สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 4 ตอนที่ 102 คุณชายเหยียบนกกระสาที่งดงามที่สุด
ซูจิ่นซีคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า การกลับมาในครั้งนี้ของจิ่วหรง คาดไม่ถึงว่าเขาจะเหยียบนกกระสามา
ชุดสีน้ำเงินเย็นสบายทำมาจากผ้าไหมเหมือนกับชุดสีขาวของเขาในครานั้น เนื้อผ้าทิ้งตัวลงมาอย่างทรงพลังและสะอาดเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของฝุ่นผงแม้แต่นิดเดียว ผมสีดำดั่งน้ำหมึกไม่ได้ถูกมัดไว้ มันพริ้วไสวลอยอยู่บนอากาศ ที่เท้าเหยียบนกกระสาไว้ตัวหนึ่ง พร้อมกับเป่าขลุ่ยร่อนลงมาจากฟ้า พระจันทร์ดวงใหญ่ด้านหลังยิ่งทำให้ร่างของเขาสว่างไสวน่ามอง
ช่างงดงามเสียจริง
ฝูงชนล้วนมองอย่างตกตะลึง กระทั่งลืมหายใจ
นกกระสาที่เท้าของจิ่วหรงบินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูจิ่นซี เขาลงมาจากหลังของนกกระสาอย่างสง่างาม เก็บขลุ่ยในมือ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวกับซูจิ่นซีที่กำลังตกตะลึงว่า “เด็กน้อย หากขืนยังมองต่อ น้ำลายของเจ้าต้องไหลลงมาเป็นแน่”
ซูจิ่นซีดึงสติกลับมาในทันที เร่งรีบเช็ดน้ำลายที่มุมปากของตนเอง แล้วกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อยว่า “จิ่ว… จิ่วหรง! ”
จิ่วหรงใช้ขลุ่ยในมือเคาะไปที่หน้าผากของซูจิ่นซีเบาๆ “บอกกี่ครั้งแล้ว ให้เรียกอาจารย์”
ซูจิ่นซียังคงพูดไม่ออก ได้แต่ยิ้มหวาน
“จิ่วหรง ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าวันนี้เป็นวันเกิดของข้า แม้แต่ข้าเองยังลืมเลย”
“ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว! ” จิ่วหรงตอบตามใจคิด ความหมายคือ เขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้กับซูจิ่นซีต่ออีกแล้ว “ไปดูสิ ว่าชอบของขวัญที่อาจารย์ให้เจ้าหรือไม่? ”
จิ่วหรงชี้ไปที่ด้านหลัง
ซูจิ่นซีถึงจะเห็นว่า แท้ที่จริงแล้วบนหลังของนกกระสานั้นยังนำหีบใบหนึ่งมาด้วย
ชายชุดขาวทั้งสี่คนนำหีบลงมาจากหลังของนกกระสา หีบนั้นใหญ่มาก ตอนที่ย้ายก็ดูเหมือนจะหนักมากเช่นกัน
ข้างในใส่ของอันใดไว้นะ เหตุใดถึงต้องใช้หีบใบใหญ่ถึงเพียงนี้บรรจุมา?
ซูจิ่นซีมองไปทางจิ่วหรงอย่างสงสัย
จิ่วหรงยิ้มอย่างอ่อนโยน สายตามองมาเพื่อให้ซูจิ่นซีเกิดความมั่นใจ “ของขวัญชิ้นนี้ เจ้าจะต้องเป็นผู้เปิดมันเองถึงจะมีความหมาย”
ซูจิ่นซีเดินไปที่ข้างหีบอย่างไม่รู้อันใด ชายชุดขาวทั้งสี่คนหลบไปด้านข้างให้ซูจิ่นซีมีพื้นที่พอ
ซูจิ่นซีเอื้อมมือไปเปิดหีบอย่างลังเลใจ เมื่อมองเห็นของที่อยู่ในหีบแล้วก็ถึงกับตกตะลึงในทันที
ก่อนหน้านี้นางคาดคะเนถึงของขวัญที่จิ่วหรงจะมอบให้นางว่ามีความเป็นไปได้หลายอย่าง ทว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นของสิ่งนี้
นางขมวดคิ้วมองไปทางจิ่วหรง
ใบหน้าที่สงบจิตสงบใจของจิ่วหรงยังคงยกยิ้มอย่างเย็นชา “เด็กน้อย กระไรเล่า? เจ้าไม่พอใจกับของขวัญที่อาจารย์มอบให้เจ้าเช่นนั้นหรือ?”
