สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 7 ตอนที่ 191 อย่าคิดหนีแม้แต่คนเดียว
เห็นได้ชัดว่าเป็นพ่อลูกกันแท้ๆ เมื่อหยดเลือดลงในน้ำที่มีน้ำมัน กลับไม่ผสมรวมกัน เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสัมพันธ์กัน ทางสายเลือด ทว่าเมื่อหยดเลือดลงในน้ำที่มีส่วนผสมสารส้ม ปรากฏว่าเลือดกลับผสมรวมเข้าด้วยกัน
ยังมีคนทดลองหยดเลือดลงในบ่อปลา ผลลัพธ์ก็แตกต่างกันไป
ทุกคนต่างพากันสงสัยและประหลาดใจ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเจ้ากรมหวังและรองเจ้ากรมหลี่ พวกเขาจึงร่วมทดสอบด้วยเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเลือดของพวกเขากลับผสมรวมกัน
“พระชายา นี่… นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอน! ปีนี้รองเจ้ากรมหลี่อายุสี่สิบสองแล้ว ข้าเพิ่งจะห้าสิบปี รองเจ้ากรมหลี่ไม่มีทางเป็นลูกชายของข้าได้? อีกทั้งข้ายังไม่เคยได้ยินท่านแม่บอกว่าข้ามีพี่น้องที่ไหนมาก่อนเลย! ”
ซูจิ่นซียิ้มมุมปากเล็กน้อย “สรุปได้ว่า การหยดเลือดพิสูจน์ความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นความผิดพลาด”
“ทว่านี่เป็นวิธีที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งใช้มาหลายพันปีแล้ว หรือว่าจะเป็นความผิดพลาดจริงๆ? ”เจ้ากรมหวังถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ผิดแล้ว! ”
ซูจิ่นซีพูดอย่างหนักแน่น
ภายในห้องโถงเงียบงันไปชั่วขณะ ทุกคนต่างไม่พูดอันใดเลย
พระชายาโยวอ๋องยอดเยี่ยมมาก!
นี่เป็นผลการวิจัยทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่มาก! มันได้ล้มล้างวิธีการอันเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษหลายพันปี
ในวินาทีนั้น ภาพลักษณ์ของซูจิ่นซีในสายตาของทุกคนดูสูงส่งขึ้นอีกระดับ ทุกคนต่างมองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่า เรื่องนี้ซูจิ่นซีมิได้เป็นผู้ค้นพบ
แม้งานวิชาการทางการแพทย์และงานเขียนทางการแพทย์ในสมัยโบราณจะมีบันทึกไว้มากมาย ทว่าในทางการแพทย์สมัยใหม่ได้มีคนทำการวิจัยยืนยันไว้ว่า วิธีการพิสูจน์เช่นนี้เชื่อถือไม่ได้
“ท่านพี่ อวี้เอ๋อร์เป็นบุตรชายของท่านจริงๆ ข้าไม่กล้าโกหกแน่นอน” อนุปี้มองหน้าซูจ้ง น้ำตาไหลรินจากดวงตา
ซูจ้งแสดงท่าทางสงสัยและสับสน ทว่าไม่ได้มองไปทางอนุปี้และซูอวี้แม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ เมื่อครู่นี้เพราะคำพูดประโยคหนึ่งของท่านแม่ ท่านพ่อยังเชื่อท่านแม่แล้วย้อนถามลูกได้ แล้วเหตุใดท่านถึงไม่เชื่ออนุปี้? ” ซูจิ่นซีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ซูจ้งมองซูจิ่นซีด้วยสายตาเย็นชา ในที่สุดก็มองไปที่อนุปี้ที่ร่างกายอ่อนแอ
