สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 9 ตอนที่ 267 สามารถมองเห็นวิญญาณ
“ซานเอ๋อร์ ปีที่แล้ว ในเวลานี้เจ้ากับภรรยากำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันใช่หรือไม่? ภรรยาของเจ้าเพิ่งแต่งเข้ามาในเรือน ก็สั่งให้เจ้าลาพักแล้ว”
คนที่ชื่อซานเอ๋อร์เป็นชายหนุ่มอายุราวสิบเก้าปี ใบหน้าของเขาแดงก่ำ
ซานเอ๋อร์ไม่ได้พูดอันใด คนที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “ซานเอ๋อร์ เจ้าคงคิดถึงภรรยาใช่หรือไม่? ”
“ไม่มีทาง พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ” คนที่เหลืออีกสามคนหัวเราะจนท้องแข็ง หนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม ยังเหนียมอายอยู่อีกหรือ ซานเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าบอกพี่น้องของเราดูสิว่า ภรรยาของเจ้าน่ากิน หรือเสี่ยวหงที่หอชุนหงน่ากินกว่า? ”
“ภรรยาของเจ้ายังไม่เข้ามาอยู่ในเรือน เจ้าก็เที่ยวไปหอชุนหงไม่เว้นแต่ละวัน นี่ก็ผ่านมาปีกว่าแล้วไม่ใช่หรือที่เจ้าไม่ได้ไปหานางเลย? ไม่แน่ว่า ตอนนี้แม่นางชุนหงคงเฝ้าคิดถึงแต่เจ้า จนไม่เป็นอันกิน ไม่เป็นอันนอน… ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ”
“พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ไม่มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ ”
อย่างไรเสีย ซานเอ๋อร์ก็อายุยังน้อย เขาจะทนกับเรื่องน่าเวียนหัวเมื่อก่อนได้อย่างไร?
พวกเขาต่างหัวเราะ องครักษ์อายุมากนายหนึ่งเพิ่งสูบกล้องยาสูบที่ใต้สิงโตหินหน้าคุกหลวงเสร็จ เขาเหยียบก้อนขี้เถ้ายาสูบบนพื้น ก่อนจะเก็บกล้องยาสูบและเดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง
“พวกเจ้าตื่นตัวกันหน่อย ฝนไม่ตกมาหลายวันแล้ว อากาศก็แห้งมาก อย่าทำอันใดผิดพลาดเล่า ระวังหัวของพวกเจ้าด้วย”
“เฒ่าซุน เจ้าอย่าพูดจาข่มขู่พวกเราเลย เวลานี้ใกล้สิ้นปีแล้ว จะเกิดเรื่องอันใดได้? อีกอย่าง คุกหลวงในตอนนี้มีกลไกมากมาย แม้พวกหัวขโมยใจกล้าก็ไม่กล้าบุกเข้ามาแน่นอน! ”
“หึ เดินอยู่ริมแม่น้ำ มีหรือที่เท้าจะไม่เปียก [1] ยมบาลจะปล่อยผีออกมาวันใด ท่านปรึกษาพวกเจ้าด้วยหรือ? ”
เฒ่าซุนพูดพลางกุมดาบยาวของตนเองแน่น พลางยืนในตำแหน่งของตนด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อครู่เขาเพิ่งพูดถึงยมบาลปล่อยผี บนพื้นพลันมีลมเย็นพัดวูบขึ้นมา ทำให้ทั้งองครักษ์ทั้งสี่นายตกใจจนไม่กล้าพูดอันใดอีก
“โอ้ สวรรค์… ”
องครักษ์หนึ่งในนั้น แม้จะกลัวมาก ทว่ายังสบถด่าออกมาคำโต และยืนนิ่งอยู่ด้านข้างเฒ่าซุน
“เฒ่าซุน เจ้าว่า ยมบาลปล่อยผีออกมาจริงหรือไม่? ” องครักษ์อีกนายหนึ่งที่ยืนอย่างระแวดระวัง ตกใจกลัวจนใบหน้าซีดเผือด
“พวกเจ้าดูทางนั้น นั่น… ตรงนั้นคืออันใด? ”
ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนร้องตะโกนขึ้นมา ทว่าทุกคนต่างหันไปมองตามทางที่เขาชี้
