สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 3 ตอนที่ 84 ประหารทั้งตระกูล ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถิด
เป็นเช่นนี้หรอกหรือ?
ซูจิ่นซีคิดมองหาร่องรอยบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่นางคาดเดาไว้
นางต้องการถามเยี่ยโยวเหยาสักประโยคเหลือเกิน ดูว่าเยี่ยโยวเหยาจะพูดอย่างไร ทว่านางก็ไม่ได้ถามออกไป
เยี่ยโยวเหยานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความเงียบงัน ท่าทีสง่าผ่าเผย ลมหายใจเย็นชา และไม่มองมาทางซูจิ่นซีเลยแม้แต่น้อย
“หึ! ”
หรงหวาจวิ้นจู่พ่นลมหายใจเยาะเย้ยทางจมูก นางเชิดคางขึ้นอย่างภูมิใจและมองไปที่ซูจิ่นซีด้วยสายตาดูถูก
หลังจากนั้นไม่นานเยี่ยโยวเหยาก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปจากโต๊ะอาหารทันที
“เสด็จพี่ วันนี้กระหม่อมมีเรื่องสำคัญ ขอตัวกลับก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ! ”
พูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็เดินจากไปโดยไม่รอให้ฮ่องเต้และทุกคนตอบสนอง
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเดินผ่านด้านข้างซูจิ่นซี ชายเสื้อสีดำสนิทของเขาก็พัดพาลมเย็นชุ่มชื่น ผสานกับกลิ่นของน้ำหอมหลงเสียนที่คุ้นเคย
ภายในใจของซูจิ่นซีรู้สึกปวดร้าวอึดอัดจนแทบจะระเบิด นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ที่แท้ในใจของตนรู้สึกเสียใจถึงเพียงนี้ นางต้องการคว้ามุมเสื้อนั้น แล้วถามบางสิ่งบางอย่าง ทว่าสุดท้ายมือของนางก็แข็งทื่อราวกับถูกตอกด้วยตะกั่วอย่างไรอย่างนั้น นางจึงไม่ได้ทำเช่นนั้นลงไป
เยี่ยโยวเยาไม่สนใจอันใดเลย!
เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจสถานการณ์ของตนเองอยู่แล้ว กับซูจิ่นซีที่ถูกผู้อื่นรังแก เขาก็ยิ่งไม่สนใจหรอกใช่หรือไม่
เขาเป็นราชาผู้สูงส่ง เป็นดาวล้อมเดือน โดดเดี่ยวและหยิ่งผยอง
นางเป็นเพียงเมล็ดข้าวเม็ดเล็กในมหาสมุทร ร่วงหล่นในผงธุลี ในสายตาของเขาบางทีอาจเทียบไม่ได้แม้แต่เศษหญ้า
เมื่อร่างของเยี่ยโยวเหยากำลังจะหายไปจากศาลาในสวน เขาก็หันศีรษะกลับมาด้วยความโกรธเล็กน้อย “ซูจิ่นซี ยังไม่ไปอีก? ”
ไป?
ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาของซูจิ่นซีสว่างขึ้นมาทันใด นางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและหันศีรษะมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความสงสัย
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว มุมปากเย็นชา สายตาที่จ้องมองมายังซูจิ่นซีมีร่องรอยของการตำหนิ ร่องรอยของความโกรธ และร่องรอยของความรักใคร่ ปกป้องคุ้มครองที่มองไม่เห็นอยู่ด้วย
“ไป! ไปเพคะ! จะไปเดี๋ยวนี้เลยเพคะ! ”
ซูจิ่นซีรีบลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วเดินตรงไปหาเยี่ยโยวเหยา
เดินไปได้เพียงสองก้าว นางก็หันกลับมาโบกมือลาทุกคนอย่างโกรธเกรี้ยว “บ๊ายบาย พวกเราไปก่อนนะ ลาก่อนจ้า! ”
ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็คว้ามือของซูจิ่นซีที่กำลังโบกไม้โบกมือให้ผู้คนอยู่กลางอากาศ แล้วลากนางเดินต่อไปข้างหน้า
ซูจิ่นซีตกตะลึงในทันใด นางพูดไปได้เพียงครึ่งคำ ที่เหลือล้วนติดอยู่ในลำคอ แล้วก็ไม่สามารถพูดอันใดออกไปได้อีก นางรู้สึกได้เพียงว่าแก้มแดง ทั่วทั้งร่างเบาหวิวและรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าออกมาจากวังหลวงได้อย่างไร
ผู้คนต่างถอนหายใจออกมาอย่างหมดหวัง
ไทเฮากับหวาหรงจวิ้นจู่พึ่งพูดถึงความรักวัยเด็กของเยี่ยโยวเหยาที่สนิทสนมกับคุณหนูหนานกงมาตั้งแต่เด็ก คุณหนูหนานกงก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยนะ! ไม่ไว้หน้ากันถึงเพียงนี้เชียวหรือ
แม้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ คุณหนูหนานกงจะรักษาท่าทีที่สง่างามและมีน้ำใจ ทว่าไม่มีผู้ใดเห็นถึงความเงียบเหงาที่ปรากฏในแววตาของนาง
เมื่อออกจากประตูวังหลวง เยี่ยโยวเหยาก็ปล่อยมือของซูจิ่นซีทันที ทว่าซูจิ่นซียังคงรู้สึกล่องลอยอยู่เล็กน้อย นางลูบไล้มือล้ำค่าข้างนั้นที่เยี่ยโยวเหยาเพิ่งจับเมื่อครู่
ไม่ใช่ว่านางบ้าผู้ชาย ทว่าพอนึกถึงฉากเมื่อครู่แล้ว ก็เรียกได้ว่านางรู้สึกฟินจริงๆ
ซูจิ่นซีหันกลับไปมองแวบเดียว ก็เห็นว่าใบหน้าของไทเฮากับหวาหรงจวิ้นจู่เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางกังวลเกินไป จึงไม่ทันได้มองหน้าของคุณหนูหนานกงผู้นั้น
คิดว่านางก็คงรู้สึกรับไม่ได้อย่างแน่นอนกระมัง?
พอนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ซูจิ่นซีก็หดคอยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขอีกครั้ง
“มีอันใดน่าขันกัน? ”
เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างเย็นชา
ซูจิ่นซีหยุดยิ้มทันที ทว่าก็รู้สึกอึดอัดจนไม่สามารถห้ามร่างกายที่สั่นเล็กน้อยนี้ได้
“คือว่า… เยี่ยโยวเหยา เมื่อครู่ต้องขอบพระทัยท่านแล้วเพคะ! คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่สำคัญ ท่านก็มีความเป็นสุภาพบุรุษไม่น้อยเลยทีเดียว เป็นข้าที่เข้าใจท่านผิด! ”
“หืม? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว
“คือว่า… ”
เดิมทีซูจิ่นซีต้องการบอกว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เยี่ยโยวเหยาห่วงใยเรื่องของนางมาโดยตลอด ซูจิ่นซีได้แต่บ่นภายในใจเล็กน้อย ทว่าพอจะอธิบาย กลับรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันช่างซับซ้อน พูดได้ไม่ชัดเจน พูดแล้วก็จะแสดงให้เห็นว่านางเข้าข้างตนเองฝ่ายเดียวมากจนเกินไป
ทว่าระหว่างพวกเขากลับดูเหมือนไม่มีอันใด
หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าตนเองเป็นอันใด ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้นประโยคหนึ่งว่า “คุณหนูหนานกงผู้นั้นสวยมากเลยเพคะ! ”
พึ่งจะพูดออกไป ซูจิ่นซีก็แทบทนไม่ไหวที่จะตบตนเอง นางยกมือปิดหน้าอย่างช่วยไม่ได้
สวรรค์!
นางพูดอันใดออกไป?
เยี่ยโยวเหยาคงไม่เข้าใจนางผิดกระมัง?
นางแอบมองเยี่ยโยวเหยาผ่านรอยแยกของนิ้วมือ คาดไม่ถึงว่าจะเห็นมุมปากบางๆ ของเยี่ยโยวเหยาโค้งขึ้นเล็กน้อย
ตายแล้ว ตายแล้ว!
เขาต้องหัวเราะเยาะนางอยู่แน่ๆ
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าต่อไปนี้ตนคงไม่มีหน้าออกไปเจอผู้คนแล้ว
“ตกลงว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้น? ”
แม้ว่าในเดือนที่ผ่านมาเยี่ยโยวเหยาจะไม่ค่อยกลับมาที่จวน ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ให้ความสนใจเรื่องในจวนและเรื่องของซูจิ่นซีอย่างใกล้ชิด เขาเชื่อว่าเป็นไม่ได้อย่างแน่นอนที่ จู่ๆ ซูจิ่นซีจะเข้าไปที่ศาลาในสวนโดยไม่มีเหตุผล
“เรื่องเป็นเช่นนี้เพคะ… ”
ในที่สุดหัวใจของซูจิ่นซีก็สงบลงได้ ซูจิ่นซีเล่าถึงกระบวนการสืบสวนของตนเองในช่วงเวลานี้อย่างเคร่งขรึม
รวมถึงเรื่องที่ฮั่วอวี้เจียวกับซิ่งหลิวหลีนัดพบกันที่ร้านค้านอกเมืองหลวง และเรื่องที่ฮั่วอวี้เจียวบอกว่าได้ส่งสุราที่มีพิษไปให้หวาหรงจวิ้นจู่
สุดท้ายซูจิ่นซีก็กล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “ในตอนนั้นการแสดงออกถึงความกังวลของฮั่วอวี้เจียวดูเหมือนไม่ได้โกหก และหม่อมฉันก็ได้ทดสอบสุราทั้งสองไหนั้นแล้วเช่นกันว่ามันมีพิษจริงๆ เหตุใดสุราที่ศาลาในสวนนั้นกลับไม่มีพิษเล่า? นี่มันไม่เป็นไปตามหลักการเลยนะเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ช่วยซูจิ่นซีวิเคราะห์หาคำตอบ กลับกล่าวว่า “เวลาที่เหลือของเจ้ามีไม่มากแล้ว! ”
ต้องกังวลถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
กังวลว่าหากถึงเส้นตายแล้ว นางจะสืบหาความจริงไม่ได้และทำให้เขาขายหน้าใช่หรือไม่?
