สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 9 ตอนที่ 243 บัลลังก์ของผู้ใด
“เสด็จอาโยวอ๋อง” หวาหรงจวิ้นจู่เดินเข้าไปหาเยี่ยโยวเหยา “เสด็จอาทรงทราบดีว่า ในปีนั้นเสด็จปู่โปรดปรานเสด็จอายิ่งนัก ทั้งพระองค์ยังแอบมอบป้ายบัญชาขุนศึกเทพเผ่าวิหคแก่เสด็จอา ทว่าเพราะเหตุใด เสด็จปู่ถึงไม่ได้มอบแผ่นดินแคว้นจงหนิงให้เสด็จอา แต่กลับมอบบัลลังก์ให้เสด็จพ่อ? ”
ทุกคนต่างตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง โยวอ๋องสามารถควบคุมตระกูลหลานแห่งเผ่าวิหคได้ เพราะเขามีป้ายบัญชาขุนศึกเทพเผ่าวิหค ที่แท้อดีตฮ่องเต้ทรงมีป้ายบัญชาขุนศึกเทพเผ่าวิหคอยู่แล้ว และได้ส่งมอบให้แก่โยวอ๋อง
ทว่าในเวลานี้ เรื่องที่พวกเขาให้ความสนใจมากกว่าคือคำพูดที่หวาหรงจวิ้นจู่ยังไม่ได้พูดออกมา อดีตฮ่องเต้โปรดปรานโยวอ๋อง ทว่าเหตุใดถึงไม่มอบบัลลังก์ให้โยวอ๋องเล่า?
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังคงเยือกเย็นสุขุม ไม่แสดงความผิดปกติใดๆ ทำให้มองไม่ออกว่าภายในใจของเขาคิดเช่นไร เยี่ยโยวเหยาเป็นดั่งเทพสวรรค์ที่จุติลงมา เขาทำเพียงนั่งอย่างสงบ ปิดเปลือกตา และไม่ตอบคำถามของหวาหรงจวิ้นจู่
อย่างไรก็ตาม หวาหรงจวิ้นจู่ก็ไม่ต้องการให้เยี่ยโยวเหยาตอบคำถามนี้
นางยืดตัวตรง มองดูผู้คนโดยรอบด้วยแววตาที่มืดสนิทไร้แวว ไม่ต่างอันใดกับดวงตาของคนที่ตายไปแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” จู่ๆ นางก็หัวเราะเสียงเย็นชาราวกับปีศาจร้าย จากนั้นก็หันสายตาไปจับจ้องที่องค์ไทเฮา
ไทเฮาต้องการพูดอันใดบางอย่าง พระองค์ต้องการขัดขวาง ทว่าไม่สามารถทำอันใดได้แล้ว
“ความจริงแล้ว… ไม่ใช่ว่าอดีตฮ่องเต้ไม่ได้มอบบัลลังก์ให้โยวอ๋อง ทว่ามีคนชิงบัลลังก์ไป”
“ชิงบัลลังก์หรือ? ”
เกิดอันใดขึ้น?
ทุกคนอดหันไปมององค์ไทเฮาไม่ได้
พระเนตรทั้งสองขององค์ไทเฮามองขึ้นไปบนเพดานของตำหนักว่านโซ่ว พระองค์ประทับอยู่บนพระที่นั่งด้วยความสิ้นหวัง
สายเกินไปเสียแล้ว
“แย่งชิงบัลลังก์? หวาหรงจวิ้นจู่ เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่? ในปีนั้นพวกกระหม่อมต่างอยู่ที่ตำหนักเฉิงเฉียน กระหม่อมได้เห็นตราลัญจกรถ่ายทอดพระราชอำนาจ ทั้งอดีตฮ่องเต้ยังตรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองว่า ทรงมอบบัลลังก์นี้ให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน! ” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถามขึ้น
“หวาหรงจวิ้นจู่ แม้วันนี้พระองค์จะเสียพระทัยมาก ทว่าพระองค์ไม่ควรพูดจาเหลวไหล! ” แม่ทัพอวี่เหวินพูดขึ้น
เขาเป็นผู้เดียวในราชสำนักที่อยู่ฝ่ายฮ่องเต้
“หึ หากขุนนางทุกท่านไม่เชื่อ ก็ไปตรวจสอบดูเถิด พระราชโองการในปีนั้น ที่อดีตฮ่องเต้ทรงมอบบัลลังก์ให้เสด็จอาโยวอ๋อง ยังอยู่ที่ตำหนักว่านโซ่ว ใต้แท่นบรรทมในห้องบรรทมขององค์ไทเฮา! ”
ขณะที่พูด หวาหรงจวิ้นจู่ก็หันไปมองเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใด และไม่แสดงท่าทีอันใด
เจ้ากรมกลาโหมจึงรีบสั่งให้ทหารเข้าไปตรวจสอบทันที
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจริงอย่างที่หวาหรงจวิ้นจู่พูดไว้ นายทหารพบพระราชโองการฉบับหนึ่งจริงๆ
เจ้ากรมกลาโหมนำมามอบให้เยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยามองดูรอบหนึ่ง ก่อนจะคืนให้เจ้ากรมกลาโหม เมื่อเห็นว่าเยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด เจ้ากรมกลาโหมจึงมอบพระราชโองการฉบับนั้นให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทุกคนได้ดู
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ได้ดูพระราชโองการต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ
โดยเฉพาะแม่ทัพอวี่เหวิน “หวาหรงจวิ้นจู่ พระราชโองการฉบับนี้เป็นของปลอมใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ พระราชโองการที่พวกเราเห็นที่ตำหนักเฉิงเฉียนในตอนนั้น หมายความว่าอย่างไร? ในเวลานั้นอดีตฮ่องเต้ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ไม่ใช่หรือ! ”
“แม่ทัพอวี่เหวิน ท่านทราบได้อย่างไรว่า อดีตฮ่องเต้ที่พวกท่านเห็นในตอนนั้น เป็นตัวจริง? ”
คำพูดเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร?