“ในเมื่อเจ้าพูดว่าซูอวี้เป็นบุตรแท้ๆ ของข้า เช่นนั้นสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้เจ้าจะอธิบายเช่นไร? ”
หากมีเพียงสมุดบันทึกก็พอทำเนา ทว่ายังมีพัดอีกเล่มหนึ่ง สิ่งของเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วดูเป็นเรื่องจริงยิ่งนัก ไม่ว่าใครก็สงสัยทั้งสิ้น
“ข้า… ข้าไม่รู้เรื่อง” อนุปี้ร้องไห้ไปพลางส่ายศีรษะไปพลาง
“ท่านพี่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ยังต้องพิจารณาให้รอบคอบแล้วค่อยตัดสินใจดีกว่า น้องสาวอยู่กับท่านพี่โดยไร้ชื่อและไม่มีสถานะใดๆ มาหลายปี ทั้งนางยังตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกมาก็หลายปี ความรักความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อท่านเช่นนี้ ท่านเองต้องคำนึงถึงและเอาใจใส่ด้วยนะเจ้าคะ!” จู่ๆ ฮั่วซื่อก็ได้บรรยายถึงความยากลำบาก และแสดงท่าทีสงสารอนุปี้เป็นอย่างมาก
หากคนที่ไม่เข้าใจฮั่วซื่อคงคิดว่านางพูดแทนอนุปี้ ทว่าซูจิ่นซีเข้าใจอย่างชัดเจน นี่คือวิธีการแสร้งเป็นคนจิตใจดีของฮั่วซื่อที่ใช้ได้ผลดีมาตลอด
เห็นได้ชัดว่านางกำลังเปลี่ยนมุมมองเพื่อเตือนสติซูจ้ง อนุปี้อยู่นอกจวนมาหลายปี จะต้องมีช่องโหว่ที่ซูจ้งตรวจสอบไม่ได้อย่างแน่นอน หากอาศัยช่องโหว่นี้ไปมีสัมพันธ์ชู้สาว ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
ยิ่งไปกว่านั้น อนุปี้อยู่กับซูจ้งโดยไร้ชื่อและไม่มีสถานะอันใด แสดงว่านางก็ไม่ใช่สตรีที่อยู่ในกรอบ ราวกับเป็นสตรีใจง่าย เป็นเรื่องปกติที่จะมีความรวนเร
แน่นอนว่า เมื่อซูจ้งได้ฟังคำพูดของฮั่วซื่อ เดิมทีแววตาที่เมินเฉยอยู่แล้ว ยิ่งเย็นชาขึ้นไปอีก
กลับไม่คิดว่า ซูจวิ้นยังเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก เขามุ่งทำลายความไม่แน่ใจและความสงสัยที่อยู่ในใจของซูจ้งในเวลานั้น
“ฮึ! เป็นเพราะนางแพศยาอนุปี้ผู้นี้อาศัยอยู่ข้างนอกมาหลายปี จึงถือโอกาสลักลอบมีความสัมพันธ์ชู้สาว ใครจะไปรู้ว่าขณะที่ท่านพ่อไม่ทราบนั้น นางลักลอบมีความสัมพันธ์ไปแล้วกี่คน! ”
ซูจ้งกำหมัดแน่นด้วยใบหน้าดุดัน เขาค่อยๆ หันไปมองซูอวี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยไอสังหาร
อนุปี้ที่นอนอยู่บนเปลไม่สามารถกลั้นแรงกดดันภายในทรวงอกได้อีก “เอื๊อก” นางกระอักเลือดออกมาเต็มปากจนหมดสติไป
หมอหลวงอวิ๋นและหมอหลวงหวังรีบวิ่งไปยังข้างกายของอนุปี้ ทำการจับข้อมือของอนุปี้เพื่อตรวจชีพจร
“อนุปี้เป็นอย่างไรบ้าง? ”
