สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 9 ตอนที่ 262 สำนักของท่านอวิ๋นจิ่น
เดิมทีเรื่องปล่อยตัวหลวงจีนทุศีลกับฮองเฮา ซูจิ่นซีทำไปเพราะต้องการสืบให้แน่ชัดถึงสาเหตุการเสียชีวิตและสถานะที่แท้จริงของมารดานาง นางไม่ควรปกปิดเรื่องนี้กับเยี่ยโยวเหยา ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ภายในส่วนลึกในใจของนางรู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่ควรให้เยี่ยโยวเหยาทราบ
แท้จริงแล้ว หากบอกไปตามตรงก็ไม่เป็นอันใด
ซูจิ่นซีรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และไปที่ศาลาร่มเย็นอีกครั้ง
เวลานี้เป็นเวลาอาหารค่ำพอดี แม่นมฮวาจัดสำรับอาหารทั้งหมดไปที่ศาลาร่มเย็นแล้ว ชุดเครื่องเสวยบนโต๊ะอาหารยังเป็นชุดคู่รักเหมือนเดิม
ทว่าด้านข้างมีคนเพิ่มมาอีกคนคือ หมอเทวดาหวา
“กระหม่อมคำนับพระชายา” หมอเทวดาหวาแสดงความเคารพซูจิ่นซี
ครั้นเมื่อเห็นหมอเทวดาหวา ซูจิ่นซีก็เข้าใจในทันทีว่าตนคิดมากเกินไป ก่อนหน้านี้นางเคยเอ่ยปากขอหมอเทวดาหวากับเยี่ยโยวเหยา ในเวลานั้นเยี่ยโยวเหยารับปาก และบอกว่าอีกสองสามวันจะพาหมอเทวดาหวามาพบตามที่ตกลง
เรื่องที่เยี่ยโยวเหยาพูดเมื่อครู่นี้ คงเป็นเรื่องของหมอเทวดาหวา ไม่ใช่เรื่องอื่น หากเป็นเช่นนี้จริง ซูจิ่นซีก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
“หมอเทวดาหวา ไม่ต้องมากพิธี” ซูจิ่นซีพูดจบ ก็เดินเข้าไปในศาลาร่มเย็น และนั่งลงฝั่งตรงข้ามเยี่ยโยวเหยา
“หมอเทวดาหวา แต่นี้ต่อไปเจ้าติดตามพระชายา เจ้าคงรู้ดีว่า เรื่องใดควรทำ เรื่องใดไม่ควรทำ”
นอกจากหนานกงลั่วอวิ๋น ก็มีเพียงหมอเทวดาหวาผู้เดียวที่อยู่ใกล้ตัวเยี่ยโยวเหยา และทราบเรื่องหมุดกร่อนรัก อีกทั้งก่อนหน้านี้ เขาเคยกล่าวทัดทานให้เยี่ยโยวเหยาอยู่ห่างจากซูจิ่นซี หรือไม่ก็กำจัดนางเสีย ทว่าเวลานี้เยี่ยโยวเหยากลับมอบเขาให้ซูจิ่นซี เช่นนี้จะอันตรายเกินไปหรือไม่
แม้เขาจะไม่พูดเรื่องหมุดกร่อนรักกับซูจิ่นซี แต่ยากที่จะรับประกันได้ว่า เขาจะไม่เป็นเหมือนฉินเทียน ที่ตัดสินใจลงมือกับซูจิ่นซีด้วยตนเอง
“ฝ่าบาทวางพระทัย หลายวันมานี้ กระหม่อมได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว หากไม่ใช่พระคุณของฝ่าบาทและโอกาสที่พระชายามอบให้ กระหม่อมคงไปอยู่ที่ปรโลกแล้ว ต่อไปกระหม่อมจะจงรักภักดี รับใช้พระชายาด้วยชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีไม่รู้เรื่องที่เยี่ยโยวเหยาคุมขังหมอเทวดาหวาในคุกมืดของวิหารวิญญาณ ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่นางเข้าใกล้หมอเทวดาหวา ระบบถอนพิษได้ตรวจพบว่า ภายในร่างกายของหมอเทวดาหวามีสมุนไพรจำนวนมหาศาล คงเป็นผลจากการใช้สมุนไพรจำนวนมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางพูดว่า “หมอเทวดาหวา ท่านเป็นอันใดหรือ? ท่านบาดเจ็บที่ใด? ”
ขณะที่ติดอยู่ในคุกมืด หมอเทวดาหวาถูกลงทัณฑ์ไปไม่น้อย หลายวันมานี้เขาทานยาเพื่อฟื้นฟูร่างกายไปเป็นจำนวนมาก แต่เขารีบพูดปิดบังว่า “หลายวันก่อน นักฆ่าของแคว้นไหวเจียงจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาที่วิหารวิญญาณ ขณะที่ต่อสู้กัน กระหม่อมได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เป็นอันใดมาก ขอบพระทัยพระชายาที่เป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว สองสามวันนี้ท่านพักฟื้นให้ดี หลังจากนี้ ข้ามีเรื่องต้องรบกวนท่าน”
