สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 11 ตอนที่ 313 หลานเยวี่ยหลีถูกพิษ
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใด
มู่หรงอวิ๋นเกอพูดขึ้นอีกครั้งว่า “โยวอ๋องเฉลียวฉลาดโดดเด่น สามารถครอบครองอั้นหรานเซียวหุนได้ ทั้งยังควบคุมลูกหลานเผ่าเม้ยได้อีก หากวันใดวันหนึ่ง พระชายาโยวอ๋องรู้สถานะที่แท้จริงของตนเอง รู้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับอั้นหรานเซียวหุน หากรู้แล้ว… โยวอ๋อง ความคิดของท่านที่มีต่อนาง ท่านคิดว่านางจะคิดเช่นไร? จะตอบแทนโยวอ๋องเช่นไร? ตามที่ข้ารู้มา พระชายาโยวอ๋องเป็นผู้ที่รับมือได้ไม่ง่ายนัก”
เยี่ยโยวเหยาเหลือบมองมู่หรงอวิ๋นเกอด้วยสายตาเย็นชา “บางเรื่อง ตราบใดที่มีข้าอยู่ ชั่วชีวิตนี้ของนางจะไม่มีวันล่วงรู้ความจริง”
มู่หรงอวิ๋นเกอตกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ทำราวกับได้ฟังเรื่องขบขัน จึงส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “ดูแล้ว พระชายาโยวอ๋องช่างมีชีวิตที่น่าเศร้าเสียจริง ตามที่ข้ารู้มา นางมีความรักอันลึกซึ้งต่อโยวอ๋อง ทว่ากลับถูกคนรักหลอกใช้ และไม่มีโอกาสแม้แต่จะรู้ความจริงของตน ท่านไม่สนใจไยดีสตรีจริงหรือ? ”
ไม่ว่ามู่หรงอวิ๋นเกอจะพูดอันใด ก็ไม่ทำให้เยี่ยโยวเหยารู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย แม้คำพูดนั้นจะโหดร้ายเพียงใด ทว่าด้านหลังของเยี่ยโยวเหยายังคงสงบนิ่งมั่นคงดั่งภูเขาไท่ซาน
ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดของมู่หรงอวิ๋นเกอ เยี่ยโยวเหยาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าต้องการครอบครองใต้หล้า ไม่จำเป็นต้องอาศัยสตรีนางเดียวเพื่อบรรลุผล”
มู่หรงอวิ๋นเกอตะลึงงัน เมื่อเห็นว่าเยี่ยโยวเหยากำลังจะเดินออกไปด้านนอก ทันใดนั้น เขาก็ผลักกรงห้องขังและตะโกนเสียงดังไปทางเยี่ยโยวเหยา “เยี่ยโยวเหยา คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าพูดให้ชัดเจนสิ อธิบายให้ชัดเจน! ”
ความหมายก็คือ แม้ไม่มีซูจิ่นซีที่เป็นทายาทเผ่าเม้ย แม้ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับตำนานสุสานจิ่นอีโฮ่ว เขาก็ยังต้องการครอบครองใต้หล้านี้
ส่วนความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น แม้จะพูดไปแล้ว ทว่าความคิดของมู่หรงอวิ๋นเกอในตอนนี้ ยังไม่อาจเข้าใจได้
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูอวี้สั่งให้จี้เหยียน บ่าวรับใช้นำยาเม็ดอี้กู่มอบให้ซูจิ่นซี ทว่าเมื่อเดินถึงหน้าประตูเรือนฮั่นเซียง ยังไม่ทันได้พบซูจิ่นซี จี้เหยียนก็เห็นฮูหยินปี้เดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
ฮูหยินปี้มักมีท่าทางสุขุมอยู่เสมอ น้อยครั้งที่จะแสดงอาการกระวนกระวายใจ
จี้เหยียนทำความเคารพฮูหยินปี้ ทว่าฮูหยินปี้ไม่ได้สนใจ นางเพียงตรงเข้าไปในเรือนฮั่นเซียง
ผ่านไปไม่นาน ด้านในก็มีเสียงของซูจิ่นซีและฮูหยินปี้ดังออกมา
“กระไรนะ? หลานเยวี่ยหลีถูกพิษหรือ? ”
