สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 9 ตอนที่ 266 ลวี่หลีแปดคน
ภายใต้แสงไฟ ดวงตาเคร่งขรึมของเยี่ยโยวเหยาดูเยือกเย็นผิดปกติ เขาพูดเสียงเย็นชาว่า “โดยเฉพาะพระชายา”
นึกไม่ถึงว่า นางกล้าแอบไปพบขุนนางผู้ใหญ่ลับหลังเขา เขาต้องการดูว่าซูจิ่นซี สตรีนางนี้คิดจะทำอันใด?
วันนี้เยี่ยโยวเหยาอยู่ที่พระราชวังตลอด ไม่ได้กลับจวน
แสงสว่างในเรือนอวิ๋นไคดับลงก่อนเวลาปกติ
ยามโหย่ว [1] ลวี่หลีลุกลี้ลุกลนเดินออกจากเรือนอวิ๋นไค รีบเร่งออกไปจากจวนโยวอ๋อง
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีลวี่หลีอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากเรือนอวิ๋นไค และรีบเร่งออกไปทางประตูข้างจวนโยวอ๋องเช่นกัน
ภายในเรือนชิงโยว องครักษ์สองนายที่ได้รับคำสั่งจากเยี่ยโยวเหยาให้แอบสะกดรอยตามซูจิ่นซี เกิดความสับสนเล็กน้อย
“เอ๊ะ เมื่อครู่ข้าเห็นอย่างชัดเจนว่า แม่นางลวี่หลีเพิ่งออกจากประตูหน้า เหตุใดยังเห็นแม่นางลวี่หลีอีกคน หรือว่าข้าตาฝาด? ”
“ข้าก็เห็นเหมือนกัน”
“ใช่ เหตุใดถึงมีแม่นางลวี่หลีสองคน? ”
องครักษ์ยื่นศีรษะมองไปที่เรือนอวิ๋นไค ทว่าหน้าต่างมืดสนิท มองไม่เห็นอันใด
เวลานี้หัวหน้าองครักษ์เดินเข้ามาพอดี เขาตบไปที่ศีรษะขององครักษ์นายนั้นหนึ่งที “พระชายาทรงพักผ่อนแล้ว เจ้ากล้าชำเลืองตามอง อยากตายหรือ? ”
องครักษ์ผู้นั้นแสดงท่าทีเหมือนถูกปรักปรำ และพูดว่า “ลูกพี่ เมื่อครู่พวกเราเห็นแม่นางลวี่หลีสองคนแยกกันออกไปทางประตูหน้าและประตูหลัง”
“สองคน? ”
“ใช่ พวกเราเห็นอย่างชัดเจน เวลาที่ทั้งสองคนเดินออกไปห่างกันไม่ถึงสองกาน้ำชาเดือด”
“แย่แล้ว เป็นไปได้ว่าพระชายาออกไปแล้ว”
“กระไรนะ? พระชายา… พระชายาหายตัวไปแล้ว? ”
สองวันนี้ ท่านอ๋องให้พวกเขาสะกดรอยตามพระชายา เพื่อดูว่าพระชายาทำเรื่องอันใดกันแน่ จู่ๆ พวกเขาก็หาตัวพระชายาไม่พบ ซวยแล้ว
“ยังไม่รีบตามไปอีก! ” หัวหน้าองครักษ์ตบไปที่ศีรษะของพวกเขาสองที
“ไปไปไป ลูกพี่ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบทั้งสองคนก็แยกกันปฏิบัติการ คนหนึ่งไปทางประตูกลางของจวนโยวอ๋อง ส่วนอีกคนหนึ่งไปทางประตูข้าง
หัวหน้าองครักษ์กระโดดลงจากเรือน ไปเคาะประตูห้องของแม่นมฮวา คืนนี้ซูจิ่นซีเข้านอนเร็ว ดังนั้นแม่นมฮวาจึงเข้านอนเร็วด้วย ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด หัวหน้าองครักษ์เคาะประตูอยู่นาน แม่นมฮวาก็ไม่ตื่น เขาจึงกระแทกประตูเข้าไป
พบว่าแม่นมฮวายังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
แม่นมฮวาเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระราชวัง เวลาปกติจึงตื่นตัวและระมัดระวังอย่างมาก เหตุใดเรียกเสียงดังเช่นนี้แล้วยังไม่ยอมตื่นอีก?
หรือว่า… ถูกคนวางยาพิษ?
หัวหน้าองครักษ์เดินไปที่ประตูทางออก และเรียกองครักษ์มาหนึ่งนาย “ไปเชิญหมอเทวดาหวามาเดี๋ยวนี้”
ผ่านไปครู่หนึ่ง หมอเทวดาหวาที่สะพายกล่องยาไว้ด้านหลังก็มาถึง
หลังจากที่หมอเทวดาหวาตรวจอาการของแม่นมฮวาอย่างละเอียด ดวงตาพลันส่องประกายด้วยความสับสน
“หมอเทวดาหวา เกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
“อาจทานอาหารผิดสำแดงจึงทำให้หมดสติไป ข้าจะฝังเข็มให้แม่นมสักหน่อย”
“ทานอาหารผิดสำแดงหรือ? หมอเทวดาหวา ท่านแน่ใจนะว่า นางไม่ได้ถูกพระชายาวางยาพิษ? ”
หมอเทวดาหวารีบชักสีหน้าใส่ และพูดว่า “องครักษ์ อาหารรับประทานตามอำเภอใจได้ ทว่าคำพูดนั้นไม่สามารถพูดตามอำเภอใจได้ กล่าวร้ายพระชายานั้นเป็นเรื่องใหญ่ เชื่อว่าองครักษ์อย่างเจ้าคงรับผิดชอบไม่ไหว”
องครักษ์มีท่าทีสับสน ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่จึงไม่พูดจา
แท้จริงแล้ว ตอนที่หมอเทวดาหวาตรวจอาการแม่นมฮวา เขาก็มองออกแล้วว่า นี่เป็นการกระทำของซูจิ่นซี ทว่าตอนนี้เยี่ยโยวเหยามอบเขาให้ซูจิ่นซีแล้ว ตอนนี้เขาเป็นคนของซูจิ่นซี เขาต้องจงรักภักดีต่อเจ้านาย เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องรับผิดชอบแทนเจ้านายของตน
ทว่าความเมตตาของท่านอ๋องที่มีต่อเขาก็ไม่อาจลืมเลือน หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หมอเทวดาหวาจึงตัดสินใจรับผิดชอบเรื่องนี้แทนซูจิ่นซี โดยใช้วิธีฝังเข็มรักษาแม่นมฮวาก่อน
วิธีการฝังเข็มมีหลายวิธี บ้างก็ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เห็นผลการรักษาทันที ทว่าบางวิธีต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
หมอเทวดาหวาเลือกใช้วิธีหลัง หวังว่าตอนที่แม่นมฮวาฟื้นขึ้นมา พระชายาจะจัดการเรื่องที่ต้องทำใกล้เสร็จแล้ว เช่นนี้เขาก็ไม่ผิดต่อเจ้านายของตน และไม่ละเมิดต่อความไว้ใจของท่านอ๋องที่มีต่อเขา
นอกจากนี้ องครักษ์ที่แยกกันออกจากประตูหน้าและ ประตูหลังของจวนโยวอ๋องเพื่อไล่ตามลวี่หลี ‘สองคน’ นั้น ไม่นานพวกเขาก็ตาม ลวี่หลี ‘สองคน’ ได้ทัน พวกเขาไม่ได้เข้าไปขวาง ทำเพียงแอบสะกดรอยตาม
สุดท้ายลวี่หลีทั้งสองคนก็ไปถึงเรือนฮั่นเซียงในจวนสกุลซู อย่างไรก็ตาม พวกเขาคาดไม่ถึงว่า หลังจากที่ลวี่หลีทั้งสองคนเข้าไปที่เรือนฮั่นเซียงทางประตูหน้าแล้ว อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมาจะมีลวี่หลีอีกแปดคนเดินออกมา ก่อนจะแยกกันออกไปทางประตูกลาง ประตูหลัง และประตูข้าง
พวกเขามีเพียงสองคน ควรสะกดรอยตามผู้ใด?
หากรู้เสียแต่ทีแรก พวกเขาไม่น่าคิดวางแผนระยะยาวเพื่อตกปลาตัวใหญ่ ก่อนหน้านี้ที่ไล่ตามทัน พวกเขาควรรีบเข้าไปขวางไว้
“ทำอย่างไรดี? ” องครักษ์ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“ช่างมัน พวกเรามาโยนเหรียญหัวก้อยกันดีกว่า หากออกหัว เจ้ากับข้าก็ไล่ตามประตูกลางและประตูหลังไป หากออกก้อยก็ไล่ตามไปทางประตูข้าง”
“ตกลง! ”
จากนั้น ทั้งสองคนก็หยิบเหรียญออกมาหนึ่งเหรียญเพื่อเสี่ยงทาย
องครักษ์ทั้งสองมองตามเหรียญที่ตกอยู่ในฝ่ามือ พวกเขามองหน้ากัน พลางพูดว่า “ไป ไล่ตาม! ”
ทันใดนั้น ทั้งสองก็แยกกันออกไปทางประตูหน้าและประตูหลัง
หลังองครักษ์ทั้งสองจากไปไม่นาน ประตูเรือนฮั่นเซียงก็เปิดออก ซูจิ่นซีสวมชุดรัดกุมสีดำเดินออกมาจากด้านใน โดยมีซูอวี้และฮูหยินปี้เดินตามมาด้านหลัง
“พระชายา หม่อมฉันให้องครักษ์ของจวนตรวจสอบแล้ว สองคนที่ตามท่านและลวี่หลีมานั้น ตอนนี้พวกเขาได้จากไปตามแผนลวงแล้ว”
“อืม”
ซูจิ่นซีพยักหน้า พลางรับหมวกฟางจากฮูหยินปี้มาสวมไว้บนศีรษะ
หมวกฟางมีสีดำ เป็นสีเดียวกับชุดที่ซูจิ่นซีสวมใส่ รอบหมวกฟางยังมีผ้าแพรสีดำปิดบังใบหน้า ยาวไปจนถึงเอวของซูจิ่นซี คลุมร่างของนางไว้อย่างแน่นหนา หากฮูหยินปี้และซูอวี้ไม่รู้มาก่อนว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือซูจิ่นซี พวกเขาคงไม่มีทางรู้ว่านางเป็นผู้ใด เดิมทีก็ดูไม่ออกอยู่แล้ว ยิ่งไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นหญิงหรือชาย
“พี่จิ่นซี ให้องครักษ์สองนายไปกับท่านเถิด! หากมีอันใดเกิดขึ้นยังช่วยท่านรับมือได้ ตามไปอย่างลับๆ ก็ได้”
เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะปฏิเสธ ด้วยเกรงว่าคนมากจะยิ่งทำให้เป็นที่สังเกต แต่สิ่งที่ซูอวี้พูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่มีวรยุทธ์ จะพบกับเหตุการณ์ผิดปกติอันใดหรือไม่นั้น นางก็ไม่อาจคาดเดาได้
“ได้! ”
ดังนั้น ซูอวี้จึงให้องครักษ์ฝีมือดีที่สุดในจวนสองนาย ติดตามไปปกป้องซูจิ่นซี
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็เดินทางออกจากประตูใหญ่ มุ่งหน้าไปทางคุกหลวงของกรมอาญา
ยามซวี [2] ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว เป็นเดือนสิบสองที่อากาศหนาวเหน็บยิ่งนัก ผู้คนที่เดินบนถนนดูบางตา บางครั้งเสียงสุนัขเห่าหอนก็ดังออกมาจากในตรอก
เตาอั้งโล่ขนาดใหญ่ถูกจุดไว้ที่ทางเข้าประตูคุกหลวง ซึ่งเป็นหน่วยงานตุลาการสูงสุดของแคว้นจงหนิง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เปลวไฟในวันนี้จึงสว่างเจิดจ้าเป็นพิเศษ เสียงปะทุของเปลวไฟดังอย่างชัดเจนราวกับเสียงประทัด สว่างไสวเต็มท้องฟ้า
ที่ประตูทางเข้ามีองครักษ์เฝ้าอยู่สี่นาย
แม้ไฟในเตาอั้งโล่จะลุกไหม้อย่างเพียงพอแล้ว ทว่าพวกเขายังรู้สึกหนาวจนต้องขยับเท้าคลายความหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง
“สภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้ นับวันยิ่งหนาวขึ้นทุกปี จำได้ว่าช่วงนี้ของปีที่แล้วยังไม่หนาวถึงเพียงนี้”
……
เชิงอรรถ
[1] ยามโหย่ว คือ ช่วงเวลาประมาณ 17:00 – 19:00 น.
[2] ยามซวี คือ ช่วงเวลาประมาณ 19:00 – 21:00 น.