หน้าประตูคุกหลวงเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ฝั่งตรงข้ามมีซอยเล็กๆ ที่สามารถจอดรถม้าได้หนึ่งคัน ตรงหัวมุมถนนมีโคมไฟอยู่ แม้ไม่ได้ทำให้ทั้งซอยสว่างไสว แต่ก็ทำให้เกิดแสงสลัวเลือนราง
ในเวลานี้ มีคนผู้หนึ่งเดินมาทางคุกหลวงอย่างเชื่องช้า แสงไฟสาดส่องลงบนร่างของคนผู้นั้น เสื้อผ้าของเขาพลิ้วไหวไร้ทิศทาง ลมเย็นบนพื้นพัดแรงขึ้น ขณะที่คนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
องครักษ์นายหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าคุกหลวง แข้งขาพลันอ่อนระทวย เนื้อตัวสั่นเทาไม่หยุด
“คนผู้นั้น… ไม่ใช่ผีใช่หรือไม่? ”
“ใช่ หากเป็นคนจริงๆ จะมีท่าทางเช่นนี้ได้อย่างไร? ”
“เฒ่าซุน นี่คงไม่เหมือนกับสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่ใช่หรือไม่? ”
องครักษ์ทั้งสี่ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ทุกคนต่างหลบอยู่ด้านหลังเฒ่าซุน
เฒ่าซุนพอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้าง กล่าวกันว่า บรรพบุรุษของเขาคือ ปรมาจารย์หยินหยางในยุคจิ่นอีโฮ่ว สามารถเดินทางไปถึงสวรรค์เก้าสิบเก้าชั้น และสามารถลงไปยังตำหนักใต้ดินได้ กระทั่งผีตัวเล็กๆ เมื่อเห็นเขายังหวาดกลัว
“อย่าพูดจาเหลวไหล ผีไม่มีเงา? ” เฒ่าซุนตบศีรษะคนที่ร้องโหวกเหวกเสียงดังเมื่อครู่
ทว่า…
เฒ่าซุนมองคนที่ค่อยๆ เดินเข้ามา ดวงตาหรี่ลง มือหนีบยันต์แปดทิศแน่น ผ่านไปครู่หนึ่ง เขามองผู้มาเยือนด้วยใบหน้าประหลาดใจ ราวกับเขาคำนวณอันใดออกมาได้จริงๆ เพียงครู่เดียว เฒ่าซุนก็กลับมาแสดงท่าทีเหมือนเมื่อครู่ เขาหรี่ตาลงอีกครั้ง
“ทว่า… คนผู้นี้มีภูมิหลังที่ดี… เกรงว่าจะเป็นผู้ที่หลุดรอดจากเงื้อมมือของยมบาลมาได้”
“กระไรนะ? เฒ่าซุน เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจสิ ข้ายังไม่ได้แต่งเมียเลย! ”
“ใช่! ซานเอ๋อร์เพิ่งแต่งงานได้ปีเดียว ยังไม่มีลูกน้อยเลย พวกเรายังไม่อยากตาย”
“อย่าพูดจาเพ้อเจ้อ แม้จะเล็ดลอดจากเงื้อมมือยมบาลจริง ทว่านางยังเป็นคน ทำอันใดพวกเจ้าไม่ได้”
“เฒ่าซุน… พวกเรา… พวกเราใจไม่กล้าพอ เจ้าอย่าทำให้พวกเราตกใจสิ”
“ใช่ เฒ่าซุน ข้าดูอย่างไรก็ไม่เห็นขาของนาง! ”
“เข้ามาแล้ว เข้ามาแล้ว… ”
ระหว่างที่องครักษ์แต่ละนายกำลังอกสั่นขวัญแขวน คนผู้นั้นก็เดินมาถึงด้านหน้าพวกเขาแล้ว
“เจ้าเป็นใคร? ” เฒ่าซุนพูด
ผู้ที่มาคือซูจิ่นซีที่เพิ่งออกมาจากจวนสกุลซูก่อนหน้านี้ นางสวมชุดรัดกุมสีดำ สวมหมวกฟางคลุมด้วยผ้าไหมบางสีดำ
ซูจิ่นซีไม่ได้ตอบคำถามของเฒ่าซุน นางแสดงป้ายคำสั่งประจำราชวงศ์
เฒ่าซุนมองด้วยแววตาสับสน ส่วนองครักษ์ทั้งสี่นายที่เหลือ ค่อยๆ โผล่หัวออกมามองซูจิ่นซีอย่างละเอียด พวกเขามองซูจิ่นซีตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อยืนยันได้ว่านางเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ผี พวกเขาก็เดินออกมาจากด้านหลังของเฒ่าซุน