“เพคะพระชายา คนของจวนแม่ทัพหลานมาตั้งแต่เช้าแล้ว เรียกร้องให้พวกเราชี้แจง ตอนนี้ยังอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าเพคะ! ”
ไม่ต้องพูดถึงว่าหลานเยวี่ยหลีถูกพิษได้อย่างไร เมื่อคืนวานนางยังเป็นแขกที่จวนสกุลซูอยู่ดีๆ หลังกลับไปแล้วก็ถูกพิษ ทุกคนย่อมคิดว่าจวนสกุลซูเป็นผู้กระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ ทว่าสำรับอาหารและน้ำชาเมื่อคืนวาน ล้วนเป็นหม่อมฉันที่กำกับดูแลคนในห้องครัวด้วยตนเอง ตั้งแต่หม่อมฉันดูแลเรื่องต่างๆ ในจวน หม่อมฉันปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้อย่างเข้มงวดมาโดยตลอด โดยเฉพาะบ่าวรับใช้ในห้องครัว ยิ่งไปกว่านั้น ระยะหลังมานี้พระชายากลับจวนบ่อยครั้ง ดังนั้นหม่อมฉันจึงใช้งานเฉพาะบ่าวที่เชื่อใจได้เท่านั้น ยิ่งเวลาที่พระชายาอยู่ในจวน หม่อมฉันจะให้หมอพิษตรวจสอบสำรับอาหารบนโต๊ะอย่างเข้มงวด” ฮูหยินปี้พูดอย่างจริงจัง
เป็นไปไม่ได้ที่อาหารเมื่อคืนวานนี้จะมีปัญหา หากมีคนใช้กลอุบาย ระบบถอนพิษต้องตรวจพบตั้งแต่แรกแล้ว
“เมื่อคืนวาน หลังจากรับประทานอาหารแล้ว หลานเยวี่ยหลีไปที่เรือนอวี้เอ๋อร์ ได้รับประทานสิ่งใดหรือไม่? ”
“จี้เหยียน! จี้เหยียนจะต้องรู้” ทันใดนั้น ฮูหยินปี้ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เข้าประตูมา นางได้พบกับจี้เหยียนที่หน้าประตู จึงหันไปทางนอกเรือนและตะโกนเรียก “จี้เหยียน! ”
จี้เหยียนรีบเดินเข้าประตูมา ฮูหยินปี้มีท่าทางเคร่งขรึม “เมื่อคืนวาน ตอนที่แม่นางหลานเยวี่ยหลีไปที่เรือนนายน้อย เจ้าอยู่ที่ใด? เห็นนางทานสิ่งใด หรือดื่มอันใดหรือไม่? ”
จี้เหยียนตกตะลึง รีบตอบตามความจริงไปว่า “ตอนที่แม่นางหลานเยวี่ยหลีไปถึง ฮูหยินท่านก็เรียกบ่าวออกไปพร้อมกัน! ต่อมาเมื่อนางจะกลับแล้ว บ่าวจึงเดินเข้าไป และไม่เห็นนางทานสิ่งใดขอรับ ทว่าตอนนั้นบนโต๊ะมีถ้วยชาสองใบวางอยู่ คงเป็นคุณชายรินให้ แต่ชาถ้วยนั้น คุณชายก็ดื่มด้วย และไม่มีปัญหาอันใดขอรับ”
ฮูหยินปี้เพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อคืนวานตอนที่นางพาหลานเยวี่ยหลีไปที่เรือนของซูอวี้ นางเรียกจี้เหยียนให้ออกไปด้านนอกจริง ฮูหยินปี้ลุกลนสับสน กระทั่งเรื่องนี้ก็ลืมไปเสียสนิท
“พระชายา ให้หม่อมฉันไปถามอวี้เอ๋อร์ที่เรือน จากนั้นก็นำถ้วยชาและอุปกรณ์ดื่มชาที่พวกเขาใช้เมื่อคืนวานมาให้ท่านตรวจสอบดีหรือไม่เพคะ? ”
“ไม่ต้อง! ” ซูจิ่นซียกมือห้าม “ในเมื่อมาแล้วอย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนของพวกเราจริงๆ เมื่อถึงเวลาก็ควรรับผิดชอบ แม้ไม่เกี่ยวข้องก็ต้องรับผิดชอบ ผู้ใดก็ให้ร้ายพาดพิงพวกเราไม่ได้ ทว่าตอนนี้ความเป็นความตายของหลานเยวี่ยหลีสำคัญกว่า พวกเราไปตรวจสอบดูก่อน”
ซูจิ่นซีพูดพลางสวมเสื้อคลุมที่ลวี่หลีนำมาให้ และรีบเดินออกไปข้างนอกทันที ฮูหยินปี้ก็รีบเดินตามไปเช่นกัน
ในมือจี้เหยียนยังถือกล่องยาเม็ดอี้กู่อยู่ เขายังไม่ได้มอบให้ซูจิ่นซี และซูจิ่นซีก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นเช่นกัน
