สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 7 ตอนที่ 190 ไม่น่าเชื่อถือจริงๆ
“ซูจ้ง ท่านบ้าไปแล้วหรือ?”
ซูจิ่นซีผลักซูจ้งและพยุงตัวซูอวี้ขึ้นจากพื้น
ซูจ้งไม่สนใจซูจิ่นซี ทว่าเขาหันหลังเดินไปยังด้านข้างของอนุปี้ เขาหยิบพัดกับสมุดเหล่านั้นออกมาจากอกเสื้อและโยนไปด้านหน้าของอนุปี้
“นางแพศยา เจ้ามีอันใดจะพูดอีก? ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจ้งเรียกอนุปี้เช่นนี้ อนุปี้หยิบสมุดจากพื้นขึ้นมาเปิดออกอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
มองเพียงครั้งเดียว หยาดน้ำตาในดวงตาทั้งคู่ของอนุปี้พลันหลั่งไหลออกมาราวกับแก้วที่แตกสลาย
“ท่านพี่… ท่านสงสัย… สงสัย… ”
อนุปี้กัดริมฝีปากจนเลือดไหล ทว่าใจไม่แข็งพอที่จะพูดคำพูดสุดท้ายออกมา
“ไอ้หยา หรือว่าคุณชายน้อยอวี้ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของผู้นำสกุลซูจริงๆ ? ”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ”
“ผู้นำสกุลซูช่างน่าสงสาร ช่วยเลี้ยงบุตรผู้อื่นมาตั้งหลายปี วันนี้เพิ่งได้รู้ความจริง”
“ใครว่าไม่ใช่เล่า! ถูกสวมหมวกเขียว [1] ไว้นานเพียงนี้”
“จะว่าไป คุณชายน้อยอวี้แท้จริงแล้วเป็นบุตรชายของผู้ใดกัน? ”
“นั่นสิ! อนุปี้ คุณชายน้อยอวี้เป็นบุตรชายของผู้ใดกันแน่? ”
มีบางคนในฝูงชนเริ่มเรียกอนุปี้ด้วยความหมายเย้ยหยัน
ดวงตาทั้งคู่ของอนุปี้มีน้ำตาคลอเบ้า นางจ้องมองซูจ้งอย่างไม่คลาดสายตา
ใบหน้าของซูจ้งเต็มไปด้วยความเดือดดาล เขาเกือบจะเข้าไปบีบคอของอนุปี้ให้หักคามือ
ซูอวี้มีใบหน้าซีดเผือด
ซูจิ่นซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวของซูอวี้สั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ซูอวี้ที่เป็นเช่นนั้นทำให้ซูจิ่นซีเจ็บปวดใจอย่างมาก นางอดไม่ได้ที่จะปิดหูของซูอวี้เพื่อป้องกันเสียงรบกวนภายนอก
จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะของตนเอง นางลุกขึ้นเดินไปดึงมือของซูจวิ้นมาที่บ่อปลา ก่อนจะแทงปิ่นนั้นไปบนมือของซูจวิ้น
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนเห็นไม่ชัดว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แม้แต่ฮั่วซื่อที่อยู่ใกล้กับซูจวิ้นมากที่สุดก็ขวางไว้ไม่ทัน
“ซูจิ่นซี นางแพศยา เจ้าคิดจะทำอันใด? ” ซูจวิ้นเจ็บปวดมาก เขาเบิกตาทั้งสองข้างแล้วสบถด่าซูจิ่นซีด้วยความโกรธ
“ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะทำอันใด? เจ้าจะฆ่าบุตรชายของข้าหรือ? ”
หลังจากที่ฮั่วซื่อได้สติกลับมาแล้ว นางก็รีบพุ่งเข้าไปผลักตัวซูจิ่นซีและปกป้องซูจวิ้นไว้ด้านหลังของตน
ซูจิ่นซีไม่สนใจฮั่วซื่อสองแม่ลูก ทว่านางมองไปทางบ่อปลาและยิ้มเยาะมุมปาก
ทุกคนต่างไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาจึงมองไปตามสายตาของซูจิ่นซีด้วยความประหลาดใจ
นี่มัน… เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนต่างจ้องมองซูจวิ้นด้วยความแปลกใจ
ใบหน้าของฮั่วซื่อเปลี่ยนไปในทันที นางเดินเข้าไปใกล้บ่อปลาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อมองลงไปด้านล่าง ดวงตาทั้งสองพลันเบิกกว้าง
“ไม่… เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ซูจิ่นซี เจ้าทำอันใดกับบุตรของข้า? ” ฮั่วซื่อดึงรั้งเสื้อของซูจิ่นซี
ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่ซูจิ่นซีเกลียดที่สุดก็คือผู้อื่นมาฉีกทึ้งเสื้อผ้าของนาง
“ปล่อยมือ! ”
แววตาเยือกเย็นดุร้ายของซูจิ่นซีทำให้ฮั่วซื่อตกตะลึง นางตัวสั่นเทา มือที่จับเสื้อซูจิ่นซีพลันคลายออก
ซูจิ่นซีผลักฮั่วซื่อออกไปและดึงเสื้อผ้าของตนเองออกจากมือของฮั่วซื่อ
จากนั้นซูจิ่นซีก็ไม่สนใจฮั่วซื่อกับซูจวิ้น ทว่านางเดินไปหาซูจ้งที่ยืนจ้องบ่อปลาด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ
“ท่านพ่อ เห็นชัดเจนหรือไม่? เลือดของซูจวิ้นกับเลือดของท่าน ไม่สามารถผสมรวมกันได้”
ในเวลานี้ บริเวณรอบบ่อปลาเต็มไปด้วยผู้คน พวกเขาทั้งหลายต่างจ้องไปในบ่อปลา
เมื่อครู่ ซูจิ่นซีคิดวิธีแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน นางใช้ปิ่นปักผมแทงไปที่มือซูจวิ้น ทำให้เลือดไหลลงไปในบ่อปลา ไม่คิดว่า เลือดของซูจวิ้นจะเป็นเหมือนกับเลือดของซูอวี้ที่ละลายในน้ำโดยไม่ผสมรวมกับเลือดของซูจ้ง
“นี่มันเรื่องอันใดกันแน่? ”
“หรือว่าคุณชายน้อยจวิ้นก็ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของผู้นำสกุลซู? ”
“นี่… นี่มันพิสดารเกินไปแล้ว? ผู้นำสกุลซู ท่านมีบุตรชายเพียงสองคน นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีบุตรที่แท้จริงแม้แต่คนเดียว ท่านลองตรวจเลือดบุตรสาวของท่านอีกครั้งดีหรือไม่? ”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยการเสียดสี
ดวงตาทั้งคู่ของซูจ้งแทบหลั่งเลือด ใบหน้าหมองคล้ำจนไม่อาจคล้ำไปมากกว่านี้ได้อีก เขามองฮั่วซื่อด้วยสายตาโกรธเคือง
“ไม่… เป็นไปไม่ได้ ท่านพี่ จวิ้นเอ๋อร์เป็นบุตรชายแท้ๆ ของท่านอย่างแน่นอน ข้ากล้าเอาศีรษะเป็นประกัน”
ฮั่วซื่อคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าซูจ้ง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางซูจิ่นซี “นี่ต้องเป็นแผนชั่วร้ายอันใดของซูจิ่นซีแน่นอน ท่านพี่ ท่านอย่าได้ตกหลุมพรางของนางเป็นอันขาด! ”
“จิ่นซี ตกลงแล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
ซูจ้งเชื่อในคำพูดของฮั่วซื่อ เขาหันมาสอบถามซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา นางยืนต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็แทงปิ่นไปที่นิ้วมือของตนเองและปล่อยให้เลือดของตนหยดลงไปในบ่อปลา
“พระชายาโยวอ๋องคิดจะทำอันใด? ”
“พระชายาโยวอ๋องต้องการตรวจสอบเลือดด้วยใช่หรือไม่? ”
“โอ้ ให้ข้าดูหน่อย ให้ข้าดูหน่อยสิ! ”
“รวมกันหรือเปล่า? รวมกันหรือเปล่า? ”
……
ทันใดนั้น กลุ่มคนที่ส่งเสียงดังพลันเงียบเสียงลงชั่วขณะ แววตาสับสนของผู้คนทั้งหลายต่างมองไปทางซูจิ่นซีและซูจ้ง
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? เลือดของพระชายาโยวอ๋องก็ไม่ผสมรวมกับผู้นำสกุลซูเช่นกัน หรือว่า… ”
ตอนนี้สถานะของซูจิ่นซีนั้นสูงส่ง ดังนั้นคำพูดที่ทำให้เสื่อมเสียเช่น ‘พระชายาโยวอ๋องไม่ใช่บุตรีแท้ๆ ของผู้นำสกุลซู’ จึงพูดออกมาไม่ได้อย่างแน่นอน
“ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดว่าพวกเราทั้งสามคนไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของท่านใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ความเดือดดาลบนใบหน้าซูจ้งค่อยๆ เลือนหายไป เขามองซูจิ่นซีด้วยใบหน้างุนงง
ซูจิ่นซีใช้วิธีที่เข้าใจง่ายในการตรวจสอบ และใช้วิธีตรงไปตรงมาในการอธิบายความจริง “วิธีตรวจสอบ ความสัมพันธ์ด้วยเลือดเช่นนี้เป็นศาสตร์ที่ไม่น่าเชื่อถือ”
ทันใดนั้น ผู้คนต่างสับสนวุ่นวาย
“กระไรนะ? การตรวจสอบหยดเลือดเป็นวิธีที่ไม่แม่นยำหรือ? ”
“ไม่หรอกกระมัง? บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนใช้วิธีนี้กันมานานหลายปีแล้ว เป็นไปไม่ได้? ”
“พระชายาโยวอ๋อง ท่านคงไม่ได้พูดจาล้อเล่นใช่หรือไม่? ”
“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ”
……
แท้จริงแล้วในยุคโบราณ นี่คือการแพทย์ที่ล้าสมัยและยังเป็นเรื่องที่น่าสลดใจที่สุดในวงการแพทย์
ความจริงแล้ว หากต้องการรู้ว่าเป็นพ่อลูกกันหรือไม่ เพียงใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ดำเนินการตรวจสอบความสัมพันธ์กันของรหัสพันธุกรรมก็สามารถยืนยันได้แล้ว ทว่าในยุคที่น่าเศร้าที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ล้าสมัย พวกเขาจึงไม่รู้ว่า ‘การหยดเลือดเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์’ เป็นวิธีการที่ไร้สาระ ไม่รู้ว่าวิธีนี้ได้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ไปแล้วกี่คน
หากวันนี้ซูจิ่นซีไม่อยู่ แม้แต่อนุปี้และซูอวี้เองก็คงต้องกลายเป็นหนึ่งในนั้น
“หากทุกคนไม่เชื่อ สามารถพิสูจน์ความจริงได้ที่นี่ ข้าไม่ได้กล่าวเท็จอย่างแน่นอน คำพูดที่ว่า เลือดจะผสมรวมกันในน้ำนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิของน้ำเท่านั้น หากอุณหภูมิของน้ำถึงระดับที่กำหนดและได้เติมสารส้มลงไป แม้จะไม่มีความสัมพันธ์พ่อลูกกัน เลือดก็จะผสมเข้าด้วยกันได้ ทว่าหากเติมน้ำมันลงไปในน้ำ แม้จะมีความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกัน เลือดก็ไม่มีทางผสมรวมเข้าด้วยกัน”
“เจ้ากรมหวัง รองเจ้ากรมหลี่ รบกวนท่านเตรียมอ่างน้ำสองใบ ใบหนึ่งใส่สารส้ม อีกใบใส่น้ำมันลงไป ให้ทุกคนได้พิสูจน์กัน”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
กรมอาญาสามารถเตรียมของพวกนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น เจ้ากรมหวังและรองเจ้ากรมหลี่รีบออกคำสั่งให้คนไปจัดเตรียม ผ่านไปครู่เดียว อ่างน้ำใบใหญ่สองใบก็ถูกจัดวางอยู่ตรงหน้าทุกคน ขณะเดียวกันยังได้เตรียมเข็มเงินไว้หลายเล่ม
ในเมื่อพวกเขาเข้ามาดูเรื่องครึกครื้นแล้ว เป็นคนย่อมอยากรู้อยากเห็น ผู้คนต่างพากันหยิบเข็มและเริ่มต้นทดสอบด้วยตนเอง
ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น…
……