบ้านเมืองยากกว่าการต่อสู้สร้างขึ้นมา”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็ยื่นเนื้อเสียบไม้ให้แม่นมฮวา “ลองทานดู ลองทานดู! ลองชิมฝีมือของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”
แม่นมฮวามีสีหน้าปลาบปลื้ม ซูจิ่นซีให้องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างอุ้มเด็ก “ทานให้สบายใจเถิด ทานเสร็จแล้วข้าจะไปย่างให้อีก”
หลานเสวียนหมิงที่อยู่ไม่ไกลนักได้ยินคำพูดของซูจิ่นซี
ในตอนแรก เขาไม่เห็นด้วยที่ซูจิ่นซีเป็นพระชายาเยี่ยโยวเหยา เขาคิดว่าสตรีนางนี้จะนำหายนะมาสู่แคว้นและประชาชน ฮองเฮาในอนาคตของจักรวรรดิต้าฉินควรจะเป็นเหมือนแม่นางหนานกงลั่วอวิ๋น
ต่อมาภายหลัง เขาเห็นถึงความแข็งแกร่ง ความมุ่งมั่น และความสามารถของซูจิ่นซี แม้จะไม่คัดค้าน ทว่าเขายังคงรู้สึกว่ารัศมีรอบกายของสตรีนางนี้ เมื่อเทียบกับฝ่าบาทยังด้อยกว่าเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ยินนางพูดในวันนี้ ทำให้เขาตระหนักได้ในทันทีว่า สตรีนางนี้ไม่เพียงแข็งแกร่ง มุ่งมั่น และกล้าหาญเท่านั้น ทว่านางยังฉลาดเฉลียวและเด็ดเดี่ยวอีกด้วย
เขาตระหนักรับรู้ว่า มีเพียงสตรีที่แข็งแกร่ง กล้าหาญ และฉลาดปราดเปรื่องอย่างซูจิ่นซีเท่านั้นที่คู่ควรกับจักรพรรดิของพวกเขา
เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ จิตใจของเขาพลันเหม่อลอย หลานเสวียนหมิงอดจับมือซ้ายที่นิ้วก้อยหายไปไม่ได้
ซูจิ่นซีหัวเราะไปพลางหันหน้าไปเห็นหลานเสวียนหมิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลานเสวียนหมิงกลับมาได้สติอีกครั้ง เขาแย้มยิ้มและหยิบแก้วสุรายกขึ้นสูงไปทางซูจิ่นซีด้วยความเคารพ จากนั้นจึงยกขึ้นดื่ม
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะจัดเนื้อย่างเสียบไม้วางบนจานและยื่นให้อวิ๋นอี้ที่นั่งอยู่คนเดียวไม่ไกลนัก
“ลองชิมฝีมือของข้า! ”
อวิ๋นอี้หยิบเนื้อเสียบไม้ “เห็นทุกคนทานกันอย่างมีความสุข รู้สึกดีมากจริงๆ ! ”
ซูจิ่นซีพูด “หากดีก็ทานให้มากหน่อย ข้ารับปากแล้วว่าฤดูใบไม้ผลิเดือนสามจะไปแท่นดวงวิญญาณกับท่าน ข้าจะไปอย่างแน่นอน ครั้งนี้ไม่ผิดสัญญาเด็ดขาด”
“เดือนสาม… ”
อวิ๋นอี้ถือเนื้อย่างเสียบไม้ที่ยังไม่ได้กิน พลางทอดสายตายาวออกไป น้ำเสียงโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ซูจิ่นซีพูดว่า “อีกไม่กี่เดือน ประเดี๋ยวเดียว! เจ้าไม่ทานเล่า เนื้อจะเย็นเอา”
อวิ๋นอี้กลับมาได้สติอีกครั้ง เขาทานเนื้อชิ้นหนึ่งด้วยรอยยิ้ม “รสชาติดีจริงๆ ”
ซูจิ่นซีแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ อวิ๋นอี้หยิบไหสุราข้างเอวออกมาจิบหนึ่งอึก
“เนื้ออร่อย สุราเลิศรส ทิวทัศน์งดงาม หากมีบทเพลงสักเพลง วันนี้จะสมบูรณ์แบบมากทีเดียว”
ซูจิ่นซีหันไปมอง ทุกคนกำลังดื่มกันอย่างมีความสุข นับเป็นช่วงเวลาอันดีซึ่งขาดบทเพลงจริงๆ นางเกิดอารมณ์ดีจึงหยิบพิณเฟิ่งหวงออกจากอาคมกำไลปี่อั้น และวางลงบนโต๊ะหินด้านข้าง
ขับขานบทเพลงอันใด?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดซูจิ่นซีก็นั่งลงบนม้านั่งหิน ปลายนิ้วเรียวยาวของนางสัมผัสสายพิณแผ่วเบา ปลายนิ้วพลิ้วไหว เสียงดีดพิณไพเราะเสนาะหู จากนั้นบทเพลงก็เริ่มขับขาน
มหาสมุทรแย้มยิ้ม
คลื่นทะเลซัดสาด
กระแสน้ำไหลเชี่ยว
สรวงสวรรค์แย้มยิ้ม
กลับชาติมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้ใดชนะ ผู้ใดพ่ายแพ้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้
ใต้หล้าแย้มยิ้ม
สายฝนโปรยปราย
คลื่นซัดกระทบชายฝั่ง ความรุ่งเรืองทางโลก ผู้ใดบ้างหนอที่รับรู้
สายลมแย้มยิ้ม
เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง
ความคิดคะนึงหานั้นมิเลือนหาย
สะท้อนภาพยามค่ำคืน
……
ซูจิ่นซีดีดพิณไปพลางขับขานบทเพลง ขณะที่นางร้องท่อนสุดท้าย แม้ทุกคนจะไม่รู้จักเนื้อร้อง ทว่าสามารถเริ่มร้องเพลงคลอตามทำนองได้ เทพโอสถ หมอเทวดา จงรุ่ยอัน และคนอื่นๆ ยังสามารถใช้ตะเกียบไม้ไผ่เคาะถ้วยชามเป็นจังหวะอีกด้วย
ด้านนอกสวนตี้เหมย เรือลำเล็กลอยอยู่บนแม่น้ำ บนหัวเรือมีชายชราคนหนึ่งสวมเสื้อฟางกำลังพายเรือ ภายในเรือมีชายคนหนึ่งนอนอยู่ ทั่วทั้งร่างของเขาคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำผืนใหญ่ เห็นเพียงนิ้วมือผอมแห้งยื่นออกมาจากแขนเสื้อและถือไหน้ำเต้า เขาค่อยๆ ยกสุราในไหน้ำเต้าขึ้นดื่ม
“สรวงสวรรค์แย้มยิ้ม กลับชาติมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ใดชนะ ผู้ใดพ่ายแพ้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้… ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า สวรรค์เท่านั้นที่รู้ สวรรค์… เท่านั้น… ที่รู้… ”
ร้องอีก ร้องอีก เขาหัวเราะเสียงดัง ทว่าเสียงหัวเราะของเขากลับอ้างว้างและเย็นยะเยือกยิ่งกว่าพื้นผิวน้ำแข็งที่กัดกินกระดูก ชายชราที่กำลังพายเรืออดสะดุ้งตกใจไม่ได้
“คุณชาย พายไปข้างหน้าอีกหรือไม่? พายต่อไปอีก พวกเขาจะรู้ได้ขอรับ ”
“หาจุดที่ลับตาจอดสักครู่ อย่ารบกวน ข้ากำลังฟังเพลง… ”
“ขอรับ! ”
“มหาสมุทรแย้มยิ้ม คลื่นทะเลซัดสาด กระแสน้ำไหลเชี่ยว สรวงสวรรค์แย้มยิ้ม กลับชาติมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ใดชนะ ผู้ใดพ่ายแพ้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้… ”
เสียงเพลง เสียงพิณ และเสียงหัวเราะในสวนตี้เหมยยังคงดำเนินต่อไป ชายชราพายเรือเข้าไปในจุดที่ลับสายตาในป่าดอกเหมย เหนือทะเลสาบน้ำแข็ง ความขาวโพลนที่ไร้จุดสิ้นสุดปรากฏเบื้องหน้าอีกครั้ง
“สรวงสวรรค์แย้มยิ้ม… ยุทธภพแย้มยิ้ม… ใต้หล้าแย้มยิ้ม… สายฝนโปรยปราย… ”
ชายที่สวมชุดคลุมสีดำยังคงฮัมเพลงเป็นระยะ ทว่าเสียงนั้นเบามากจนมีเพียงตัวเขาเองและชายชราพายเรือเท่านั้นที่ได้ยิน
เสียงพิณครั้งแรกจบไป เสียงพิณครั้งที่สองดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเสียงเพลงถึงจุดสำคัญ เสียงขลุ่ยที่ไพเราะก็ดังมาจากระยะไกล เสียงพิณพลันหยุดชะงัก เสียงตะเกียบไม้ไผ่เคาะกระทบถ้วยก็หยุดลง เสียงหัวเราะของทุกคนหยุดลงอย่างกะทันหัน
ซูจิ่นซีพยายามบังคับตนเองให้สงบลง นางยังคงดีดพิณต่อไปอีกสองสามครั้ง ทว่าเสียงเพลงนั้นฟังแล้วสับสนไม่สัมพันธ์กัน
นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วนภายในใจได้อีกต่อไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันหน้ามองไปในทิศทางของเสียงขลุ่ย
“ก้าก… ”
เสียงร้องของนกกระเรียนดังมาจากระยะไกล
(จบบริบูรณ์)
———————————————
เชิงอรรถ
[1] หากไม่พบความหนาวเหน็บเข้ากระดูก จะชมเชยกลิ่นหอมของดอกท้อได้อย่างไร เป็นคำพังเพยของจีน อุปมาว่า คนเราต้องลำบากหรือลงแรงบ้าง ถึงจะได้รับประโยชน์ในสิ่งที่กระทำ