สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 10 ตอนที่ 290 ค้นพบอย่างอื่น
พวกเขาเห็นเพียงเยี่ยโยวเหยานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น รอบตัวมีแสงสีฟ้าจางๆ เหมือนภาพฝัน
ในขอบเขตของลำแสงนั้น อิฐสีเขียวบนพื้นเริ่มสั่นไหว เมื่อแสงสีฟ้าเข้มขึ้นเรื่อยๆ พลังบางอย่างก็ราวกับเพิ่มมากขึ้น อิฐสีเขียวเริ่มปริแตก ทั้งยังมีเศษอิฐจำนวนมากลอยขึ้นมาตามแสงสีฟ้าอย่างเชื่องช้า
“สวรรค์ ทำได้ไม่เลว” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าลุกขึ้นนั่ง พูดขึ้น
มู่หรงฉีห้ามจอมวายร้ายไป๋เฉ่า “ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้ อย่ารบกวนเขา”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าชักสีหน้า พลางเอนตัวนอนบนพื้นอย่างไม่แยแส “ข้าไม่ได้เลวทรามถึงเพียงนั้น”
แม้จะดูเหมือนไม่สนใจ ทว่าหลังจากที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่านอนลงบนพื้น เขาก็อดหันไปดูอีกครั้งไม่ได้
ต้องทราบว่า พลังลมปราณชิงหลงเป็นพลังลมปราณที่มีการฝึกฝนเฉพาะในสำนักกระบี่คุนหลุนเท่านั้น ไม่ใช่วรยุทธ์ทั่วไปที่จะเทียบทานได้ เหมือนกับมู่หรงฉี เขาเป็นผู้หนึ่งที่เก็บรวบรวมวรยุทธ์และเคล็ดลับวิชาจำนวนมากในยุทธภพ ทว่าเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็ยังอดชื่นชมเยี่ยโยวเหยาในใจลึกๆ ไม่ได้
อย่างน้อย มู่หรงฉีคิดว่าหากต่อสู้กันตัวต่อตัว วรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ไม่สามารถรับมือกับพลังลมปราณชิงหลงของเยี่ยโยวเหยาได้เลย
ขณะที่มอง ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘ครืน’ ดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าเกิดการระเบิดออก ทำให้ห้องลับทั้งห้องมีแสงสว่างวาบขึ้นในพริบตา แสงนั้นสว่างจนทำให้พวกเขาแทบลืมตาไม่ขึ้น
มู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าใช้แขนป้องกันดวงตาอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อมองผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วมือ จอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็เห็นเศษอิฐลอยพุ่งเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับแสงสีฟ้า
สีหน้าของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าเปลี่ยนไปทันที “บัดซบ! ” เขาสบถด่าเสียงต่ำ พลางยกเสื้อคลุมสีแดงผืนใหญ่ขวางไว้
แม้มู่หรงฉีที่อยู่ด้านข้างจะช่วยป้องกันไว้ส่วนหนึ่ง ทว่ายังมีเศษอิฐจำนวนมากกระแทกใส่ร่างของเขาอย่างรุนแรง
ในที่สุดจอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็ทนไม่ไหว กระอักเลือดล้มลง
“เยี่ยโยวเหยา เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าเช็ดเลือดที่ปาก แล้วพูดขึ้น
เยี่ยโยวเหยาลืมตาขึ้น พลางลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าดั่งเทพเซียน เขาใช้หางตามองจอมวายร้ายไป๋เฉ่า สองมือไพล่หลัง ดูมีพลังอำนาจยิ่งนัก
“หากไม่ใช่เพราะข้ายังต้องใช้งานเจ้า ข้าคงสังหารเจ้านับหมื่นครั้ง เพราะคำพูดยั่วยุของเจ้าเมื่อครู่”