“เรื่องหอโอสถของสกุลซู ท่านอ๋องได้พูดกับกระหม่อมบ้างแล้ว ร่างกายของกระหม่อมไม่เป็นอันใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้ก็สามารถไปช่วยที่หอโอสถได้”
เดิมทีซูจิ่นซีต้องการให้หมอเทวดาหวาพักฟื้นอีกสักหน่อย เพราะผลการวิเคราะห์ตามปริมาณยาภายในร่างกายของหมอเทวดาหวา แสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้เล็กน้อยเหมือนที่เขาพูด
วิชาแพทย์ของหมอเทวดาหวาไม่ธรรมดา และซูจิ่นซีก็ถนัดด้านวิชาพิษ ทว่านางเชี่ยวชาญด้านวิชาแพทย์เพียงครึ่งเดียว ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหมอเทวดาหวา นางจึงไม่พูดอันใดมาก
ตามทักษะวิชาแพทย์ของหมอเทวดาหวา เขาย่อมรู้ตัวเองดีกว่าผู้อื่น
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง
“หมอเทวดาหวา ก่อนหน้านี้ข้าได้ตรวจชีพจรให้กับท่านอ๋อง พบว่าท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บภายใน แม้ข้าจะฝังเข็มให้แล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น ในเมื่อวันนี้มีหมอเทวดาหวาอยู่ เช่นนั้นท่านตรวจชีพจรให้ท่านอ๋องดีหรือไม่? ”
หมอเทวดาหวาได้ยินก็ทราบในทันที สิ่งที่ซูจิ่นซีพูดถึงคือ อาการผลสะท้อนกลับของหมุดกร่อนรักที่อยู่ในร่างกายของเยี่ยโยวเหยา แต่ไม่ว่าอย่างไร ท่านอ๋องก็ไม่ต้องการให้พระชายาทราบเรื่องหมุดกร่อนรัก ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของซูจิ่นซี หมอเทวดาหวาจึงแน่ใจได้ทันทีว่า ซูจิ่นซีไม่ทราบเรื่องหมุดกร่อนรัก
หมอเทวดาหวาหันไปมองเยี่ยโยวเหยาด้วยใบหน้าลังเลเล็กน้อย พบว่าเยี่ยโยวเหยายังคงมีแววตาเคร่งขรึม เขามองไปยังมือที่กำลังถูจอกน้ำชาด้วยความสนใจ ความหมายชัดเจนมากว่า ต้องการให้หมอเทวดาหวาจัดการด้วยตนเอง
หมอเทวดาหวาพูดอธิบายด้วยความระมัดระวัง “พระชายาโปรดวางพระทัย ก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่วิหารวิญญาณ กระหม่อมได้ตรวจชีพจรของท่านอ๋องแล้ว โรคเก่าของท่านอ๋องมักจะกำเริบในช่วงเวลานี้ของทุกปี อาการจะกำเริบรุนแรง ทว่าจะหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน กระหม่อมได้จัดยาให้ท่านอ๋องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อไปกระหม่อมจะเฝ้าสังเกตอาการของท่านอ๋องอย่างระมัดระวังกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ซูจิ่นซีจึงวางใจ แม้จะไม่รู้ว่าหากเทียบวิชาแพทย์ของหมอเทวดาหวากับอวิ๋นจิ่นแล้วจะเป็นเช่นไร ทว่าเขาเป็นคนของเยี่ยโยวเหยา ความสามารถย่อมไม่ด้อยเป็นแน่ ในเมื่อมีหมอเทวดาหวาเป็นคนดูแล ซูจิ่นซีก็ไม่ต้องให้อวิ๋นจิ่นตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยาแล้ว
อย่างไรเสีย เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้ชื่นชอบอวิ๋นจิ่นมากนัก
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของอวิ๋นจิ่นก่อนหน้านี้ ที่กล่าวถึงเรื่องบาดแผลบนแขนซ้ายหรือมือซ้ายของเยี่ยโยวเหยาอีก เพราะนางได้ตรวจดูร่างกายของเยี่ยโยวเหยาแล้ว และไม่พบอันใด
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ฮูหยินปี้กับซูอวี้พักอยู่ที่จวนโยวอ๋อง หมอเทวดาก็พักอยู่ที่นี่เช่นกัน เขาอยู่สอนวิชาแพทย์ให้กับซูอวี้ ครั้งนั้นพ่อบ้านเคยเตรียมที่พักให้เขาแล้ว ดังนั้นตอนนี้หมอเทวดาหวาจึงพักอยู่ที่เดิม
หลังจากนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้พูดอันใด และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ซูจิ่นซีไปจวนของรองเจ้ากรมหลี่