ขณะที่จี้เหยียนกำลังลังเลว่าจะวางยาเม็ดอี้กู่ไว้บนโต๊ะหรือไม่ ข้างนอกก็มีเสียงซูจิ่นซีดังขึ้น “จี้เหยียน เจ้าไปเรียกอวี้เอ๋อร์ วันนี้หากเขาไม่เป็นอันใดมากและสามารถลุกขึ้นเดินได้สะดวก ก็ให้เขาไปที่จวนสกุลหลานสักครั้ง”
“ขอรับ! ”
จี้เหยียนรีบขานรับ ก่อนจะถือยาเม็ดอี้กู่เดินออกไปยังเรือนของซูอวี้
เมื่อซูจิ่นซีเดินมาถึงโถงกลาง ก็พบว่าภายในโถงกลางมีคนนั่งอยู่หลายคน ดูจากการแต่งตัวแล้ว คงเป็นคนจากหน่วยทหารของสกุลหลาน ยังมีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีฟ้าคราม ตามการคาดเดาของซูจิ่นซี เขาคงเป็นพ่อบ้านของจวนสกุลหลาน
จวนสกุลหลานย้ายเข้ามาในเมืองหลวงได้ไม่นาน นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดมากนัก ทว่าพ่อบ้านนั้นเป็นผู้ที่ทำการใดเฉียบขาด และรู้ระเบียบพิธีรีตองเป็นอย่างดี จึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเมืองตี้จิง
เมื่อเห็นซูจิ่นซี แม้ว่าหลายคนจะรีบลุกขึ้นคำนับ ทว่าสีหน้าของแต่ละคนกลับไม่สู้ดีนัก
“เรื่องของแม่นางหลาน ฮูหยินปี้ได้บอกข้าแล้ว เรื่องนี้ทุกท่านได้เข้าพบท่านอ๋องที่จวนโยวอ๋องแล้วหรือ? ”
แม้คนของจวนสกุลหลานจะสงสัยว่าเรื่องที่หลานเยวี่ยหลีถูกพิษนั้นเกี่ยวข้องกับจวนสกุลซู ทว่าอย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นคนของเยี่ยโยวเหยา ก่อนจัดการเรื่องนี้ย่อมต้องคำนึงถึงฐานะซูจิ่นซีที่เป็นพระชายาโยวอ๋อง และยังคงให้เกียรตินาง ไม่ได้มาเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อจวนสกุลซูในทันที
“พระชายา คืนวานนี้เมื่อพวกกระหม่อมพบว่าคุณหนูถูกพิษ จึงเข้าพบท่านอ๋องที่จวนโยวอ๋องแล้วขอรับ”
เช่นนั้น เยี่ยโยวเหยาให้พวกเขามาหรือ?
ครั้งนี้คงเป็นการทอดทิ้งไม่สนใจ ให้นางเผชิญหน้าด้วยตนเอง!
เยี่ยโยวเหยา คอยดูเถิด!
ไม่รู้เพราะเหตุใด ภายในใจซูจิ่นซีจึงไม่สามารถระงับอารมณ์โกรธจนปรากฏเป็นความอัดอั้นบนหน้าผาก มือที่อยู่ในแขนเสื้อกว้างกำหมัดแน่น
“ฮูหยินปี้ เตรียมรถม้า ไปจวนสกุลหลาน”
“พระชายา ท่านจะทำอันใด? เรื่องที่คุณหนูสกุลข้าถูกพิษ ท่านยังไม่มีคำตอบให้ข้าเลย! ”
“คำตอบหรือ? พ่อบ้านหลาน เจ้าเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง คิดหาคำตอบอันใดกับข้า? แม้เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับจวนสกุลซูจริง ก็ควรเป็นหลานเสวียนหมิงที่มาพูดกับข้าโดยตรง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ”
สีหน้าพ่อบ้านหลานตึงเครียดขึ้นมาทันที เขาถูกคำพูดของซูจิ่นซีทำให้ชะงัก ไม่มีโอกาสแม้แต่จะโต้ตอบ
คนจากหน่วยทหารสกุลหลานที่อยู่ด้านหลังต่างก้มหน้าลง ด้วยหวั่นเกรงต่อสถานะพระชายาโยวอ๋องของซูจิ่นซี จึงไม่กล้าพูดอันใดอีก
ฮูหยินปี้ให้คนไปเตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้ว ซูจิ่นซี ฮูหยินปี้ ซูอวี้ ทั้งสามคนต่างพากันตรงไปยังจวนสกุลหลานอย่างเร่งรีบ