ไม่เพียงแต่แม่ทัพอวี่เหวินเท่านั้น กระทั่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็มีท่าทีสงสัย
“หวาหรงจวิ้นจู่ สิ่งที่พระองค์พูด หมายความว่าอย่างไร? ” ขุนนางผู้หนึ่งถามขึ้น
“ความหมายของข้าคือ เสด็จปู่ที่มอบราชบัลลังก์ให้เสด็จพ่อของข้าเป็นตัวปลอม ในตอนนั้น เสด็จปู่ตัวจริงได้สวรรคตแล้ว พระองค์ถูกเสด็จพ่อลอบวางยาพิษ ขณะที่เสด็จประพาสดินแดนทางใต้”
เวลานั้นอดีตฮ่องเต้ทรงสวรรคตแล้ว? ในตอนนั้น คนที่พวกเขาเห็น คือผู้ที่แปลงโฉมมาหรือ?
เป็นไปไม่ได้?
“หวาหรงจวิ้นจู่ สิ่งที่ท่านพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ? ”
“ใช่แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พระองค์จะกล่าววาจาเหลวไหลไม่ได้! ”
“หวาหรงจวิ้นจู่ ท่านไม่ได้สร้างเรื่องเหล่านี้มาหลอกพวกเราใช่หรือไม่? ”
น่าเสียดาย หวาหรงจวิ้นจู่ไม่ได้ตอบคำถามอันใด
นางหันหลังไปมองไทเฮาอย่างเชื่องช้า
หลังจากผ่านการอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ในเวลานี้ อารมณ์ของหวาหรงจวิ้นจู่ก็สงบนิ่งขึ้นมาก
หวาหรงจวิ้นจู่ยืนมองไทเฮาอยู่เช่นนั้นด้วยความเงียบงัน… แววตาของนางค่อยๆ มั่นคงขึ้น จากนั้นนางก็เดินเข้าไปหาไทเฮาอย่างเชื่องช้า
“เสด็จย่าเพคะ” หวาหรงจวิ้นจู่ค่อยๆ คุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์องค์ไทเฮา “พวกเขาต่างถามหวาหรงว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เสด็จย่าตอบพวกเขาได้หรือไม่ว่า หวาหรงไม่ได้กล่าวเท็จ? ”
ไทเฮาเหมือนคนเป็นอัมพาต พระวรกายสั่นเทาอยู่ตลอดเวลา พระเนตรจ้องมองหวาหรงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งพระพักตร์ยังบูดบึ้ง พระองค์ต้องการพูดอันใดบางอย่าง ทว่ากลับพูดไม่ออก
“เสด็จย่า” หวาหรงจวิ้นจู่ยื่นมือไปลูบไล้พระเกศาขาวโพลนของไทเฮาอย่างอ่อนโยน “ความจริงหลานทราบดี เรื่องหลวงจีนทุศีลกับยาปลุกกำหนัด เสด็จย่าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหลาน เสด็จย่าตั้งใจวางแผนทำร้ายซูจิ่นซีจริงๆ ทว่าสวรรค์กลั่นแกล้ง ชะตาพลิกผัน ความโชคร้ายกลับตกลงมาที่ตัวหลาน” ขณะที่พูด น้ำตาของนางก็ไหลพรั่งพรูดั่งสายน้ำ “ทว่าจะทำอย่างไรได้? เสด็จย่า หวาหรงเกลียดท่าน หวาหรงเกลียดท่านยิ่งนัก… เกลียดจนต้องการให้เสด็จย่าสิ้นพระชนม์อยู่ทุกลมหายใจ”
ไทเฮาจ้องมองหวาหรงจวิ้นจู่ด้วยพระเนตรเบิกโพลง พระโอษฐ์กระตุกไม่หยุด ไทเฮายกพระหัตถ์ขึ้น คิดจะหยิกหวาหรงจวิ้นจู่อย่างสุดกำลัง ทว่าพระองค์กลับยกพระหัตถ์ขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อย ก่อนจะร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
ทันใดนั้น ด้านนอกตำหนักว่านโซ่วพลันเกิดหิมะตกหนัก เตาไฟที่วางอยู่ในตำหนักถูกเพิ่มเชื้อเพลิงเข้าไปจนไฟลุกโชน บางครั้งถ่านหินก็เกิดเสียงปะทุดังเปรี๊ยะ เปรี๊ยะ กลายเป็นเสียงสะท้อนภายในตำหนักที่เงียบสงัด ทำให้เสียงของหวาหรงจวิ้นจู่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างมากยิ่งขึ้น
“เสด็จย่า ท่านยังจำเรื่องในตำหนักของเหลียงอ๋องปีนั้นได้หรือไม่? พระสนมเสวี่ยถูกเสด็จย่าใช้มีดค่อยๆ หั่นนางทั้งเป็น”
เหลียงอ๋องคือ ตำแหน่งของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก่อนที่จะขึ้นครองราชย์
ไทเฮาเบิกพระเนตรกว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ปีนั้นหลานแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้า หลานเห็นเสด็จย่าใช้มีด ค่อยๆ เฉือนเนื้อเสด็จแม่ของหลาน ทีละชิ้น ทีละชิ้น จนกระทั่งสิ้นใจ เลือดกระจัดกระจายไปหมด บาดแผลลึกจนเห็นไปถึงกระดูก เลือดของเสด็จแม่ไหลรินดั่งสายน้ำ ทั้งยังไหลเข้ามาในตู้เสื้อผ้า เปรอะเปื้อนหลานไปทั้งตัว”
หวาหรงจวิ้นจู่พูดพลางหยิบมีดพกออกมาจากแขนเสื้อที่ยุ่งเหยิง นางใช้มีดพกแทงเข้าไปบนร่างของไทเฮา ครั้งแล้ว ครั้งเล่า พร้อมกับบรรยายเหตุการณ์ในปีนั้น
แม่ทัพอวี่เหวินคิดจะเข้าไปขัดขวางนาง ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาชักสีหน้าห้ามปราม เยี่ยโยวเหยาสั่งให้คนมาขวางแม่ทัพอวี่เหวินไว้ ส่วนคนที่เหลือ ไม่มีผู้ใดกล้าออกไปขัดขวางหวาหรงจวิ้นจู่แม้แต่คนเดียว
มีดพกในมือของหวาหรงจวิ้นจู่ยังแทงเข้าไปที่ร่างของไทเฮาไม่หยุด
“ตอนนั้นหลานคิดว่า ร่างกายของคนผู้หนึ่ง เหตุใดถึงมีเลือดไหลออกมาได้มากมายเพียงนี้ เหตุใดเลือดนั้นถึงแสบตาเพียงนี้ สักวันหนึ่ง หากคมมีดที่เฉือนบนร่างกายของเสด็จแม่ได้เฉือนลงบนร่างของคนผู้นั้น หรือก็คือเสด็จย่า ท่านจะมีเลือดไหลออกมาได้มากมายถึงเพียงนั้นหรือไม่? ”
ไทเฮาทรงกริ้วจนสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว ทว่าหวาหรงจวิ้นจู่ยังบรรยายเหตุการณ์ต่อไป และไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามปรามสักคน
“ในตอนนั้น ท่านสังหารเสด็จแม่ของหลาน เพราะเสด็จแม่รู้ความจริงว่า ท่านวางยาพิษเฉินไท่เฟย เสด็จแม่รู้ว่าเสด็จปู่ทรงสวรรคตไปนานแล้ว และนางยังรู้ถึงแผนการทั้งหมดของท่านกับเสด็จพ่อ แต่ท่านคงคิดไม่ถึงว่า คนที่รู้เรื่องนี้ยังมีหลานอีกคน ท่านคงคิดไม่ถึงใช่หรือไม่ว่า พระธิดาของพระสนมเสวี่ยที่ถูกท่านตามฆ่า วันหนึ่งจะกลับเข้ามาในพระราชวังแห่งนี้ กลับมาอยู่ข้างกายท่านเพื่อรอเวลาล้างแค้น? ”
“อ้า… ”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น หวาหรงจวิ้นจู่ใช้มีดพกด้ามนั้นแทงไปที่ท้องของตน
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปสักคน
พวกเขาทำเพียงยืนมองเลือดของหวาหรงจวิ้นจู่ค่อยๆ ไหลออกมาจากร่างของนาง ผสมรวมกับเลือดของไทเฮา เลือดนั้นไหลเจิ่งนองเต็มตำหนักว่านโซ่วราวกับแอ่งน้ำ
หวาหรงจวิ้นจู่ล้มฟุบลงบนแอ่งเลือดนั้น ดวงตาทั้งสองของนางจับจ้องไปบนเพดาน ไม่รู้ว่าตอนที่นางกำลังจะตาย นางมองเห็นสิ่งใด มุมปากจึงเผยรอยยิ้มออกมาแผ่วเบา
“เสด็จแม่ เจ็บมาก… หวาหรงเจ็บยิ่งนัก… ”