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่ทราบว่า เยี่ยโยวเหยาให้ความสนใจกับเรื่องที่นางไปจวนรองเจ้ากรมหลี่
ในที่สุด วันนี้ก็ผ่านไป
วันที่สอง ซูจิ่นซีไปที่จวนอวิ๋น
นางไปหาอวิ๋นจิ่นในครั้งนี้ ไม่ได้มาถามเรื่องอาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยา ทว่าต้องการเชิญอวิ๋นจิ่นไปช่วยเหลือที่หอโอสถของสกุลซูสักสองสามวัน แม้จะมีหมอเทวดาหวาแล้ว แต่หอโอสถทั้งเจ็ดแห่งของสกุลซูยังขาดคนช่วย นางมาหาอวิ๋นจิ่นเพื่อขอความช่วยเหลือ ซูจิ่นซีพิรี้พิไรอยู่นาน ทว่าไม่ทันเอ่ยปาก
พ่อบ้านสกุลอวิ๋นก็บอกกับซูจิ่นซีว่า อวิ๋นจิ่นไม่อยู่ที่จวน เขากลับไปยังสำนักเพื่ออวยพรวันเกิดให้อาจารย์
“สำนัก? หมอหลวงอวิ๋นมาจากสำนักใดหรือ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงเลย? ”
อวิ๋นจิ่นค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองตี้จิง อีกทั้งรูปร่างหน้าตายังหล่อเหลาไม่น้อย หากเขามีสำนัก ทุกคนต้องล่ำลือกันนานแล้วไม่ใช่หรือ
“พระชายาคงไม่ทราบ นายท่านของพวกเรามาจากสำนักแพทย์ตระกูลจงแห่งแคว้นหนานหลี แม้หลายปีมานี้แคว้นหนานหลีกับแคว้นจงหนิงจะไม่เคยก่อสงครามระหว่างกัน ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นคนต่างเมือง หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปอาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้ ดังนั้นผู้ที่รู้เรื่องนี้จึงมีน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นจิ่นเป็นศิษย์สำนักแพทย์ตระกูลจงแห่งแคว้นหนานหลี
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบอยู่นาน ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอันใด
“พระชายาโปรดวางพระทัย ตอนที่นายท่านเข้าสำนักหมอหลวง ฝ่าบาททรงทราบแล้วว่านายท่านเป็นคนของแคว้นหนานหลี และทรงทราบดีว่านายท่านของพวกเราต้องการสร้างชื่อเสียงและอยู่อย่างสงบ ความขัดแย้งของทั้งสองแคว้น นายท่านไม่เคยเข้าไปมีส่วนร่วม”
เช่นนี้ก็เยี่ยมไปเลย
ชั่วขณะหนึ่ง ซูจิ่นซีคิดว่าอวิ๋นจิ่นเป็นเหมือนฮองเฮา เป็นบุคคลที่ราชสำนักของแคว้นหนานหลีส่งตัวมา
อย่างไรเสีย จากคำพูดของฮองเฮา ทำให้ซูจิ่นซีทราบว่า ระหว่างแคว้นหนานหลีกับแคว้นจงหนิง แม้ภายนอกจะดูสันติ ทว่าเบื้องหลังกลับไม่สงบเงียบ
อวิ๋นจิ่นไม่อยู่ที่แคว้นจงหนิง และไม่รู้ว่าเมื่อใดจะกลับมา ทว่าเรื่องหอโอสถสกุลซูจะล่าช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว หากล่าช้าไปหนึ่งวัน ก็จะสูญเสียเงินไปอีกหนึ่งวัน เวลานี้ล่าช้าไปหลายวันแล้ว หากยังหาหมอที่เหมาะสมมาอยู่ประจำที่หอโอสถไม่ได้ เกรงว่ารายจ่ายคงมากกว่ารายรับเป็นแน่ ตามสถานภาพของสกุลซูในปัจจุบัน เกรงว่าจะยืนหยัดอยู่ได้ไม่นาน
นางควรตามหาผู้ใด?
จิ่วหรง!
ซูจิ่นซีนึกถึงจิ่วหรง ทว่าจิ่วหรงเป็นดั่งเทพมังกร ไปมาไร้ร่องรอย นางไม่พบจิ่วหรงนานมากแล้ว กระทั่งครั้งนั้นที่ฮูหยินปี้ได้รับบาดเจ็บ พ่อบ้านก็ไม่สามารถตามตัวเขาพบ
อีกทั้งซูจิ่นซียังรู้สึกว่า จิ่วหรง… บุรุษผู้นี้ดูแปลกประหลาด ทุกครั้งที่ปรากฏตัว เขาดูสนิทสนมกับนางมาก ทว่าในความทรงจำของนาง กลับจำไม่ได้ว่าเขาคือผู้ใด
การเอ่ยปากกับคนที่ไม่คุ้นเคย ซูจิ่นซีคิดว่าไม่ค่อยเหมาะสมนัก
ทว่าขณะที่ซูจิ่นซีกลับมาถึงจวนโยวอ๋อง จวนสกุลซูก็ส่งคนมาพบนาง ท่าทางผู้ที่มาดูลนลาน ใบหน้าปรากฏความร้อนใจ
เกิดเรื่องอันใดขึ้น?
หรือว่าจวนสกุลซูจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว?