สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 2 ตอนที่ 55 ชาติที่แล้วก่อกรรมไว้เท่าใด
ทันใดนั้นในสมองของซูจิ่นซีก็ปรากฏภาพของเยี่ยโยวเหยาผู้มาดขรึม โหดเหี้ยม เลือดเย็น นางเห็นแม้กระทั่งภาพเงาที่ดูอ้างว้างเล็กน้อย
ไม่ได้นะ! คนนอกจะต้องไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องอย่างเด็ดขาด ฮองเฮาก็จะต้องไม่ตาย
ในขณะที่นึกถึงเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็คิดถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้
“หมอหลวงอวิ๋น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รบกวนท่านขัดขวางหัวหน้าสำนักหมอหลวงซูที! ”
ดวงตาของซูจิ่นซีเป็นประกาย ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นมา ตรวจชีพจรให้ฮองเฮาใหม่อีกครั้ง
อวิ๋นจิ่นไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังจะทำสิ่งใด และยังไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดหรือสอบถาม ทำได้เพียงแต่พยักหน้ารับ “พระชายาได้โปรดวางพระทัย ข้าน้อยจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขัดขวางหัวหน้าสำนักหมอหลวงซูพ่ะย่ะค่ะ! ”
ในเวลานั้นซูจ้งกำลังจะยกมือเปิดประตูห้อง ทว่าเสียงเปิดประตูจากด้านในกลับดังขึ้นเสียก่อน “แอ๊ด” อวิ๋นจิ่นเดินออกมา
“หัวหน้าสำนักหมอหลวงซู ท่านต้องการจะกระทำสิ่งใด? ”
“หมอหลวงอวิ๋น ข้าจะเข้าไปรักษาฮองเฮา ท่านถอยไป! ”
“ใต้เท้าซู ข้าจะรักษาฮองเฮาแทนเอง เนื่องจากตอนนี้หนานย่วนและจวนโยวอ๋องถูกควบคุมไว้ทั้งหมด หากมีสิ่งใดผิดพลาดเพราะท่านก้าวเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าขอถามหน่อย ท่านรับผิดชอบไหวหรือไม่? ”
ทักษะทางการแพทย์ของหมอหลวงอวิ๋นจิ่นอยู่เหนือกว่าซูจ้ง ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนที่นำมาซึ่งความไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก เขาเป็นผู้เดียวในสำนักแพทย์ที่กล้าเผชิญหน้ากับซูจ้ง
“ท่าน…” ซูจ้งสำลัก หนวดสีดำปนขาวของเขากระตุกขึ้น “อวิ๋นจิ่น ซูจิ่นซีไม่เข้าใจทักษะทางการแพทย์ ท่านและนางสมรู้ร่วมคิดกันในการรักษาฮองเฮาแทนข้า อีกทั้งยังไม่ยอมให้ข้าเข้าไปรอข้างใน แท้จริงแล้วพวกท่านมีสิ่งใดซุกซ่อนไว้หรือไม่? ”
ข้อกล่าวหาช่างใหญ่หลวงนัก
ทันทีที่ซูจ้งกล่าวสิ่งนี้ออกมา พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปในทันที เห็นได้ชัดว่าพระองค์เกิดความลังเลที่จะไว้วางใจในตัวซูจิ่นซี
“ใต้เท้าซู แม้ว่าท่านและพระชายาจะเป็นบิดาและบุตรสาวกัน ทว่าในเวลานี้ พระชายาก็เป็นชายาที่ถูกต้องของโยวอ๋อง ท่านเรียกพระชายาเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก? ท่านอย่าลืมความแตกต่างระหว่างชนชั้น สิ่งใดที่ขุนนางควรทำ สิ่งใดที่ไม่ควรทำ ท่านควรทราบดี! ”
“อวิ๋นจิ่น เจ้า… ”
สิ่งที่อวิ๋นจิ่นพูดนั้นช่างมีเหตุผล ไม่ว่าความสัมพันธ์ของซูจ้งและซูจิ่นซีจะเป็นบิดากับบุตรสาวก็ตาม ทว่าขณะนี้ซูจิ่นซีเป็นถึงพระชายาโยวอ๋องแล้ว ซูจ้งในฐานะที่เป็นขุนนาง การเรียกชื่อซูจิ่นซีเป็นสิ่งต้องห้าม ทว่าความเจ็บป่วยของฮองเฮาล้วนเป็นความรับผิดชอบของซูจิ่นซีอยู่แล้ว ไม่ว่าทักษะทางการแพทย์ของซูจิ่นซีจะเป็นอย่างไร นางก็ไม่สามารถยืมมือผู้ใดได้ ยิ่งไม่สามารถให้ผู้อื่นมาเหยียบบนหัวนางเพื่ออวดตน
