สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 5 ตอนที่ 141 สุดยอดเด็กอัจฉริยะ
เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีลุกขึ้นจากเตียงและกอดไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น
กอดอย่างรุนแรงยิ่ง รุนแรงยิ่ง
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”
“…”
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”
“…”
“เยี่ย… ”
และเยี่ยโยวเหยาก็จูบซูจิ่นซีอีกครั้ง
ทว่าครานี้เยี่ยโยวเหยาไม่ได้จูบนานและไม่ได้รุนแรงมากนัก เยี่ยโยวเหยาจูบอย่างอ่อนโยนยิ่งนัก
ในหัวใจของซูจิ่นซีเหมือนถูกสิ่งใดบางอย่างทำให้ยอมศิโรราบ
ตอนที่เยี่ยโยวเหยาปล่อยตัวนางให้เป็นอิสระ ในหัวใจของซูจิ่นซีพลันรู้สึกว่างเปล่าอีกครั้ง
“ต่อจากนี้ไป ในจวนโยวอ๋อง หากไม่มีการยินยอมจากข้า ห้ามพาเดรัจฉานตัวอื่นเข้ามา” เยี่ยโยวเหยากล่าวบังคับ
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ ทว่าข้าได้พาอนุปี้กับอวี้เอ๋อร์กลับมาด้วยแล้ว ท่านคงไม่ให้ข้าส่งพวกเขากลับไปใช่หรือไม่เพคะ? ” ซูจิ่นซีมีใบหน้าลำบากใจ “หากออกจากจวนโยวอ๋อง พวกเขาจะต้องถูกฮั่วซื่อทำร้ายจนตายอย่างแน่นอน ตอนนี้สถานที่ที่จะปกป้องพวกเขาได้มีเพียงจวนโยวอ๋องเท่านั้นนะเพคะ”
“…”
“ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องของจิ่วหรงนั้นเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ท่านโปรดฟังข้าอธิบาย… ”
ซูจิ่นซีอธิบายให้เยี่ยโยวเหยาฟังถึงจุดประสงค์ในการให้จิ่วหรงมาอีกครั้ง แม้การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังคงไม่น่ามอง ทว่าไม่ได้มืดหม่นเหมือนในคราแรก
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ ตอนนี้มีเพียงจิ่วหรงที่สามารถช่วยอวี้เอ๋อร์ได้”
ซูจิ่นซียังคงเพียรพยายามพูดสิ่งดีๆ ของจิ่วหรงต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา อย่างไรก็ตามจิ่วหรงยังได้ช่วยนางมากมายถึงเพียงนั้น
“ซูจิ่นซี เจ้าพบเจอปัญหา ไม่เคยคิดที่จะขอร้องข้าเลยใช่หรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาจ้องไปที่ซูจิ่นซีและพูดอย่างเย็นชา
ซูจิ่นซีรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย นางมองไปยังเยี่ยโยวเหยา
ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้มองซูจิ่นซีนานนัก ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ลุกขึ้นและเดินออกไปนอกตำหนักฝูอวิ๋น “ตอนเที่ยงข้าจะขอให้หมอเทวดาหวามาสอนทักษะการแพทย์ให้เด็กสารเลวนั่น หลังจากนี้เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ใดเด็ดขาด จงอยู่ที่ตำหนักฝูอวิ๋น ให้ข้าดูแลเจ้าให้ดี”
ซูจิ่นซีตกตะลึงในทันที ใช้เวลาครู่ใหญ่ถึงจะตอบสนอง
จริงด้วย!
บริวารใต้พระหัตถ์ของเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่ว่ายังมีหมอเทวดาหวาหรอกหรือ?
ผู้ที่ใช้ยากระดูกหยกดำรักษาซี่โครงของซูจิ่นซี ท่านผู้นั้นเก่งกาจมาก!
เหตุใดซูจิ่นซีจึงลืมเขาได้เล่า
ทว่า…
ซูจิ่นซีมองร่างของเยี่ยโยวเหยาที่ลับหายไปจากเรือนชิงโยวผ่านทางหน้าต่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่
ดูเหมือนว่านางจะไม่เข้าใจเยี่ยโยวเหยามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่เขาโกรธหรือว่าไม่ได้โกรธกันแน่!
