สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 11 ตอนที่ 321 คู่รักในวัยเด็กของสามี
เรือนพักของหลานเยวี่ยหรูหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ต่างทิศกับเรือนของฮูหยินมี่ ซูจิ่นซียังคงตรวจสอบห้องพักทีละห้องตามลำดับ ทว่าหลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่นซีก็ยังไม่พบอันใด
แม่ทัพหลานรู้สึกลำพองใจเป็นอย่างมาก “พระชายา ต้องการตรวจดูอีกหรือไม่? ครั้งนี้ผู้ใดพ่ายแพ้ ผู้ใดชนะ เกรงว่าคงเป็นที่ประจักษ์แล้วกระมัง? ฟ้าจะมืดเอาได้ หากท่านยังค้นหาเบาะแสไม่พบไปเรื่อยๆ เช่นนี้”
“ผู้ใดบอกว่าไม่มีเบาะแสกัน? ”
แม่ทัพหลานตกตะลึง แววตาสั่นไหวขึ้นมาในทันที “ในเมื่อมีเบาะแส เช่นนั้นพระชายาก็เอ่ยมาตรงๆ เถิด! ท่านสงสัยผู้ใด? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก “ข้าเคยได้ยินมาว่าที่หุบเขาป่าฝนทางใต้ของแคว้นไหวเจียง มีงูชนิดหนึ่งชื่อว่า งูฉิน แม่ทัพหลาน เหตุใดปากของท่านถึงมีพิษร้ายแรงยิ่งกว่าพิษของงูฉินเล่า? ”
หลานเสวียนหมิงมีสีหน้าเคร่งเครียด เขายังไม่ทันได้พูดอันใด หลานเยวี่ยหรูก็ยืนขึ้นพูดด้วยท่าทางประชดประชัน “พระชายา ท่านแสร้งทำเป็นอวดอ้างให้น้อยหน่อยเถิด งูฉินชอบที่แห้งแล้ง เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอดในสถานที่เปียกชื้น มันจะมีชีวิตรอดในป่าฝนทางใต้ของแคว้นไหวเจียงได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่ามันเติบโตในแถบที่ราบสูงทางตะวันออกของแคว้นไหวเจียง”
“เยวี่ยหรู! ” ฮูหยินมี่รีบดึงแขนหลานเยวี่ยหรูไว้เพื่อขัดขวางนาง ทว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว
“โอ้? อย่างนั้นหรือ? ” ซูจิ่นซีคิ้วกระตุก กล่าวว่า “บางทีอาจเป็นเพราะข้าไม่ทราบจริงๆ ทว่าแม่นางเยวี่ยหรู เจ้าทราบการดำรงชีวิตของงูฉินได้อย่างไร? ตามที่ข้ารู้มา แคว้นจงหนิงไม่เหมาะต่อการดำรงชีวิตของงูฉินยิ่งกว่าป่าฝนทางใต้ของแคว้นไหวเจียงเสียอีก! ”
หลานเยวี่ยหรูเพิ่งได้สติ แววตาของนางลุกวาว ใบหน้าซีดเผือด “หม่อมฉัน… หม่อมฉันก็ทราบเพียงเท่านั้น พระชายายังทรงทราบได้ แล้วผู้อื่นจะไม่ทราบบ้างหรือ? ”
“แม่นางเยวี่ยหรูเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือเชี่ยวชาญมากกันแน่ จึงรู้ความแตกต่างได้ในทันที”
ซูจิ่นซีพูดพลางดึงแขนของหลานเยวี่ยหรูที่ยืนอยู่ด้านหน้า แววตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นขึงขัง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หมอหลวงอวิ๋น รบกวนท่านตรวจสอบแทนข้าที เล็บที่ทาสีแดงของแม่นางเยวี่ยหรูนี้มีพิษหรือไม่? ”
แววตาของหลานเยวี่ยหรูฉายแววตื่นตระหนก นางพยายามขัดขืนซูจิ่นซี “พระชายา ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจึงให้หมอหลวงอวิ๋นตรวจสอบเล็บสีแดงของข้า? เล็บสีแดงของข้าไม่ได้มีพิษอันใด! ”
“ในเมื่อไม่มีอันใด เช่นนั้นเจ้ายังจะกลัวสิ่งใด? ”
ดวงตาเย็นชาของซูจิ่นซีทำให้ผู้คนเกรงกลัว นางผลักหลานเยวี่ยหรูไปยังบริเวณที่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ องครักษ์จำนวนหนึ่งที่เยี่ยโยวเหยามอบให้ซูจิ่นซีก่อนหน้านี้ รีบเดินมาข้างหน้าเพื่อคุมตัวหลานเยวี่ยหรูไว้