“เห็นป้ายประจำตัวเหมือนพบเชื้อพระวงศ์ พวกเจ้าบังอาจยิ่งนัก” ซูจิ่นซีตั้งใจใช้น้ำเสียงกดดัน พูดด้วยท่าทีเย็นชา
“กระหม่อมไม่ทราบว่าท่านเป็นคนที่ราชวงศ์ส่งมา โปรดอภัยโทษด้วย” องครักษ์ทั้งสี่นายรีบคุกเข่ากับพื้น มีเพียงเฒ่าซุนผู้เดียวที่มองซูจิ่นซีด้วยสายตาสับสน
“ว่าอย่างไร? ” ซูจิ่นซีแสดงอำนาจกดดัน นางมองเฒ่าซุนด้วยสายตาเย็นชา พลางยื่นป้ายคำสั่งประจำราชวงศ์ไปยังเบื้องหน้าเฒ่าซุน
เฒ่าซุนค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้นโดยไม่ได้พูดจาอันใด
“ไม่รู้ว่าท่านมาที่คุกหลวง ต้องการให้พวกเรารับใช้สิ่งใด? ” องครักษ์นายหนึ่งถามขึ้น
“วันนี้ที่คุกหลวง เป็นผู้ใดรับผิดชอบ? ”
“วันนี้ขึ้นสามค่ำ เฒ่าซุนเป็นผู้รับผิดชอบขอรับ” องครักษ์นายหนึ่งชี้ไปยังเฒ่าซุนที่ยังคงคุกเข่าอยู่ด้านข้าง
ซูจิ่นซีไม่ได้ให้ความสนใจเฒ่าซุน นางพูดว่า “ข้าคือองครักษ์ข้างกายพระชายาโยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋องสั่งให้ข้ามารับตัวแม่นมเจิ้งกับแม่นมจูที่ทำเรื่องชั่วร้ายในวังก่อนหน้านี้”
แม่นมเจิ้งกับแม่นมจู นักโทษทั้งสองคนเคยเป็นคนสนิทข้างพระวรกายไทเฮา พวกนางมีความผิดโทษฐานวางแผนทำร้ายจวิ้นจู่ โยวอ๋องมอบนักโทษทั้งสองคนนี้ให้พระชายาโยวอ๋องเป็นคนจัดการ ทุกคนในคุกหลวงต่างรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เวลานี้พระชายาส่งคนมารับตัวนักโทษ เพราะต้องการจัดการนักโทษทั้งสองเป็นการส่วนตัว
เวลานี้เฒ่าซุนควรพาซูจิ่นซีเข้าไปรับตัวนักโทษ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด เขายังคุกเข่าอยู่ที่เดิม ไม่พูดจาอันใด และไม่ทำอันใดด้วย
เฒ่าซุน เขากำลังคิดอันใด?
ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วไม่ได้
“เฒ่าซุน เจ้าอยากตายหรืออย่างไร? ” องครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างเฒ่าซุน ใช้แขนกระแทกเขาอย่างหนัก เพื่อเตือนสติ “คนสนิทข้างกายพระชายาโยวอ๋อง”
พระชายาโยวอ๋องเป็นพระชายาที่โยวอ๋องรักใคร่เพียงพระองค์เดียว หากนางต้องการสิ่งใด นั่นก็คือความต้องการของโยวอ๋อง ผู้ใดจะกล้าขัดขืนพระทัย
ทว่าเฒ่าซุนยังไม่พาซูจิ่นซีเขาไปรับตัวนักโทษตามคำร้องขอ เขาเงยหน้าขึ้นมองซูจิ่นซีด้วยความกล้าหาญ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นได้ชัดว่านางมีผ้าไหมผืนบางสีดำปิดบังใบหน้า ซึ่งยืนยันได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเห็นอันใด ทว่าซูจิ่นซีเกิดความรู้สึกบางอย่าง ตาเฒ่าผู้นี้สามารถมองทะลุวิญญาณของนาง ภายในใจของซูจิ่นซีพลันตกตะลึง
……
เชิงอรรถ
[1] เดินอยู่ริมแม่น้ำ มีหรือที่เท้าจะไม่เปียก เป็นสุภาษิตของจีน หมายความว่า การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