ทว่าภายในใจของเยี่ยโยวเหยาตอนนี้ ความใส่ใจต่อซูจิ่นซีนั้นเป็นเรื่องจริง
แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่เคยกล่าวออกมาจากปาก ทว่าซูจิ่นซีก็รู้สึกได้ว่าเยี่ยโยวเหยานั้นห่วงใยตนเองจริงๆ
นี่คือสัญชาตญาณสัมผัสที่หกของสตรี
ซูจิ่นซีกำลังคิดถึงคำพูดเหล่านั้นระหว่างเยี่ยโยวเหยาหลังจากตื่นนอน หัวใจเต็มไปด้วยความสดใสเบิกบาน
ทันใดนั้นเสียงของอวี้เอ๋อร์และทหารองครักษ์ก็ดังมาจากด้านนอกประตู
“หยุด ที่นี่เจ้าเข้าไปไม่ได้! ”
“พี่องครักษ์ ข้าต้องการเข้าไปหาพี่สาวของข้า พี่สาวข้าอยู่ด้านในขอรับ”
“ที่นี่เป็นตำหนักบรรทมของท่านอ๋อง ผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้”
“ท่านให้ข้าเข้าไปเถิด! ข้าต้องการมาหาพี่สาวข้าจริงๆ พี่สาวข้าคือพระชายาของพวกท่าน”
……
แม้ด้านนอกจะไม่มีเสียงแล้ว ทว่าซูจิ่นซีกลับมองไม่เห็นซูอวี้เข้ามา ทหารองครักษ์คงไม่ยอมปล่อยเขาเข้ามาเป็นแน่
“ใช่อวี้เอ๋อร์หรือไม่? ”
“ใช่แล้วท่านพี่จิ่นซี เป็นข้าซูอวี้”
“ให้เขาเข้ามาเถิด! ” ซูจิ่นซีกล่าว
“นี่… ” เสียงของทหารองครักษ์ด้านนอกมีความลำบากใจเล็กน้อย
ซูจิ่นซีจงใจทำเสียงไม่พอใจและกล่าวว่า “เหตุใดกัน? ในสายตาพวกเจ้าไม่เห็นข้าผู้นี้เป็นพระชายาหรือ? แม้แต่คำพูดของข้าก็ไม่ฟังเสียแล้ว”
ห้องนอนของเยี่ยโยวเหยาไม่อนุญาตให้คนเข้าไปจริง หากไม่ใช่เยี่ยโยวเหยายินยอม แม้แต่ซูจิ่นซีก็เข้าไปไม่ได้
“พระชายา หากไม่มีคำสั่งของท่านอ๋อง พวกเราไม่กล้ากระทำการโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ขอพระชายาโปรดอภัย! ” ทหารองครักษ์ปฏิเสธอย่างนอบน้อม
ซูจิ่นซีโมโหแล้ว นางลุกขึ้นมาจากเตียง สวมเสื้อผ้าและเดินออกประตูไป
ซูจิ่นซีคว้ามือของซูอวี้และกล่าวว่า “ไป! กลับไปเรือนของพวกเรา! ”
ความจริงร่างกายของซูจิ่นซีในตอนนี้ยังคงอ่อนแอยิ่งนัก เมื่อครู่ตอนที่ลุกขึ้นมานางก็เกือบจะเป็นลมล้มลงไปแล้ว บัดนี้ที่ดึงมือของซูอวี้ให้เดินไป ร่างกายของนางยังคงสั่นสะท้านและเดินได้อย่างไม่มั่นคงนัก
ทหารองครักษ์สองนายที่หน้าประตูตำหนักฝูอวิ๋นมองตามด้านหลังที่โกรธเกรี้ยวของซูจิ่นซี อดไม่ได้ที่จะลูบคอของตนเอง
ไม่ให้เด็กน้อยผู้นั้นเข้าไป ทำถูกหรือผิดกันนะ?
แม้พวกเขาจะปฏิบัติตามกฎก่อนหน้านี้ของท่านอ๋อง ทว่าหลังจากการปรากฏตัวของพระชายา กฎที่เข้มงวดก่อนหน้านี้ก็ราวกับมีข้อยกเว้นมากมายสำหรับพระชายา เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกว่าศีรษะบนลำคอของตนเองกำลังไม่ปลอดภัยกันเล่า?