ในใจของซูจิ่นซีมีทั้งความชอบและความตกใจ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี นางจึงไม่ได้พูดอันใด
“คุณชายจิ่ว วันนี้ทางราชสำนักของข้ากำลังก่อสร้างลานพระที่นั่ง และยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก หากท่านว่างจนไม่มีอันใดทำจึงต้องการมาชมเรื่องสนุก เกรงว่าจะมาผิดที่แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านควรจะมา”
ภายในใจของเยี่ยเซินรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย จึงหาโอกาสลงมือตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม
จิ่วหรงไม่สนใจเยี่ยเซิน เขาพูดกับซูจิ่นซีว่า “เด็กน้อย ต่อไปต้องรอดูเจ้าแล้ว อย่าทำให้อาจารย์เสียหน้าเล่า”
อย่าทำให้อาจารย์เสียหน้าเช่นนั้นหรือ?
ทันใดนั้น ประโยคนี้ก็ทำให้ซูจิ่นซีคิดถึงเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาในทันที
นางหันหน้าไปมองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง พบว่าใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชา ราวกับว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้แม้แต่น้อย
ภายในใจของซูจิ่นซีกำลังผิดหวัง นางไม่เหลือความแน่วแน่อันใดแล้ว
นางจึงหันมาพูดกับจิ่วหรง “ท่านจิ่วหรง ขอบพระคุณท่านแล้ว ข้าชอบของขวัญชิ้นนี้เป็นอย่างมาก”
ฮั่วอวี้เจียวและฝูงชนจำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับซูจิ่นซีต่างอยากรู้อยากเห็นว่าในหีบนั้นมันคือสิ่งใดกันแน่ พวกเขาล้วนพากันลืมจุดประสงค์ในวันนี้เสียสิ้น แล้วทำคอยืดคอยาวไปทางหีบใบนั้น
เมื่อสายตาของฮั่วอวี้เจียวมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในหีบเต็มสองตา นางก็กรีดร้องขึ้นมาในทันที “ เหตุใด…เหตุใดจึงเป็นนางไปได้? ”
ใช่แล้ว!
ของขวัญวันเกิดที่จิ่วหรงมอบให้ซูจิ่นซีไม่ใช่สิ่งอื่นใด ทว่าเป็นชีวิตของคนผู้หนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นซิ่งหลิวหลีที่ถูกผีดิบติดพิษช่วยชีวิตรอดไปจากมือของซูจิ่นซี
ไม่คิดว่าจิ่วหรงจะจับกุมซิ่งหลิวหลีกลับมาได้
เมื่อเห็นซิ่งหลิวหลี ซูจิ่นซีก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่นานความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและรู้สึกขอบคุณจิ่วหรง
โอกาสที่นางจะได้ตอบโต้มาถึงแล้ว!!!
“อย่างไรกัน? คุณหนูฮั่ว เจ้าไม่รู้จักนางหรือ? ”
ซูจิ่นซีตั้งใจยกเสียงให้สูงขึ้นและเอ่ยถามฮั่วอวี้เจียว
เมื่อมองดูการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของฮั่วอวี้เจียว ตลอดจนได้ยินคำพูดที่ซูจิ่นซีพูดกับจิ่วหรง ฮ่องเต้ผู้สูงส่ง เยี่ยเซิน และซูจ้งต่างก็มองไปทางหีบนั้นอย่างอยากรู้อยากเห็นและสำรวจดูในทันที
“พระชายาโยวอ๋อง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ” ฮ่องเต้ชิงถามขึ้น
“คงต้องถามคุณหนูฮั่วแล้วเพคะ คุณหนูฮั่วกับคนผู้นี้คุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก บางทีนางอาจสามารถพูดสิ่งที่มีค่ามากกว่าหม่อมฉันก็เป็นได้เพคะ” ซูจิ่นซีตั้งใจทดสอบฮั่วอวี้เจียวและมองนางในเชิงลบ
“ซูจิ่นซี เจ้าอย่ามาพูดจาใส่ร้ายผู้อื่น! ”
ฮั่วอวี้เจียวรู้สึกลนลานและตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว จึงกล่าวออกมาด้วยความโมโห
“คุณหนูฮั่ว ข้ายังไม่ได้พูดอันใดเลย! ท่านตื่นตระหนกอันใดกัน? หรือว่าท่านไม่ได้ตื่นตระหนก ทว่า… หวาดผวาอย่างนั้นหรือ? ”
ซูจิ่นซีพูดคำว่า ‘หวาดผวา’ อย่างนุ่มนวลราวกับขนนก ทว่าสะกิดใจของฮั่วอวี้เจียว
ฮั่วอวี้เจียวเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองตื่นตระหนกจนสูญเสียน้ำหนักในการพูด ทว่านางกลับไม่สามารถควบคุมความลนลานและความตื่นตระหนกเอาไว้ได้ ฮั่วอวี้เจียวรู้สึกเท้าอ่อนแรงจนเดินเซถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมไม่อยู่
เวลานี้แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกว่าฮั่วอวี้เจียวจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
“ซูจิ่นซี มีอันใดจะพูดก็พูดออกมาตรงๆ ได้หรือไม่? เก็บงำเอาไว้จะมีความหมายอันใด? ” เยี่ยเซินกล่าวอย่างรำคาญ
ซูจิ่นซียิ้มมุมปากอย่างไม่สนใจ สายตาเฉียดผ่านมาทางฝูงชน ผ่านไปทางฮ่องเต้ เยี่ยเซิน ซูจ้ง ฮั่วอวี้เจียว ฮองเฮาและเยี่ยโยวเหยาที่นั่งอยู่บนบัลลังค์ พวกเขาต่างเงียบงันไม่พูดจาอันใด อีกทั้งเหล่าฝูงชนที่เฝ้ามองดู
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็หันกลับมา ชี้นิ้วไปที่ซิ่งหลิวหลีที่นอนหมดสติอยู่ในหีบแล้วพูดว่า “นาง! ก็คือฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษฮองเฮา! ”
ทันใดนั้นทั่วทั้งลานก็เงียบสงบ ฝูงชนถูกทำให้ตื่นตกใจอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าของฮั่วอวี้เจียวที่เซไปด้านหลังอย่างตกตะลึง
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เยี่ยเซินก็กล่าวขึ้นว่า “ซูจิ่นซี เจ้าไม่ได้กำลังพูดจาเหลวไหลอยู่ใช่หรือไม่? นางเป็นสตรีตัวคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสตรีที่ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
“เป็นสตรีแล้วอย่างไร? หรือว่าสตรีจะวางยาพิษไม่เป็นเช่นนั้นหรือ? ไท่จื่อ พระองค์ทรงรักหยกถนอมบุปผา [1] ตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ? ”
ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียจริง!
ซูจิ่นซีเพียงแค่คิด ทว่าก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
แท้จริงแล้ว อุบายการวางยาพิษนี้เป็นเล่ห์เหลี่ยมที่เหล่าสตรีใช้บ่อยที่สุด
เยี่ยเซินสำลัก “เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาสิ สตรีผู้นี้ไม่เคยเข้ามาในวังหลวงมาก่อน นางจะวางยาพิษให้ฮองเฮาได้อย่างไร? ”
ประตูเก้าของเมืองตี้จิงในตอนนี้มีไท่จื่อเป็นผู้ดูแล เยี่ยเซินยืนยันว่าประตูทั้งสี่ของพระราชวังมีเขาเป็นผู้ลาดตระเวนเฝ้าดูด้วยตัวเอง และเขาไม่เคยพบเห็นสตรีผู้นี้ในวังมาก่อน
สายตาของซูจิ่นซีหนักแน่นมืดมน นางเคลื่อนย้ายสายตาไปทางฮั่วอวี้เจียวที่กำลังตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด “คุณหนูฮั่ว ถึงเวลาที่เจ้าควรพูดแล้ว! ”
ฮั่วอวี้เจียวตัวสั่นเทาขึ้นมาในทันที นางกำหมัดทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กละเอียด นางกรีดร้องขึ้นมาราวกับถูกบังคับ “ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น เจ้าจะให้ข้าพูดอันใด? ”
เนื่องจากเวลานี้ ซิ่งหลิวหลี…ฆาตกรผู้นี้ตกอยู่ในกำมือของซูจิ่นซีแล้ว ซูจิ่นซีไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวและเชื่อฟังคำสั่งเหมือนดังก่อนหน้านี้อีก ซูจิ่นซีมีความหวังและความเชื่อมั่นทั้งหัวใจ ทั่วร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
ซูจิ่นซีแอบยกยิ้มที่มุมปากมาโดยตลอด นางเดินไปที่ด้านข้างของฮั่วอวี้เจียวทีละก้าวๆ และพูดข้างหูของฮั่วอวี้เจียวอย่างเย็นชาว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตาอย่างนั้นหรือ? ”
ในใจของฮั่วอวี้เจียวหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง การขู่เข็ญใส่ความของซูจิ่นซีคอยกัดกร่อนหัวใจของนาง
ฮั่วอวี้เจียวน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลา
“พระชายาโยวอ๋อง นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ” ในที่สุดฮ่องเต้ก็เอ่ยปากพูดออกมา
“พิษของฮองเฮาและหัวหน้าขุนพลฮั่วที่ได้รับก่อนหน้านี้ เกิดจากยาที่นางผลิตและผสมเข้าไปในสุราที่ฮองเฮาเสวย” ซูจิ่นซีจงใจละเว้นการเอ่ยถึงเยี่ยโยวเหยา เพราะว่านางไม่ต้องการเพิ่มความลำบากเดือดร้อนให้แก่เขา
“ซูจิ่นซี นี่เจ้ากำลังพูดล้อเล่นหรือ? สุราที่เสด็จแม่เสวยถูกจัดเตรียมจากห้องเสวยมาตลอด และสิ่งของที่จะนำเข้าไปในห้องเสวยได้ล้วนผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดหลายครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่… ” ขณะที่เยี่ยเซินกำลังพูด ทันใดนั้นเขาก็ราวกับคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาเปล่งประกายความสงสัยขึ้นมา
……