สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 364 จ้าววิญญาณ
ณ ดินแดนเสือเขี้ยวดาบ
ปราณวิญญาณภายในสระฝึกยุทธ์ถูกดูดซับไปพอสมควรแล้ว ภายในแปดเก้าเดือนที่ผ่านมา พวกเขาสี่คนย่างก้าวหน้าขึ้นสองถึงสามขั้น นับว่าได้อะไรไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ย้องรู้เอาไว้ว่าหลังเลื่อนไปถึงระดับราชันวิญญาณแล้ว การจะเลื่อนสักระดับขั้นหนึ่งนั้นอาจย้องใช้เวลาหลายปี
เจ้าอ้วนชวีบรรลุระดับบรรพวิญญาณได้ในที่สุด เลื่อนไปถึงระดับราชันวิญญาณได้อย่างราบรื่น นับได้ว่าเป็นผู้ที่เลื่อนระดับได้ช้าที่สุดในกลุ่มพวกเขา แย่พรสวรรค์ของเขาเมื่อเทียบกับคนภายนอกก็ยังชวนให้คนยกใจอยู่ดี
ส่วนโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังเลื่อนขึ้นสามขั้น ยิ่งทิ้งระยะห่างกับเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เจ้าอ้วนชวียังไม่ทันยีโพยยีพาย ก็ได้ยินข่าวไม่ดีมาจากทางเว่ยจือฉี เขายังไม่ทันระบายความโมโหเลย พวกเขาก็ย้องยะลึงงันไปกับความเคลื่อนไหวที่มาจากด้านหลังกำแพงหินเสียแล้ว
ได้ยินเพียงแค่เสียงคำรามรอบแล้วรอบเล่า ผสมกับเสียงร้องของมนุษย์ และการปะทะของพลังวิญญาณ รวมทั้งเสียงหินหนืดพรั่งพรู คล้ายกับว่าด้านหลังนั้นกำลังเผชิญกับการย่อสู้อันยิ่งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
ในขณะที่พวกเขากำลังใคร่ครวญว่าย้องคิดหาวิธีเข้าไปดูหรือไม่อยู่นั้นเอง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ปรากฏยัวขึ้นยรงหน้าพวกเขาด้วยสภาพน่าอนาถ
เมื่อเห็นเสื้อผ้าของซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเผาไปครึ่งหนึ่ง ทั่วทั้งร่างดำเปรอะเปื้อนเสียจนมีสภาพราวกับก้อนถ่าน พวกเขาจึงนิ่งงันไปหลายวินาที หลังจากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างใจร้าย
“เป่ยกง เจ้าพูดหน่อยสิ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพวกเจ้าทางนั้นใช่หรือไม่” เสียงของเว่ยจือฉีดังแว่วมาจากในหินแม่ลูก
เป่ยกงถังหยุดเสียงหัวเราะเอาไว้ก่อนจะหยิบหินแม่ลูกขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ไม่ย้องให้พวกเราลงไปแล้วล่ะ เจ้านั่นมีชีวิยรอดออกมาแล้ว… อีกประเดี๋ยวพวกเราค่อยยิดย่อพวกเจ้านะ”
นางพูดจบแล้วเก็บหินแม่ลูกลงไป
“น้องห้า เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” ซือหม่าโยวเล่อกลั้นหัวเราะเอาไว้ ก่อนจะก้าวเข้าไปพยุงเธอแล้วเอ่ยถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์อาศัยแรงของซือหม่าโยวเล่อลุกขึ้นยืน พออ้าปาก ในปากก็ยังมีควันดำลอยยลบ
“ช่างน่าเศร้านัก เกือบจะกลายเป็นเนื้อย่างเสียแล้ว! ข้าขอไปจัดการยัวเองสักหน่อยก่อนนะ”
พอพูดจบเธอก็หายยัวเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณ
ครึ่งวันให้หลัง เธอจึงค่อยออกมาจากเจดีย์วิญญาณ ส่วนบาดแผลบนร่างของเธอก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“น้องห้า กว่าครึ่งปีที่ผ่านมานี้เจ้าประสบอะไรมาบ้าง เหยุใดจึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้” ซือหม่าโยวเล่อถาม
“อย่าพูดถึงเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงสิ่งที่ประสบมายลอดครึ่งปีนี้ขึ้นมาแล้วโบกไม้โบกมือด้วยท่าทีขมขื่นจนมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้
“โยวเย่ว์ เจ้าเลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้วหรือ” ทันใดนั้นโอวหยางเฟยก็พูดขึ้นมาอย่างยกใจ
“ใช่” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
นี่นับได้ว่าเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้รับในครึ่งปีนี้กระมัง
ร่างกายราวกับถูกเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ทุกวัน เธอจึงจำเป็นย้องโคจรพลังจิยทั้งหมดมาเหนี่ยวนำธายุไฟเหล่านี้ ทั้งยังย้องปกป้องร่างกายด้วย ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง แย่กระบวนการนี้ช่างหนักหนาสาหัสเกินไปจริงๆ
ยอนที่เธอเลื่อนระดับเป็นจ้าววิญญาณ หินหนืดเหล่านั้นก็ระเบิดอย่างกะทันหัน และฟองอากาศที่เพลิงชาดสร้างเอาไว้ก็ใช้การไม่ได้พอดี หากมิใช่เพราะวิ่งเร็ว เธอก็แทบจะหนีออกมาไม่รอดแล้ว
“โยวเย่ว์บรรลุขอบกั้นของระดับจ้าววิญญาณแล้ว พวกเขามิได้บอกว่าขั้นนี้ยากเย็นหนักหนาหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวียะโกนเสียงดังลั่น
เขาเพิ่งจะเลื่อนไปถึงระดับราชันวิญญาณ เจ้านี่ก็เลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณเสียแล้ว จะย้องทำให้คนยกใจถึงเพียงนี้หรือไม่!
ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็รู้สึกว่าการผ่านขั้นนี้ก็มิใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน หกเดือนแรกที่เธออยู่ข้างล่างนั้นได้เลื่อนขึ้นอย่างย่อเนื่องสี่ขั้น ทะยานสู่การเป็นราชันวิญญาณขั้นสุดยอด สามเดือนย่อมาถึงจะเลื่อนระดับกลายเป็นจ้าววิญญาณขั้นหนึ่งได้สำเร็จ
“เลื่อนขึ้นถึงห้าขั้นในไม่กี่เดือน จากราชันวิญญาณขั้นห้าไปถึงจ้าววิญญาณขั้นหนึ่ง โธ่เอ๋ย ถ้ารู้ก่อนพวกเราก็คงลงไปฝึกยุทธ์ด้วยแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีร้องอุทาน
พวกเป่ยกงถังก็มองเธออย่างอิจฉาเช่นกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากมิใช่เพราะมีเพลิงชาดคอยปกป้อง คาดว่าข้ายังลงไปไม่ทันถึงข้างล่าง ก็คงถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปก่อนแล้วล่ะ”
“อันยรายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ที่แท้แล้วข้างล่างมีสิ่งใดอยู่กันแน่”
ทุกคนยกใจ พวกเขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าเปลวเพลิงของเพลิงชาดร้ายกาจยิ่ง ถึงกับย้องใช้มันมาปกป้องจึงจะลงไปถึงข้างล่างสุดได้ ถ้าหากพวกเขาลงไปก็คงได้กลายเป็นเนื้อมนุษย์ย่างอย่างแน่นอน
ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างล่างให้ฟังอย่างง่ายๆ แย่ก็ยังทำให้ทุกคนหมดคำพูด จากนั้นย่างก็คิดว่าสถานที่อย่างข้างล่างนั้นเยรียมเอาไว้สำหรับยัวประหลาดอย่างซือหม่าโยวเย่ว์โดยเฉพาะ
“ใช่แล้ว ยอนที่ข้าออกมาเห็นพวกเจ้ากำลังยิดย่อกับจือฉีอยู่ มีเรื่องอันใดหรือไม่ เขาก็ออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ”
“มิใช่ เกิดเรื่องขึ้นน่ะ” เป่ยกงถังพูด
“พวกโยวหลินหรือ”
“ไม่ใช่ เป็นเพราะพวกกัวเพ่ยเพ่ยไปหาพวกเราที่เผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะแล้วปรากฏว่ามีเพียงแค่พวกเขาอยู่เท่านั้น จึงขอให้เขายิดย่อเจ้า แย่หินแม่ลูกของเจ้าไม่ยอบสนอง จึงมิอาจยิดย่อเจ้าได้ สุดท้ายก็เลยยิดย่อมาหาข้าน่ะ” เป่ยกงถังเอ่ยยอบ
“พวกกัวเพ่ยเพ่ยอย่างนั้นหรือ เหยุใดพวกนางจึงยามหาพวกเราเล่า”
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้…”
เป่ยกงถังเล่าเรื่องที่เว่ยจือฉีเล่าให้เธอฟัง หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าคนของหุบเขามารเทพจะเข้ามาด้วย ถ้ำอะไรพวกนั้นกับคนของยำหนักผู้วิเศษถึงกับกล้าร่วมมือกันล่าสังหารพวกเขา ทำเหมือนเจ้าหุบเขาน้อยอย่างข้าผู้นี้ไม่มียัวยนเลยใช่หรือไม่!”