สำหรับซูจ้ง ภาระอันเร่งด่วนที่ต้องจัดการในทันทีก็คือเข้าไปด้านในห้องแล้วเตะซูจิ่นซีออกมา จากนั้นก็ทำการตรวจดูอาการของฮองเฮาซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ฝ่าบาท ชีวิตของฮองเฮาแขวนอยู่บนเส้นด้าย มันสำคัญเป็นอย่างมากในเวลานี้ จะรอช้ามิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจ้งขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้โดยตรง
ฮ่องเต้เบิกพระเนตรด้วยความโกรธอย่างน่าเกรงขาม พระองค์ทรงเป็นห่วงอาการของฮองเฮา นอกจากจะถูกซูจ้งและเยี่ยเซินยุยงทั้งก่อนและหลัง พระองค์ก็เริ่มสงสัยซูจิ่นซีขึ้นมาบ้างแล้ว แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้พระองค์เลือกอยู่ฝ่ายซูจ้ง จึงได้พูดแทนซูจ้งว่า
“หมอหลวงอวิ๋น หลีกทางให้หัวหน้าสำนักหมอหลวงซูเข้าไป! ”
“ฮ่องเต้ ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ พระชายากำลังรักษาฮองเฮาอยู่ หากถูกรบกวนอาจทำให้ฮองเฮายิ่งเป็นทุกข์ได้ ไม่สามารถให้ผู้ใดเข้าไปได้ในเวลานี้พ่ะย่ะค่ะ! ”
“ฮ่าๆ ” ซูจ้งหัวเราะเยาะ “หมอหลวงอวิ๋น ท่านกับข้าล้วนเป็นผู้ที่เข้าใจทักษะทางการแพทย์ การพูดเช่นนี้ มันไม่มีเหตุผลใดนอกจากการหลอกลวงผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เท่านั้นเอง ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อท่านอย่างนั้นหรือ? หากซูจิ่นซีถูกทำให้เสียสมาธิเพราะผู้คนรอบข้าง เช่นนั้นก็แสดงว่าทักษะทางการแพทย์ของนางยังฝึกฝนไม่มากพอ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำการจับชีพจรและรักษาโรคของผู้อื่นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่สามารถรักษาฮองเฮาได้แน่ ท่านมาขวางไม่ให้ข้าเข้าไปเช่นนี้ หรือว่าซูจิ่นซีจะมีแผนลับที่ไม่อาจให้ผู้ใดเห็นได้อยู่ภายใน? ”
“หมอหลวงอวิ๋น นี่ท่านคิดที่จะกบฏหรือ? แม้แต่รับสั่งของฝ่าบาท เจ้ายังกล้าที่จะไม่ทำตามอย่างนั้นหรือ? ”
เนื่องจากคำชี้แนะของซูจ้ง ทำให้พระทัยของฮ่องเต้โน้มเอียงไปทางซูจ้งมากกว่า พระองค์แทบจะไม่หลงเหลือความไว้วางใจในตัวของซูจิ่นซีอีกแล้ว
“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ! ”
อวิ๋นจิ่นไม่กล้าขัดคำสั่งของฮ่องเต้ ทำได้เพียงทำตามรับสั่ง
เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ดวงตาที่ดูอ่อนโยนอยู่เสมอคู่นั้นจ้องไปยังซูจ้งราวกับนกเหยี่ยวในทันที อวิ๋นจิ่นกล่าวเตือนอีกครั้งว่า “หัวหน้าสำนักหมอหลวงซู ในเมื่อท่านคิดดีแล้ว ทว่าเพื่อที่จะรักษาฮองเฮา พระชายาได้ยกหนานย่วนและจวนโยวอ๋องเป็นหลักประกัน หากมีสิ่งใดผิดพลาดเพราะการขัดจังหวะของท่าน เกรงว่าจวนซูทั้งหมดก็ไม่อาจชดใช้ได้! ”
มือของซูจ้งที่กำลังจะเปิดประตูหยุดลง เขาเกิดความลังเลเล็กน้อย
อวิ๋นจิ่นคิดว่าคำพูดของตนสามารถข่มขู่ซูจ้งได้สำเร็จ ซูจ้งคงไม่กล้าเข้าไปแล้ว ทว่าอวิ๋นจิ่นคิดผิด นึกไม่ถึงว่าซูจ้งกล้าเอาจวนซูทั้งหมดเดิมพัน อีกทั้งยังมีความมั่นใจว่าซูจิ่นซีนั้นไม่เข้าใจในทักษะทางการแพทย์ ซูจ้งผลักประตูเข้าไปในทันใด
อวิ๋นจิ่นตกใจอย่างมาก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
ทุกคน รวมถึงฮ่องเต้และเยี่ยเซิน ต่างขมวดคิ้วและมองเข้าไปด้านในห้อง ด้วยความอยากรู้ว่าด้านในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทว่าหน้าประตูได้ถูกซูจ้งและอวิ๋นจิ่นขวางไว้อยู่ ทำให้มองไม่เห็นสิ่งใดเลย
ซูจ้งเอามือไพล่หลัง ก้าวเข้าไปในห้องโดยไม่มองสิ่งใด
ทว่าอวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกประหม่า ทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเดินเข้าไปในฉากกั้นห้องด้านในแล้ว ซูจ้งก็ต้องถอยกลับอย่างช้าๆ เมื่อเห็นบางอย่างอยู่ด้านหลังฉากกั้นห้องนั้น
เมื่อซูจ้งถอยกลับไปที่ประตู ทุกคนจึงได้เห็นว่าด้านหน้าร่างสูงใหญ่ของซูจ้งนั้นคือร่างเล็กสง่างามของซูจิ่นซี
แววตาที่เฉียบแหลมและจริงจังของซูจิ่นซี ร่างเล็กเปี่ยมไปด้วยราศีราวกับไม่เคยคิดอาฆาตผู้ใดมาก่อน อีกทั้งเลือดที่อาบทั่วร่าง ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวที่เย็นยะเยือก สวยงามทว่าบ้าคลั่ง คาดไม่ถึงว่าซูจ้งจะถูกนางทำให้ก้าวถอยหลังออกมาทีละก้าว โดยที่เขายังมองไม่เห็นสิ่งใดภายในห้องเลย
“ซูจ้ง ท่านคิดจะทำสิ่งใด? ”
ซูจิ่นซีเรียกชื่อซูจ้ง แม้แต่คำว่า “พ่อ” ก็ละไว้
“เจ้า… เจ้า… ซูจิ่นซี คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าเนรคุณ เรียกชื่อผู้เป็นบิดาเช่นนี้ เจ้ามันนังลูกไม่รักดี! ”
ซูจ้งเรียกสติกลับมา หายจากความกลัวในทันใด เมื่อได้ยินซูจิ่นซีเรียกเขาเพียงแค่ชื่อ เขาโกรธจนร่างสั่นไปทั้งตัว
“ไม่เรียกชื่อของท่านแล้ว จะให้พระชายาอย่างข้ากราบทักทายข้ารับใช้อย่างเจ้าหรืออย่างไร? ”
ซูจิ่นซีหัวเราะเย้ยหยัน
ซูจ้งแทบจะหยุดหายใจ เขาชี้นิ้วไปที่ซูจิ่นซี “เจ้า” ทว่ากลับพูดสิ่งใดไม่ออก
ซูจิ่นซีไม่อยากสนใจซูจ้ง แม้แต่ตาก็ไม่ยินยอมที่จะมอง
มีบิดาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมสร้างเวรสร้างกรรมไว้เท่าใด
“พระชายาโยวอ๋อง อาการของฮองเฮาเป็นเช่นไรบ้าง? ”
ฮ่องเต้ทรงกังวลเกี่ยวกับอาการของฮองเฮามากที่สุด ไม่มีเวลามาฟังนางกับผู้อื่นทะเลาะกัน หัวข้อสนทนาจึงกลับไปที่ประเด็นเดิม
แม้ว่าใบหน้าของซูจิ่นซีจะดูอ่อนล้า ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มเล็กน้อย มองดูแล้วรู้สึกดี นางมีท่าทางอารมณ์ดีจากการทำงานสำเร็จ
“ทูลฝ่าบาท ในขณะนี้พระอาการของฮองเฮาไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงอีกต่อไป พ้นขีดอันตรายแล้วเพคะ”
“ให้ข้าเข้าไปดูหน่อย! ”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยพระพักตร์ที่เบิกบาน พระองค์กำลังจะเข้าไปดู ทว่ากลับถูกซูจิ่นซีขวางไว้
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเพิ่งรักษาฮองเฮาเสร็จ สถานการณ์ภายในยังยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่บ้าง เกรงว่าจะกระทบพระวรกายอันสูงศักดิ์ของฝ่าบาท รอหลังจากที่หม่อมฉันทำความสะอาดแล้วฝ่าบาทค่อยเข้าไปใหม่เถิดเพคะ”
“ดี! ดี! ดี! ”
ในเมื่ออาการประชวรของฮองเฮาหายดีแล้ว ด้านฮ่องเต้จะพูดสิ่งใดล้วนดีไปหมด
“ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ซูจิ่นซี เจ้าไม่มีความรู้ในทักษะทางการแพทย์ เจ้ารักษาโรคของฮองเฮาให้หายได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ! ”