หลังจากได้รับความประทับใจที่ดี ในชั่วพริบตาเยี่ยโยวเหยาก็แสดงออกราวกับไม่ใช่มนุษย์
ซูจิ่นซีทำปากมุ่ย “ท่านอ๋องวางใจเถิดเพคะ! หม่อมฉันจะไม่ทำให้ท่านและจวนโยวอ๋องขายหน้าแน่นอนเพคะ”
“อืม! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น แทบจะกัดริมฝีปากของตนเอง
นางต้องการชื่นชมเยี่ยโยวเหยาสักหมัดเสียจริง
หลังจากนั้นทั้งสองต่างก็ไม่พูดคุยกันอีก เมื่อรถม้าใกล้ถึงหน้าประตูจวนโยวอ๋อง ซูจิ่นซีก็เอ่ยปากขึ้น
“คือว่า… ท่านอ๋องเพคะ หากบอกว่าเรื่องที่ฮองเฮาถูกพิษนั้นเกี่ยวข้องกับฮั่วอวี้เจียวจริงๆ สกุลฮั่วจะได้รับโทษอันใดหรือเพคะ? ข้าเพียงพูดว่าถ้าหากนะเพคะ”
เยี่ยโยวเหยามองไปยังดวงตาที่จริงจังของซูจิ่นซี
“คิดวางแผนลอบปลงพระชนม์ข้า แม้จะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็เพียงพอที่จะประหารทั้งสกุลซูเช่นกัน”
ประหารทั้งสกุล?
สกุลซู?
ซูจิ่นซีรู้สึกงงงวยเล็กน้อยกับประโยคก่อนหลังที่ไม่ตรงกัน ซูจิ่นซีใช้เวลานานกว่าที่การตอบสนองจะกลับมา เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบคำถามของตน ทว่าเขาเตือนให้นางดูแลตนเองให้ดีก่อน
หากว่าซิ่งหลิวหลีเป็นคนของสกุลซูจริงๆ เกรงว่าโทษของสกุลซูจะร้ายแรงกว่าสกุลฮั่ว
ชั่วพริบตา ซูจิ่นซีก็อารมณ์หดหู่ในทันที
เหตุใดนางถึงรู้สึกเศร้าเพียงนี้กันนะ!
เรื่องนี้จะต้องสืบหาต่อไปหรือไม่?
สืบก็ไม่ใช่ ไม่สืบก็ไม่เชิง
ปวดหัวจะแย่แล้ว
แม่นมฮวาคาดไม่ถึงว่าจะเห็นซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยากลับจวนมาพร้อมกัน บนใบหน้าจึงปรากฏร่องรอยความสุขราวกับดอกไม้บาน แม่นมฮวายิ้มกว้างและรีบเข้าไปต้อนรับ
“พระชายา ท่านอ๋อง พวกท่านกลับมาแล้วหรือเพคะ? ”
“อืม! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบรับอันใด เป็นซูจิ่นซีที่ส่งเสียงตอบกลับ
แม่นมฮวาหัวเราะอย่างชั่วร้าย แค่เห็นก็รู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องดี นางย้ายไปอยู่เคียงข้างซูจิ่นซีและกระซิบว่า “พระชายา โชคดีที่ครั้งก่อนยังมีโสมเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง ข้าน้อยได้ตุ๋นโสมน้ำแกงไก่ไว้แล้ว ท่านสามารถดื่มได้แล้วเพคะ! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว
เหตุใดจึงเป็นน้ำแกงไก่ตุ๋นอีกแล้วเล่า? นางทำอันใดที่ทำให้หญิงชราผู้นี้เข้าใจผิดอีกแล้วหรือ?
“ฮิๆ” แม่นมฮวาหัวเราะ “ดื่มเสร็จแล้ว ตอนกลางคืนก็สามารถไปปรนนิบัติท่านอ๋องได้เพคะ! ดูเหมือนว่าจะครบเดือนแล้วที่ท่านอ๋องไม่ได้สัมผัสท่านเลย! ข้าน้อยเกรงว่าคืนนี้พระชายาจะรับไม่ไหวเพคะ”
“แม่นมฮวา! เหตุใดจึงกล้าทำเช่นนี้? ”
สองมือของซูจิ่นซีเท้าเอว กำลังจะระเบิดความโกรธเคืองแล้ว