“ซูจิ่นซี ท่านใส่ร้ายคนดี ท่านใส่ร้ายข้า ท่านแม่ ช่วยลูกด้วย! ท่านแม่ช่วยลูกด้วย! ท่านพ่อช่วยลูกด้วย! ท่านแม่ ลูกไม่ได้ทำอันใด! ”
แม้ฮูหยินมี่จะมีท่าทีเป็นห่วงบุตรสาว ทว่าซูจิ่นซีมองเห็นความตื่นตระหนกในแววตาของนางได้อย่างฉับไว “ทางที่ดี ฮูหยินมี่อย่าได้กระทำการบุ่มบ่าม หากเกิดเรื่องไม่ดีอันใดขึ้น เกรงว่าคงไม่ได้สูญเสียเพียงหลานเยวี่ยหรูผู้เดียว แต่เป็นคนในจวนสกุลหลานทั้งหมด”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฮูหยินมี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าทำอันใด
ในเวลานี้ ใบหน้าของแม่ทัพหลานเผยให้เห็นความกังวลใจ เขาที่ไม่รู้เรื่องราวและไม่ได้ทำอันใด ได้แต่จ้องมองไปที่อวิ๋นจิ่นตลอดเวลา
อวิ๋นจิ่นตอบรับซูจิ่นซี เขาหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาทันที จากนั้นก็ให้บ่าวรับใช้ในจวนสกุลหลานนำสุรามาหนึ่งจอก
เพื่อให้ทุกคนได้เห็นผลตรวจ อวิ๋นจิ่นจงใจวางจอกสุราไว้ตรงกลางของทุกคน ในตำแหน่งที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เข็มเงินปาดไปที่เล็บสีแดงของหลานเยวี่ยหรู จากนั้นก็จุ่มลงไปในจอกสุรา
ทุกสายตาต่างจับจ้องความเปลี่ยนแปลงในจอกสุรา โดยเฉพาะแม่ทัพหลานและฮูหยินมี่ที่ไม่กล้ากะพริบตาแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ความจริงไม่อาจปกปิดได้เสมอไป ในช่วงเวลาที่เข็มเงินจุ่มลงไปในจอกสุรา ทันใดนั้นก็มีผงสีดำราวกับเศษโลหะค่อยๆ กระจายออกมาจากเข็มเงิน แพร่ไปทั่วจอกสุรา เพียงชั่วพริบตา จอกสุราที่เดิมทีใสสะอาด พลันกลายเป็นสีดำ
ดวงตาของแม่ทัพหลานเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด ร่างของฮูหยินมี่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางเดินโซเซถอยหลังไปสองก้าว แทบประคองสติไม่อยู่ ทว่านางสามารถตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินมาข้างหน้าเพื่อคว้าแขนของซูจิ่นซีไว้
“พระชายา ขอท่านได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจนกว่านี้! เยวี่ยหรูไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน นางเป็นบุตรีจากภรรยาเอกสกุลหลาน ท่านแม่ทัพอบรมนางอย่างเคร่งครัดตั้งแต่เล็ก นางไม่มีทางทำร้ายพี่น้องอย่างแน่นอน”
แววตาซูจิ่นซีเย็นชา ไม่ได้พูดอันใด
แววตาของหลานเยวี่ยหรูฉายแววตื่นตระหนกปนหวาดกลัว ก่อนจะเผยให้เห็นความต่อต้าน นางพยายามดิ้นรนจนหลุดจากการควบคุมขององครักษ์สองนาย และวิ่งไปคุกเข่ายังเบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยา
“ท่านอ๋อง ท่านช่วยเหลือเยวี่ยหรูด้วยเถิด! เยวี่ยหรูไม่ได้ทำอันใดจริงๆ นะเพคะ พระชายา… จะต้องเป็นพระชายา เพราะการเดิมพันกับบิดาของหม่อมฉัน นางจึงหาเรื่องทำร้ายหม่อมฉัน! ท่านต้องช่วยเยวี่ยหรู! เยวี่ยหรูรู้จักกับท่านตั้งแต่เด็ก นิสัยของเยวี่ยหรูเป็นเช่นไร ท่านอ๋องทราบดีที่สุด! ”
เมื่อสิ้นเสียงคำพูดของหลานเยวี่ยหรู หลานเสวียนหมิงก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยา “ท่านอ๋อง หมอหลวงอวิ๋นและพระชายามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในราชสำนักมีผู้ใดไม่ทราบเรื่องนี้บ้าง กระหม่อมไม่ยอมรับ ท่านอ๋องได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน”