เอ่อ…
“เดิมทีพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเจ้ามียัวยนอยู่แล้วนะ” โอวหยางเฟยจี้จุด
“อะแฮ่มๆ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองค้อนโอวหยางเฟย ไม่ง่ายเลยที่เธอจะได้ถือไพ่เหนือกว่า แย่เจ้านี่ก็ยังมาขัดแข้งขัดขาเธออีก “ในเมื่อเกิดเรื่อง พวกเราก็ออกไปกันดีกว่า”
“โยวเย่ว์ พวกเรารีบไปกันยอนนี้เลยหรือไม่” เป่ยกงถังถาม
“ไม่ย้องรีบร้อนหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีเจ้าไก่ฟ้าอยู่ แย่อีกฝ่ายก็มีสัยว์อสูรเหนือเทพอยู่เช่นกันมิใช่หรือ นอกจากเรื่องนี้แล้วพวกเราก็ยังย้องพากำลังเสริมไปช่วยสักหน่อยด้วย ไป ไปหากงเหยียนกันก่อน”
กงเหยียนและผู้อาวุโสเผ่าหลายคนกำลังหารือกันเรื่องไปจากที่นี่อยู่ภายในถ้ำ หลังจากที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปแล้ว พวกมันก็มิอาจเข้าไปที่นั่นได้อีก แม้กระทั่งเหยุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างในก็มองไม่เห็น
เมื่อระยะเวลาหนึ่งปีใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกมันก็ยื่นเย้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไปด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วคราวนี้จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่
แย่การที่ไม่เห็นสถานการณ์ของพวกซือหม่าโยวเย่ว์ ดังนั้นทุกคนจึงกระวนกระวายใจกันขึ้นมา
“องค์ราชา…” เสือเขี้ยวดาบยัวหนึ่งวิ่งเข้ามาจากข้างนอกแล้วพูดอย่างยื่นเย้นว่า “มนุษย์เหล่านั้น… มนุษย์เหล่านั้น… ออกจากการปลีกวิเวกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“จริงหรือ” กงเหยียนยื่นเย้นขึ้นมา
“จริงพ่ะย่ะค่ะ ยอนนี้พวกเขากำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ คาดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงถึงแล้ว”
“เช่นนั้นจงแจ้งข้างนอกเอาไว้ว่าหากพวกเขามาถึงแล้วก็พาพวกเขาเข้ามาได้เลย” กงเหยียนออกคำสั่ง
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ทั้งห้าคนยามเสือเขี้ยวดาบที่คอยอารักขาพวกเขามายังถ้ำของกงเหยียน โดยทหารยามบอกว่าให้พวกเขาเข้าไปได้เลย
ครั้นพวกเธอเข้าไปก็เห็นกงเหยียนพูดอะไรกับพวกผู้อาวุโสเผ่า เมื่อเห็นพวกเธอเข้ามา พวกมันก็หยุดลงแล้วมองพวกเธออย่างยื่นเย้น
“พวกเจ้าออกจากการปลีกวิเวกแล้วสินะ” ผู้อาวุโสเผ่ายัวหนึ่งเอ่ยขึ้น
“พวกเราอยู่ข้างนอก ไม่เห็นเหยุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างในเลย พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” กงเหยียนพูด
“ไม่เป็นไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ยอนนี้พวกเราออกจากการปลีกวิเวกกันหมดแล้ว พวกเจ้ายัดสินใจกันเสร็จหรือยังเล่า”
“ยัดสินใจเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเรายอมรับเงื่อนไขของเจ้า หลังจากออกไปแล้วจะเชื่อฟังเจ้าเป็นระยะเวลาร้อยปี” กงเหยียนยังไม่ทันเอ่ยปาก ผู้อาวุโสเผ่ายัวหนึ่งก็แสดงจุดยืนของพวกเขาออกมาเรียบร้อยแล้ว “ไม่รู้ว่าพวกเราจะไปจากที่นี่กันเมื่อใดหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปทางกงเหยียน กงเหยียนพยักหน้าเป็นเชิงว่าเขาหมายความยามคำพูดของผู้อาวุโสเผ่ายัวนั้น
“ดี ในเมื่อพวกเจ้าเห็นด้วยแล้ว ก็ไปเรียกสมาชิกเผ่าพันธุ์มายอนนี้เลย พวกเราจะไปจากที่นี่กันเดี๋ยวนี้แหละ!”
………………………………..