“อวี้เอ๋อร์ มาหาพี่จิ่นซีมีเรื่องอันใด? ”
ซูจิ่นซีถาม หลังจากพาซูอวี้เข้าไปในเรือนอวิ๋นไค
ซูอวี้ดูเหมือนกังวลเกี่ยวกับบางอย่าง เขามองไปทางประตูของเรือนชิงโยว
ซูจิ่นซียิ้มและกล่าวว่า “วางใจได้ เยี่ยโยวเหยาออกไปทำงานแล้ว เขายุ่งมาก ไม่กลับมาเร็วถึงเพียงนั้นหรอก”
“อ้อ พ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูอวี้สบายใจขึ้นยิ่งนัก
ซูจิ่นซียิ้มและลูบหน้าผากของซูอวี้เล่นเล็กน้อย “กลัวเยี่ยโยวเหยาสินะ! ”
“ท่านพี่จิ่นซี โยวอ๋องน่ากลัวมากจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ! ตัวจริงเขาน่ากลัวกว่าที่ผู้คนด้านนอกกล่าวขานกันหลายเท่านัก ไม่ดีเท่ากับพี่ชายจิ่วหรงที่มาเมื่อวานแม้แต่น้อย”
ตอนที่ซูอวี้กล่าวถึงเยี่ยโยวเหยานั้น การแสดงออกบนใบหน้าของเขาเกินจริงเป็นอย่างมาก
ซูจิ่นซียิ้มและบีบจมูกของซูอวี้ “กลัวแล้วเจ้ายังกล้าทุบเขาให้หมดสติได้ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ? ”
ซูอวี้ดูเหมือนจะกลัวจริงๆ ขึ้นมาเสียแล้ว ดวงตากลมเผยให้เห็นความกังวลภายในใจ “หากข้าไม่ทำเช่นนั้น ในตอนนั้นโยวอ๋องคงบีบคอท่านพี่จนตายจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะ พี่ทำให้เจ้าตกใจกลัวแล้ว! มันไม่ได้เกินจริงถึงเพียงนั้นหรอกนะ” ซูจิ่นซีกล่าวพลางลูบหัวของซูอวี้สองครั้ง
ซูจิ่นซีชอบเจ้าตัวเล็กนี่เสียจริง แม้เขาจะอายุเพียงแปดขวบ ตัวน้อยตัวนิด ทว่าใบหน้ากลับดูดี ความน่าดึงดูดใจสูง มอบแวบเดียวก็รู้ว่า เมื่อโตขึ้นคงเป็น ‘เทพบุตร’ ผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
ทว่าโดยไม่ทันคาดคิด ทันใดนั้นซูอวี้กลับตบมือของซูจิ่นซีออกอย่างหมดความอดทน “อย่าเอะอะกระไรก็ลวนลามข้า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นท่านเป็นสตรี ยิ่งแตะต้องไม่ได้ ท่านเข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
ซูจิ่นซีตกตะลึงทันที ทว่าไม่นานก็ยื่นมือออกไปอีกครั้งและหยิกแก้มเล็กๆ ของซูอวี้ “โอ้โห ขี้โมโหไม่ธรรมดาเลยนะ เจ้าเด็กเมื่อวานซืน! ”
แม้ซูอวี้จะไม่รู้ว่าเด็กเมื่อวานซืนคือสิ่งใด ทว่าเขารู้ว่าเขาไม่ชอบฟังอย่างแน่นอน ซูอวี้จ้องซูจิ่นซีด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืน! ”
“เด็กน้อยน่ารัก! ”
ซูจิ่นซีหยิกแก้มของซูอวี้อีกครั้ง
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ใช่เด็กน้อย! ห้ามแตะต้องข้า! ”
“เจ้าเด็กอ่อนหัด ยังไม่โต คำพูดคำจาไม่เบาเลยนะ”
ซูจิ่นซีกดไหล่ของซูอวี้และลูบหัวอย่างแรง ถูผมที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีของซูอวี้ให้เป็นเล้าไก่
ซูอวี้ยืนอยู่จุดเดิม กำหมัดเล็กๆ สองข้างแน่น แก้มเป่าลมป่อง ดวงตาจ้องมองเหมือนเสือตัวน้อย
“ข้าบอกว่า ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว! ”
ซูจิ่นซีกลับคิดว่าน่าสนุกดี นางมองท่าทางของซูอวี้ที่ทำอันใดนางไม่ได้ ก็ปิดปากแล้วหัวเราะเยาะอย่างหนักหน่วง
แม่นมฮวาที่ยืนอยู่ด้านข้างมองซูอวี้กับซูจิ่นซีอย่างหมดหนทางยิ่ง ทว่าไม่กล้าเปิดปากพูดกับซูจิ่นซีโดยตรง ทำได้เพียงบูดบึ้งในใจและรู้สึกเอ็นดูซูอวี้ไม่หยุด
พระชายา ท่านอายุเท่าไรหรือ?
กลั่นแกล้งเด็กน้อยเช่นนี้ดีจริงๆ หรือ?
ซูจิ่นซีก็เป็นเช่นนี้ นางแกล้งซูอวี้เล่น ให้เด็กที่ยังไม่โตกลายเป็นเหมือนลูกบอลขนอันเล็ก บีบไปบีบมา กระทั่งบีบหน้าของเขาจนยืด
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ได้ทำร้ายซูอวี้ให้บาดเจ็บจริงๆ เพียงแต่คิดว่าเด็กผู้นี้น่าสนุกยิ่งนักก็เท่านั้น
หลายครั้งที่ซูอวี้ ‘อดทนจนแทบไม่ไหว’ ถูกซูจิ่นซีกวนโมโหจนอยากกระโดดเข้าไปกัดซูจิ่นซี ทว่าซูอวี้กลับอดทนไว้ได้ทั้งสิ้น
จนกระทั่งหมอเทวดาหวามา ซูจิ่นซีถึงจะหยุด
ในเวลานี้เองที่ซูจิ่นซีพึ่งจะเข้าใจว่า ซูอวี้เป็นเหมือนที่เขาพูดไว้จริงๆ เขาไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดาทว่าเป็นสุดยอดเด็กอัจฉริยะ