ซูจิ่นซีวิ่งเข้ามาด้วยความกังวล อนุปี้อาเจียนออกมาเป็นเลือดเป็นแค่การเริ่มต้น ในเวลานั้นเลือดจำนวนมากไหลออกทางปากไม่หยุด ทางจมูก ทางหู และตาก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาอย่างเชื่องช้า สภาพเช่นนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“พระชายา แย่แล้ว อนุปี้มีอาการเลือดไหลย้อนกลับ ต้องใช้ยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวรักษาโดยด่วน มิฉะนั้นแม้แต่เทพเจ้าจุติลงมาก็ไม่อาจช่วยได้” อวิ๋นจิ่นกล่าว
“ท่านแม่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านอย่าทำให้อวี้เอ๋อร์ตกใจกลัวสิ! ท่านแม่… ท่านแม่… ” ซูอวี้ตะเกียกตะกายบนพื้นจนมาอยู่ข้างกายอนุปี้ เขาร่ำไห้จนแทบจะขาดใจ
ยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวนั้นหาไม่ยาก ทว่าสถานที่เก็บรักษาสิ่งของเช่นนี้ ส่วนมากอยู่ในวังหลวง
ทว่าประตูวังปิดแล้ว ผู้ที่อยู่ในเหตการณ์ซึ่งสามารถเข้าออกวังหลวงได้มีเพียงอวิ๋นจิ่นที่เข้าไปตรวจชีพจรให้กับฮ่องเต้และฮองเฮาทุกวัน ทว่านี่เป็นเวลากลางดึก จึงไม่ใช่เวลาไปตรวจชีพจร
“สามารถใช้สิ่งอื่นแทนได้หรือไม่? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น
“ได้หรือไม่นั้น แม้จะเทียบไม่ได้กับจื่อจู [1] ที่ฮองเฮาใช้ก่อนหน้านี้ ทว่ามีตัวยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้ดีกว่าหลายเท่า”
“คือสิ่งใด? ”
อวิ๋นจิ่นมองไปยังซูจ้งและฮั่วซื่อ จากนั้นก็ตอบว่า “เห็ดหลินจือแดง [2] ”
เห็ดหลินจือแดง?
ไม่แปลกใจว่าเหตุใดขณะที่อวิ๋นจิ่นพูดชื่อนี้จึงได้หันไปมองซูจ้งและฮั่วซื่อก่อน
ในโลกนี้ มีเห็ดหลินจือแดงเพียงต้นเดียว มันถูกเก็บอยู่ในหอโอสถสกุลซู ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของสกุลซู
สกุลซูมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเมืองตี้จิงหรือแม้แต่ทั่วทั้งแคว้นจงหนิง ไม่เพียงอาศัยวิชาแพทย์ที่เป็นเลิศและร้านขายยาในเมืองตี้จิงเท่านั้น ที่สำคัญก็คือหอโอสถสกุลซูยังเก็บรักษาเห็ดหลินจือแดงที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
ทว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปั่นหัวซูจ้งจนเกิดความสงสัยว่าอนุปี้มีชายอื่นและซูอวี้ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของเขา นอกจากนั้นกุญแจหอโอสถของสกุลซูยังอยู่ในมือฮั่วซื่อ และฮั่วซื่อยังมีจิตใจคิดแย่งชิงสมบัติสกุลซูกับอนุปี้และซูอวี้อีกด้วย!
พวกเขาจะมอบเห็ดหลินจือแดงให้อนุปี้หรือไม่?
ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะมองซูจ้งด้วยความสงสัย
ซูจ้งแสดงสีหน้าเด็ดขาด หันศีรษะไปทางอื่น
ใจร้ายมาก!
ตอนที่อยู่ตำหนักโยวอ๋อง อนุปี้ยังห่วงใยและคิดถึงความปลอดภัยของซูจ้งที่อยู่ในคุกอย่างสุดหัวใจมาตลอด
“อวิ๋นจิ่น หมอหลวงหวัง อาศัยวิชาแพทย์ของพวกเจ้าทั้งสอง อนุปี้สามารถรอเห็ดหลินจือแดงได้อีกนานเท่าไร? ”
ใบหน้าหมอหลวงหวังแสดงท่าทีลำบากใจ
“มากสุดสองชั่วยาม! ” อวิ๋นจิ่นตอบ
“สองชั่วยามก็เพียงพอ! ” จู่ๆ การแสดงออกบนใบหน้าของซูจิ่นซีก็เปลี่ยนเป็นลึกซึ้งเกินกว่าจะคาดเดาได้ นางพูดกับเจ้ากรมหวังว่า “เจ้ากรมหวัง รบกวนท่านหาสถานที่สงบเงียบสักแห่ง ให้หมอหลวงอวิ๋นและหมอหลวงหวังนำอนุปี้เข้าไปพักรักษาตัวก่อน”
“พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยจะจัดการให้เป็นอย่างดี”
อวิ๋นจิ่นและหมอหลวงหวังเรียกองครักษ์มาหามอนุปี้ตามเจ้ากรมหวังออกจากศาลพิจารณาคดี ซูอวี้ร้องไห้อยู่ข้างกาย เขาคิดจะเดินตามอนุปี้ไปทว่ากลับถูกซูจิ่นซีขวางไว้
“ยังต้องพึ่งเจ้าให้ตามหายาวิเศษที่ใช้ช่วยชีวิตแม่ของเจ้า เจ้าจะไปเพื่ออันใด? ”
ซูอวี้เป็นเด็กที่เข้มแข็งมากมาตลอด ทว่าในเวลานี้เขากลับแสดงท่าทางอ่อนแอ อีกทั้งน้ำตาไหลพราก ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชิน
ซูอวี้หันหลังกลับ มองซูจิ่นซีด้วยแววตาขอร้องแล้วพูดว่า “พี่จิ่นซี อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องการแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดสกุลซูแล้ว อวี้เอ๋อร์เพียงต้องการรักษาอาการบาดเจ็บของท่านแม่ให้หายดี จากนั้นก็จะไปจากที่นี่ ยิ่งไกลเท่าไรยิ่งดี”
ทุกคนต่างฟังออก คำว่า ‘ที่นี่’ ที่ซูอวี้พูดออกมานั้นไม่ใช่ศาลพิจารณาคดีของกรมอาญา ทว่าเป็นสกุลซูสถานที่แห่งนั้น
ซูจิ่นซีหัวใจเต้นแรง นางยกมือลูบผมของซูอวี้ “เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น จะกลัวอันใด? เข้มแข็งให้ข้าเห็นสิ เรื่องที่ทำแล้วไม่เป็นผลดีต่อตนเอง ทว่าเป็นผลดีต่อศัตรู พี่สาวไม่อนุญาตให้เจ้าเอ่ยออกมาอีก วันนี้เจ้าไม่เพียงต้องนำยามาเพื่อช่วยชีวิตท่านแม่ของเจ้าเท่านั้น ทว่ายังต้อง… ” น้ำเสียงของซูจิ่นซีดูคลุมเครือ นางค่อยๆ หันไปมองฮั่วซื่อ “คนที่ทำร้ายเจ้าและแม่ของเจ้า วันนี้อย่าคิดจะหนีไปได้แม้แต่คนเดียว”
……
เชิงอรรถ
[1] จื่อจู ผลทรงกลม เมื่อผลสุกจะมีสีม่วง ไม่มีขน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มม. ระยะเวลาออกดอกตั้งแต่มิถุนายนถึงกรกฎาคม ช่วงเวลาติดผลในเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ราก ผล และทั้งต้น ใช้เป็นยาควบคุมประจำเดือน รักษาประจำเดือนมาไม่ปกติ อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ตกขาว ปวดเสียดภายใน ตกเลือดหลังคลอด (สืบค้นจาก. เว็บBaidu)
[2] เห็ดหลินจือแดง มีลักษณะแบน ปลอดสารพิษ เป็นเลือดของเห็ดหลินจือ เป็นสายพันธุ์หายากในกลุ่มเห็ดหลินจือ เส้นผ่านศูนย์กลางของฝาเมื่อโตขึ้น 4 ถึง 13 ซม. และขาจะยาวกว่าเห็ดหลินจือธรรมดา หลังจากการอบแห้ง เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 2 ถึง 7 ซม. สรรพคุณทางยาดีกว่าเห็ดหลินจือชนิดอื่นๆ มาก และให้ผลค่อนข้างครอบคลุม ส่วนใหญ่ใช้รักษาโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ นอนไม่หลับ และโรคอื่นๆ หากใช้งานในระยะยาวสามารถป้องกันมะเร็ง ต่อต้านเนื้องอก ปกป้องตับ และชะลอความแก่ เสริมสร้างร่างกาย ปรับปรุงภูมิคุ้มกัน มีผลดีชัดเจนต่อหัวใจ สมอง และหลอดเลือด และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์เหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพในระยะยาว (สืบค้นจาก. เว็บBaidu)