สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 4 ตอนที่ 120 อวิ๋นจิ่น ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น
“ท่านอ๋อง หมอหลวงอวิ๋นมาถึงแล้วเพคะ! ”
แม่นมฮวาพาหมอหลวงอวิ๋นมาถึงด้านล่างของตำหนักอวิ๋นไคแล้ว เมื่อเห็นว่าลวี่หลีไม่ได้ขึ้นไปจึงไม่กล้าพาหมอหลวงอวิ๋นขึ้นไปโดยพลการเช่นกัน
เยี่ยโยวเหยานำเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้ซูจิ่นซีอย่างสงบเยือกเย็น จากนั้นจึงจัดท่าให้ซูจิ่นซีนอนราบจนแน่ใจว่าซูจิ่นซีจะไม่พลิกตัว และผู้อื่นจะไม่เห็นลวดลายบนแผ่นหลังของนาง เยี่ยโยวเหยาจึงได้ตอบรับให้แม่นมฮวาพาหมอหลวงอวิ๋นขึ้นมา
“ท่านอ๋อง! ”
หมอหลวงอวิ๋นคำนับเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้มองมาที่หมอหลวงอวิ๋น และไม่ได้ตอบรับแต่อย่างใด
“หมอหลวงอวิ๋น เจ้ารีบมาดูพระชายาของจวนข้าเถิด! ก่อนหน้านี้นางร้องเพลงร่ายรำกับข้าในลาน ทว่าไม่รู้เกิดอันใดขึ้น จู่ๆ นางก็หมดสติไป”
ร้องเพลงร่ายรำกับเยี่ยโยวเหยา?
อวิ๋นจิ่นเงยหน้าเหลือบมองเยี่ยโยวเหยาเล็กน้อย หลังจากเห็นสีหน้ากังวลใจของเยี่ยโยวเหยา เขาก็ซ่อนความรู้สึกประหลาดใจที่ปรากฏบนระหว่างคิ้วอย่างเงียบงัน แล้วก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจชีพจรให้ซูจิ่นซี
ทว่ามือของหมอหลวงอวิ๋นยังไม่ทันได้ทาบลงบนข้อมือของซูจิ่นซี มือของเยี่ยโยวเหยาก็ยื่นเข้ามากดข้อมือของซูจิ่นซีเอาไว้
อวิ๋นจิ่นมองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านอ๋อง… ”
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาราวกับน้ำค้างแข็ง หันไปพูดกับลวี่หลีที่อยู่ด้านข้างว่า “หยิบผ้ามา! ”
ลวี่หลีรีบไปหาผ้ามาหนึ่งผืนนำมายื่นให้เยี่ยโยวเหยา หลังจากเยี่ยโยวเหยานำผ้ามาคลุมไว้ที่ข้อมือซูจิ่นซีแล้ว เขาก็ละจากมือของซูจิ่นซีเพื่อให้อวิ๋นจิ่นตรวจชีพจร
มุมปากของอวิ๋นจิ่นยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ท่านอ๋อง ดวงใจของผู้รักษาเปรียบดั่งบิดามารดา ไม่ว่าเป็นบุรุษหรือสตรีก็ตามพ่ะย่ะค่ะ! ”
“ข้าถือ! ”
ประโยคที่แสนเย็นชานั้น ทำให้แม่นมฮวาและลวี่หลีที่ยืนอยู่ด้านข้างชะงักไปชั่วขณะ
แท้จริงแล้วเมื่อท่านอ๋องชอบผู้ใดสักคน ก็พิถีพิถันถึงเพียงนี้!
หลังจากตรวจชีพจรอยู่ครู่ใหญ่ อวิ๋นจิ่นก็ปาดหยาดเหงื่อระหว่างคิ้ว “เรียนถามท่านอ๋อง พระชายาหมดสติได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ”
นางหมดสติไปเพราะลวดลายของกิเลนกับดอกปี่อั้นที่ปรากฎขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์และหายเข้าไปในร่างกาย!