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุก นางไม่ได้ใส่ใจคำพูดของแม่ทัพหลานเท่าไรนัก ทว่าคำพูดของหลานเยวี่ยหรูนั้น…
ความสนิทสนมในวัยเด็กของสามีนั้น น่ารังเกียจที่สุด…
“พระชายาที่รัก ดูเหมือนแม่ทัพหลานกับหลานเยวี่ยหรูจะไม่ยอมรับการตรวจสอบของเจ้ากับหมอหลวงอวิ๋น เจ้าจะทำอย่างไร? ” เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยแววตาเชือดเฉือน เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะโยนปัญหาหนักมาให้นาง
คำเรียกว่า ‘พระชายาที่รัก’ นั้น ทำให้หัวใจซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัด ทว่านางก็มองข้ามไปอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อแม่ทัพหลานและแม่นางเยวี่ยหรูต่างร้องทุกข์ต่อท่านอ๋อง เช่นนั้นท่านอ๋องเห็นควรว่าอย่างไรก็ทำตามนั้นเถิด จะถามหม่อมฉันเพื่ออันใด? ”
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาหรี่ลง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจของเขาคิดทำอันใดกันแน่ ผ่านไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้นว่า “ตกลง! องครักษ์ ไปตามตัวหมอเทวดาหวามาที่นี่”
แม้เยี่ยโยวเหยาจะมอบหมอเทวดาหวาให้ซูจิ่นซีแล้ว ทว่าอย่างไรเสีย เขาก็เคยเป็นคนของเยี่ยโยวเหยา ทั้งมีความภักดีต่อเยี่ยโยวเหยาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีผู้ใดคิดว่าหมอเทวดาหวาจะร่วมมือกับซูจิ่นซีเพื่อเอาชนะเยี่ยโยวเหยา
ผ่านไปไม่นาน องครักษ์ก็พาหมอเทวดาหวามา ระหว่างทางองครักษ์ได้บอกเรื่องราวของจวนสกุลหลานแบบคร่าวๆ ให้หมอเทวดาหวาฟังแล้ว เมื่อหมอเทวดาหวามาถึงก็ทำความเคารพเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบเล็บสีแดงของหลานเยวี่ยหรูอีกครั้ง
วิธีการตรวจสอบของหมอเทวดาหวาคล้ายคลึงกับอวิ๋นจิ่น ทว่ามีความแตกต่างกันเล็กน้อย
หมอเทวดาหวาใช้เข็มเงินในการตรวจสอบเหมือนกัน ทว่าเขาไม่ได้ใช้สุรา กลับใช้ของเหลวในการตรวจสอบสารพิษแทน โดยการเติมน้ำยาชนิดพิเศษไร้ใส และเพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างยุติธรรม หมอเทวดาหวาจึงขอให้เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้จัดเตรียมน้ำมาให้ เมื่อทำเช่นนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกคนก็ไม่สามารถทักท้วงหรือร้องเรียนได้อีก
เมื่อเข็มเงินปาดไปบนเล็บที่ทาสีแดงของหลานเยวี่ยหรูและกำลังจุ่มลงไปในน้ำยา ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ระยะห่างระหว่างเข็มเงินกับผิวน้ำโดยไม่กะพริบตา
หลังจากที่เข็มเงินจุ่มลงไปในน้ำแล้ว
หลานเสวียนหมิงที่ยืนอยู่พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ดวงตาทั้งคู่ว่างเปล่า ทั่วทั้งร่างราวกับถูกดึงวิญญาณออกไปจนหมดสิ้น เขาคุกเข่าลงบนพื้น
ฮูหยินมี่โซเซถอยหลังไปสองก้าว หากสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังเข้ามาประคองไม่ทัน นางคงล้มลงไปเป็นแน่
“หลานเยวี่ยหรู เจ้ายังมีอันใดจะพูดอีก! ”