เมื่อครู่นี้ตลอดการฝึกพลังลมปราณ คำพูดของมู่หรงฉีกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า เขาได้ยินทั้งหมด โดยเฉพาะคำพูดไร้สาระเหล่านั้นของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า
ทุกครั้งที่ฝึกพลังลมปราณชิงหลงสำเร็จอีกขั้น เยี่ยโยวเหยาจะมีพลังที่ประเมินค่าไม่ได้ หากเยี่ยโยวเหยาต้องการสังหารจอมวายร้ายไป๋เฉ่าจริงๆ อาศัยพละกำลังเมื่อครู่นี้ จอมวายร้ายไป๋เฉ่าไม่สามารถรอดชีวิตได้แน่
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าอดทนไม่พูดจา ทว่าใบหน้าของเขายังแสดงความไม่ยินยอมต่อเยี่ยโยวเหยา
มู่หรงฉีเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างชาญฉลาด “โยวอ๋อง ในเมื่อท่านฝึกพลังยุทธ์สำเร็จแล้ว การทำลายห้องลับนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก”
แน่นอน
การฝึกพลังลมปราณชิงหลงในช่วงเวลาที่สำคัญ เป็นไปไม่ได้ที่เยี่ยโยวเหยาจะทำเพื่อการฝึกวรยุทธ์เท่านั้น
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย
มู่หรงฉีเข้าใจได้ทันที เขาหันไปพูดกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าว่า “จอมวายร้าย เจ้ายืนห่างออกไปอีกนิด”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าไม่พูดอันใด เขาทำเพียงยกมือกุมหน้าอกที่ได้รับบาดเจ็บ และเดินไปยืนอีกด้านหนึ่ง
มู่หรงฉีก้าวไปด้านหน้า ยืนข้างเยี่ยโยวเหยา
ทั้งสองสบตากัน ต่างเข้าใจกันและกันโดยปริยาย พวกเขาเรียกอาวุธออกมาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะประสานพลังเข้าด้วยกัน ร่างของพวกเขากลายเป็นคลื่นลำแสงสีน้ำเงินเข้ม มุมปากของทั้งคู่เผยรอยยิ้มเล็กน้อย เมื่อรู้สึกถึงคลื่นพลังแสงที่ไม่เคยมีมาก่อน
จากนั้นใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง พวกเขาค่อยๆ ยกคลื่นพลังขึ้น เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ส่งพลังกระแทกเข้าที่ผนังกำแพงหิน
เกิดเสียง ‘ครืน’ ดังขึ้น เสียงนี้ดังยิ่งกว่าเสียงที่เยี่ยโยวเหยาฝึกพลังลมปราณขั้นสูงสำเร็จเป็นสิบเท่าหรือร้อยเท่า ผนังกำแพงที่เดิมทีแข็งแกร่งอย่างมาก กลับแตกกระจายไปพร้อมกับเสียงนั้น เผยให้เห็นเส้นทางแคบๆ ด้านนอก
สำเร็จแล้ว!
ไม่ต้องทำลายกลไก อาศัยเพียงพลังภายในและวรยุทธ์ของเยี่ยโยวเหยากับมู่หรงฉี ร่วมมือกันเพื่อทำลายผนังกำแพงที่ทั้งหนักอึ้งและแข็งแกร่ง
จอมวายร้ายไป๋เฉ่ามองด้วยความตกตะลึง ในใจรู้สึกเสียดายเล็กน้อย การกระทำที่งดงามอลังการเช่นนี้ ไม่มีจอมวายร้ายไป๋เฉ่าอย่างเขาเข้าร่วมด้วย
ทว่าไม่นานนัก “บัดซบ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่ากระชากเสียงต่ำกร่นด่าเยี่ยโยวเหยา “มีอันใดน่าชื่นชมกัน? ตั้งใจทำให้ข้าบาดเจ็บ ไม่อยากให้ข้าทำเกินหน้าเกินตาละสิ ข้ารู้ว่าเจ้าอิจฉาข้า ครั้งนี้ให้เจ้าโอ้อวดไปก่อน”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาฉายแววถมึงทึงดุดัน
มู่หรงฉีรีบเดินเข้าไปลดความตึงเครียด เขาดึงจอมวายร้ายไป๋เฉ่าแล้วพูดว่า “เจ้าพูดมันให้น้อยๆ หน่อย”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังให้เกียรติมู่หรงฉี เมื่อมู่หรงฉีพูดเช่นนี้ จึงไม่โต้ตอบอันใดอีก
เยี่ยโยวเหยาเดินนำออกจากซากปรักหักพัง มู่หรงฉีประคองจอมวายร้ายไป๋เฉ่าเดินตามหลังไป
ขณะที่ออกมาจากห้องลับ พวกเขาก็พบว่าตรงทางแคบนั้นมีฝูงผึ้งจำนวนมาก
“สถานที่เช่นนี้ เหตุใดถึงมีผึ้งจำนวนมาก? ” มู่หรงฉีพูด “จอมวายร้าย เจ้าดูสิว่าผึ้งมีพิษหรือไม่? ”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าจับผึ้งมาตัวหนึ่ง และตั้งใจดมอย่างละเอียด ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ผึ้งเหล่านี้ไม่มีพิษ เป็นเพียงผึ้งหยกธรรมดา ทว่าตัวของพวกมันมีกลิ่นยาแปลกประหลาดยิ่งนัก”
“แปลกประหลาดอย่างไร? ” มู่หรงฉีถาม
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าเห็นเยี่ยโยวเหยามองตนด้วยสายตาประหลาดใจ จึงยักคิ้วให้เยี่ยโยวเหยาอย่างลำพอง จากนั้นก็หันมาจับผึ้งอีกตัวและดมกลิ่นอย่างละเอียดอีกครั้ง “กลิ่นยาบนตัวของผึ้งเหล่านี้ไม่ใช่ผงยาที่เปื้อนบนตัวพวกมัน ทว่าเป็นการอบด้วยไอน้ำ หากข้าเดาไม่ผิด ผึ้งทั้งหมดล้วนมีกลิ่นเช่นนี้ติดตัว”
“ใช้ไอน้ำอบผึ้งหรือ? ผึ้งจำนวนมากเช่นนี้ ต้องใช้ไอน้ำมากเพียงใดกัน? ”
นอกจากนั้น คนที่พอมีความรู้ต่างทราบดีว่า ผึ้งชนิดนี้เป็นสัตว์ประเภทเดียวกับแมลง หากอยู่ในสถานที่แออัดและถูกรมควันด้วยไอน้ำ ย่อมไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ ดังนั้นการที่ฝูงผึ้งรวมตัวกันอย่างแออัดในสถานที่แคบๆ จึงเกิดขึ้นได้น้อย
นอกจากจะมีคนควบคุมมัน
มีคนควบคุม?
เยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉี และจอมวายร้ายไป๋เฉ่า ทั้งสามคน แทบจะคิดบางอย่างได้พร้อมกัน พวกเขาต่างสบตากันด้วยความสับสน
จอมวายร้ายไป๋เฉ่ารีบจับผึ้งมาอีกจำนวนหนึ่ง มู่หรงฉีก็จับผึ้งมาวางบนมือตนเองอีกหลายตัว
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าดมแล้วดมอีก พลางขมวดคิ้วพูดว่า “เป็นกลิ่นของสมุนไพรซูเหอ เจียวกู่หลาน รากหงจิ่งเทียน เถี่ยเซิงลั่ว โสมฮัวซาน เวยหลิงเซียน… สมุนไพรเหล่านี้มีอยู่ที่แคว้นจงหนิงเท่านั้น อีกทั้งหลายชนิดยังหายากมาก มีเพียงพื้นที่พิเศษของแคว้นจงหนิงเท่านั้นที่สามารถปลูกได้ หมอพิษแห่งไหวเจียงชำนาญการใช้พิษอย่างแพร่หลาย ทว่าส่วนมากพวกเขาจะใช้แมลงทำยาพิษหรือยารักษา ตามที่ข้าเข้าใจ ยาจำพวกนี้ พวกเขาล้วนไม่รู้จัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิธีใช้”
จอมวายร้ายไป๋เฉ่าเป็นหมอยา เขาศึกษาการใช้ยาสมุนไพรมาอย่างดี ไม่กี่ปีมานี้เขาได้ศึกษาการใช้ยาพิษของหมอพิษแห่งแคว้นไหวเจียง
สมุนไพรที่หมอพิษแห่งแคว้นไหวเจียงใช้ไม่เป็น นึกไม่ถึงว่าจะพบในรังโจรของแคว้นไหวเจียง
ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็นึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาบุกเข้ามาในหุบผาราชันพิษเพื่อช่วยคน ซูจิ่นซีได้ใช้ยาพิษกับกูสือซาน ซึ่งมีเพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่สามารถถอนพิษได้ กูสือซานจับซูจิ่นซีมาครั้งนี้ เป็นไปได้มากว่าเพื่อต้องการบีบบังคับให้ซูจิ่นซีถอนพิษให้เขา