ทว่าพูดเช่นนี้คงไม่เหมาะ
เยี่ยโยวเหยาตั้งใจเก็บความลับของลวดลายบนหลังของซูจิ่นซีไว้ แม้แต่ซูจิ่นซีเอง เขาก็จะไม่บอก
ในขณะเดียวกันก็จะเก็บเรื่องราวในชีวิตที่ซูจิ่นซีได้ประสบเอาไว้
“เจ้าเป็นหมอหลวง ตรวจเองไม่ได้หรือ? ” เยี่ยโยวเหยากวาดสายตามองอย่างเย็นชา
อวิ๋นจิ่นตรวจชีพจรต่อ “ท่านอ๋อง ไม่กี่วันมานี้การบรรทมของพระชายาเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ”
หัวคิ้วเย็นเยือกของเยี่ยโยวเหยามองไปทางแม่นมฮวา
แม่นมฮวารีบตอบว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านอ๋องไม่อยู่ที่จวน พระชายาเป็นห่วงท่านอ๋องจึงพักผ่อนไม่เพียงพอเจ้าค่ะ ต่อมาก็ยังถูกฮองเฮาเรียกเข้าไปถอนพิษในวังหลวง ใช้พละกำลังไปมาก วันนี้เพิ่งจะได้บรรทม แม้จะบรรทมได้อย่างสงบ ทว่าก็ไม่นานนักเจ้าค่ะ”
สรุปแล้วก็เป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ
เมื่ออวิ๋นจิ่นเห็นเยี่ยโยวเหยาส่งสัญญาณให้แม่นมฮวาตอบ รอยยิ้มบางบนใบหน้าก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น
ดูเหมือนว่าเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซียังไม่ได้ร่วมสัมพันธ์กัน
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พระชายาทรงงานหนักมากเกินไป ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงหมดสติไปอย่างกะทันหัน ข้าน้อยจะจัดยาจำนวนหนึ่งให้ทาน เพียงดูแลบำรุงร่างกายให้ดี ร่างกายของพระชายาก็จะกลับมาสมดุลดังเดิม”
“นางจะตื่นเมื่อใด? ” น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยายังคงเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
“วันพรุ่งประมาณเที่ยงวันก็คงตื่นบรรทมพ่ะย่ะค่ะ! ”
ครานี้ซูจิ่นซีฝันอีกครั้ง
ในความฝันยังคงปรากฏภาพวิมานลวงตา ดินแดนมหัศจรรย์แห่งจินตนาการที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
ทว่าครานี้ซูจิ่นซีมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ชัดเจนมากขึ้น ไผ่สีเขียวมรกตงอกงามยิ่งกว่าครั้งก่อน ดอกไม้ใบหญ้าใต้ฝ่าเท้าก็สวยสดงดงามยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว กระทั่งซูจิ่นซียังสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นหญ้าและดอกไม้ น้ำในทะเลสาบก็กระจ่างใสขึ้นกว่าเดิม
แท่นบูชากลางทะเลสาบยังคงอยู่ ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังทิศทางนั้นและไม่สามารถหันไปมองทางอื่นได้อีก พลังงานลึกลับเริ่มก่อกำเกิดขึ้นอีกครั้ง ดึงดูดซูจิ่นซีให้เดินไปที่แท่นบูชาอย่างเชื่องช้า
ทว่าซูจิ่นซีพบว่า ครั้งนี้ดอกปี่อั้นที่ทำจากผลึกแก้วตรงกลางแท่นบูชานั้น มีกลีบดอกเพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้วสองกลีบ ครั้งก่อนมีห้ากลีบ ครั้งนี้มีเจ็ดกลีบ ยิ่งไปกว่านั้นกลีบดอกสีขาวใสก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อน
เมื่อมองไปยังแผ่นหินจารึกที่อยู่ข้างดอกปี่อั้นอีกครั้ง ซูจิ่นซีก็สามารถเห็นตัวอักษรบรรทัดแรกที่อยู่บนแผ่นจารึกได้อย่างชัดเจน ซูจิ่นซีมองตัวอักษรเหล่านั้นหลายครั้งอย่างละเอียด เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่ตัวอักษรจีนที่ซูจิ่นซีคุ้นเคย ทว่าซูจิ่นซีกลับเข้าใจความหมายของตัวอักษรเหล่านั้น
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ยังมั่นใจว่า นางและเจ้าของร่างเดิมไม่เคยเรียนตัวอักษรที่คดเคี้ยวแบบนี้มาก่อน
น่าแปลก นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน?
ซูจิ่นซีมองตัวอักษรที่เหลือต่อ ทว่าตัวอักษรเหล่านั้นยังคงเหมือนเดิม ดูเลือนรางเป็นอย่างมาก มองเห็นไม่ชัดแม้แต่คำเดียว
ซูจิ่นซีพยายามอ่านต่อไป ศีรษะของนางเริ่มปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง แสงสีเหลืองทองบนแผ่นหินจารึกสะท้อนออกมา สั่นสะเทือนจนซูจิ่นซีถูกผลักออกไปจากทะเลสาบ
“โอ๊ย! ”
ซูจิ่นซีร้องเสียงดัง ลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“พระชายาเพคะ! ”
แม่นมฮวาที่เพิ่งยกถาดขึ้นมา ถูกทำให้ตกใจจนล้มลงไปบนพื้นดัง “ปัง”
เยี่ยโยวเหยาที่บรรทมอยู่ข้างเตียงของซูจิ่นซีได้ยินการเคลื่อนไหว จึงรีบลุกขึ้นมากดไหล่ของซูจิ่นซีเอาไว้ “ซูจิ่นซี ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่ข้างๆ เจ้า! ”
“เยี่ยโยวเหยา… ”
สีหน้าท่าทางของซูจิ่นซีราวกับตกอยู่ในภวังค์ บนหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเยียบ นางมองเยี่ยโยวเหยาอย่างประหลาดใจ พบว่าเยี่ยโยวเหยาดูแก่ลงไปไม่น้อย อีกทั้งใต้คางก็มีตอหนวดขึ้น
“เหตุใดท่านจึงเป็นเช่นนี้เพคะ… ”
ดวงใจของซูจิ่นซีรู้สึกเหมือนโดนทิ่มแทงเบาๆ นางลูบไปที่กรามของเยี่ยโยวเหยาอย่างเบามือ
เยี่ยโยวเหยาวาดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย จับมือของซูจิ่นซีเอาไว้ “จิ่นซี เจ้าฝันใช่หรือไม่? รู้สึกอย่างไรบ้าง? มีที่ใดไม่สบายหรือไม่? ”
แท้จริงแล้ว เมื่อครู่นี้เป็นเพียงความฝัน
ซูจิ่นซีจับหน้าผากพร้อมกับส่ายศีรษะ “ไม่เป็นอันใดเพคะ เพียงรู้สึกหนวกหูมาก แม่นมฮวาปิดหน้าต่างได้หรือไม่ แล้วก็บอกให้คนที่อยู่ด้านนอกเดินเงียบๆ เสียงหั่นผักในห้องครัวก็ดังเหลือเกิน ให้พวกเขาเบาลงหน่อย! ”
ท่าทางของเยี่ยโยวเหยาและแม่นมฮวางงงันอยู่เล็กน้อย
แม่นมฮวามองดูหน้าต่างที่ปิดสนิท และหันมามองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “พระชายาเพคะ หน้าต่างปิดเรียบร้อยแล้วเพคะ อีกทั้งข้างนอกก็ไม่มีทหารตรวจตรา บางครั้งก็มีเพียงไม่กี่นายเท่านั้น และเสียงเดินของพวกเขาก็ไม่ดังมาก ส่วนลวี่หลีกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ทว่าก็ไกลจากที่นี่ เสียงไม่สะท้อนเข้ามานะเพคะ! ”
ศีรษะที่ส่ายไปส่ายมาของซูจิ่นซีหยุดลงในทันที นางมีท่าทีแข็งทื่อและตกตะลึง ราวกับมีเรื่องที่น่าตกใจเกิดขึ้น
“จิ่นซี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายที่ใดหรือไม่?”
ความเป็นห่วงบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยารุนแรงยิ่งขึ้น เขาเอ่ยถามซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีกล่าวอย่างสงสัยว่า “พวกท่านไม่ได้ยินเสียงที่อยู่ข้างนอกหรือ? พ่อบ้านและทหารสองนายกำลังคุยกันอยู่ตรงทางเข้าลาน ยังมีนกกระจอกสองตัวกำลังร้องจุ๊บจิ๊บอยู่บนไม้ไผ่ที่มุมกำแพงด้านตะวันตก ที่ทางเข้าสวนสมุนไพรก็มีผึ้งและผีเสื้อบินว่อนอยู่เป็นจำนวนมาก เสียงกระพือปีกดังชัดเจนยิ่งนัก”
แม่นมฮวากังวลจนแทบจะร้องไห้ออกมา “พระชายาเพคะ เกิดอันใดขึ้นกับท่านกันแน่เพคะ? เป็นเพราะว่า… นอนหลับไปสิบกว่าวัน สมอง… ทำให้สมองมีปัญหาเพราะการพักผ่อนหรือไม่ ข้าน้อยไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้เลยเพคะ! ท่านอ๋อง พระองค์ได้ยินหรือไม่เพคะ? ”
ความกังวลบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาแปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งสงบ เมื่อเห็นใบหน้าของซูจิ่นซีที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวหลังจากฟังแม่นมฮวาพูด เยี่ยโยวเหยาจึงโอบซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมอกและจุมพิตที่หน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา “จิ่นซี ไม่ต้องกลัว ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้า แม่นมฮวา ไป! เชิญหมอหลวงมา”
“เพคะ! ”
แม่นมฮวาตอบรับ นางตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อวิ่งลงไปด้านล่างจนถึงกลางบันใด ก็หันกลับมาถามเยี่ยโยวเหยาอีกครั้งว่า “ท่านอ๋องเพคะ ให้ไปเชิญหมอหลวงอวิ๋นใช่หรือไม่เพคะ? ”
“หมอหลวงท่านอื่น อวิ๋นจิ่น… ข้าจะสับเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้น” น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาช่างชั่วร้าย เย็นชา ไร้ความรู้สึก
ร่างกายของซูจิ่นซีและแม่นมฮวาพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน