สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 365 รวมตัว
“ตอน… ตอนนี้เลยหรือ” กงเหยียนและผู้อาวุโสเผ่าพากันตกอกตกใจ “มิได้เหลือระยะเวลาอีกสามเดือนหรอกหรือ”
“ข้ามีธุระต้องจัดการ คาดว่าหลังออกไปจากที่นี่ คงไม่มีเวลากลับมาแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากพวกเจ้าไม่ไปจากที่นี่พร้อมข้า ก็จะออกไปไม่ได้แล้วนะ”
กงเหยียนสะดุ้งคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ได้สิ แต่ข้าต้องการเวลาสักหน่อยในการรวบรวมสมาชิกเผ่าพันธุ์”
“ย่อมได้”
จากนั้นสมาชิกทั้งหมดของเผ่าพันธุ์เสือเขี้ยวดาบต่างได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางภายในหนึ่งวัน ให้เก็บข้าวของของตนเองไปด้วย
ซือหม่าโยวเย่ว์สนใจใคร่รู้อย่างยิ่งว่าสัตว์อสูรวิเศษก็มีข้าวของที่ต้องเก็บไปด้วยหรือ
แต่เมื่อนึกถึงคลังเครื่องยากองโตของพวกเขา ทั้งยังมีวัตถุต่างๆ นานาที่วางสะเปะสะปะอยู่ในตำหนักแห่งนั้นแล้วก็รู้ว่าเผ่าพันธุ์เสือนี้คงจะเคยชินกับการเก็บสะสมสิ่งล้ำค่า เสือเขี้ยวดาบเหล่านั้นก็คงมีคลังเก็บของเล็กๆ ของตัวเองอยู่เช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงเริ่มออกเดินทาง โดยมีเสือเขี้ยวดาบที่มีพลังยุทธ์ระดับจ้าววิญญาณขึ้นไปติดตามเธอมาด้วย
ส่วนพวกที่ระดับขั้นต่ำก็ถูกเธอเก็บเข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณทั้งหมด แต่มิใช่สถานที่ที่พวกเขาอยู่กันในยามปกติ โดยให้เจ้าวิญญาณน้อยสร้างห้วงมิติหนึ่งขึ้นมาต่างหาก ที่นั่นไม่มีอะไรเลย เป็นห้วงมิติที่มองเห็นเพียงแค่ความมืดมิดดำสนิท เพียงแค่สามารถหายใจได้เท่านั้น การพาพวกเขาไปด้วยวิธีนี้ก็เพื่อไม่ให้พวกเขาล่วงรู้ความลับของเจดีย์วิญญาณ
พวกกงเหยียนเห็นว่าเธอมีสถานที่ที่รองรับสิ่งมีชีวิตได้จริงๆ ก็ยิ่งเชื่อมากขึ้นว่าเธอจะพาพวกมันออกไปได้ ผู้อาวุโสเผ่าเหล่านั้นจินตนาการไปเรียบร้อยแล้วว่าหลังจากที่ตนออกไปจะต้องเลื่อนไปถึงระดับสัตว์อสูรเหนือเทพ
ในเผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะ คนตระกูลกัวและคนตระกูลอวิ๋นรอคอยอย่างกระวนกระวายอยู่บ้าง พวกเขารออยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว ไม่รู้ว่าที่แท้สถานการณ์ทางด้านอวิ๋นอี้จะเป็นเช่นไรบ้างแล้ว
“บรู๊ววว…” ทันใดนั้นเสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้น หรงและเซียวสีหน้าแปรเปลี่ยน พวกมันรีบลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “เตรียมตัวต่อสู้!”
เว่ยจือฉีและคนอื่นๆ เห็นพวกมันได้ยินเสียงหมาป่าหอนแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตถึงเพียงนี้จึงเอ่ยว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วใช่หรือไม่”
“เสือเขี้ยวดาบฝูงใหญ่กำลังบุกมาน่ะสิ!” หรงเอ่ย
“ข้าว่าพวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้นกันถึงเพียงนี้หรอก” เว่ยจือฉีพูด
“ไม่ได้ คราวก่อนที่เสือเขี้ยวดาบมาบุกก็พาผู้อาวุโสเผ่าของพวกมันมาด้วย พวกเราต่อกรไม่ทัน เซียวจึงถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้” หรงพูด
“ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นโยวเย่ว์ที่พาคนของเสือเขี้ยวดาบมา” เว่ยจือฉีพูด
“เป็นเขาหรือ หรือว่าเขาก็จะพาเผ่าพันธุ์เสือเขี้ยวดาบออกไปด้วยเช่นกันเล่า”
“ถูกต้อง” เว่ยจือฉีรับคำ“ ก่อนหน้านี้เป่ยกงบอกข้าเอาไว้แล้วว่าพวกเขาเจรจาเงื่อนไขกับเผ่าพันธุ์เสือเขี้ยวดาบเรียบร้อยแล้ว จากไปคราวนี้เกรงว่าจะไม่มีเวลากลับมารับพวกเจ้าอีก วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือพาพวกเจ้าไปด้วย ข้าว่าถ้าหากพวกเจ้ายังอยากไปด้วยกัน ก็รีบแจ้งให้เผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะเตรียมตัวไปจากที่นี่ดีกว่านะ
“พวกเรา…”
“จือฉี?”
หินแม่ลูกในมือของเว่ยจือฉีสว่างวาบขึ้นมาในทันใด
“โยวเย่ว์” เว่ยจือฉีตอบรับ
“จือฉี เจ้าไปแจ้งราชาหมาป่าหิมะที บอกว่าพวกเราใกล้จะไปถึงแล้ว เหลือเวลาอีกครึ่งวันก็จะถึง เจ้าให้พวกเขารีบเตรียมตัว ถ้าจะจากไปพร้อมกันกับพวกเรา พวกเราต้องไปช่วยคน ไม่มีเวลามากมายถึงเพียงนั้นให้มาร่ำไรหรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้าอยู่กับพวกเขาพอดี พวกเขาได้ยินคำพูดของเจ้าหมดแล้วละ” เว่ยจือฉีพูดพลางมองราชาหมาป่าหิมะปราดหนึ่ง
หรงและเซียวประสานสายตากันแล้วเอ่ยว่า “พวกเราจะไปรวบรวมสมาชิกเผ่าพันธุ์เดี๋ยวนี้แหละ”
ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์พาเสือเขี้ยวดาบฝูงหนึ่งมาถึงดินแดนของเผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะ ทุกคนก็เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมาป่าหิมะหลายพันตัวยืนกันเต็มภูเขาหิมะแล้วลอบชื่นชมว่าพวกมันรวดเร็วกว่าเสือเขี้ยวดาบมากนัก
“โยวเย่ว์!” กัวเพ่ยเพ่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วตื่นเต้นไม่น้อย แม้กระทั่งคำเรียกหาก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ลงมาจากหลังเจ้าวิหคน้อยแล้วพยักหน้าให้กัวเพ่ยเพ่ยก่อนจะเอ่ยว่า “ส่วนรายละเอียดนั้น พวกเราค่อยคุยกันระหว่างทางแล้วกัน ข้าจัดการเผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะเสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบออกเดินทางให้เร็วหน่อย”
“ได้” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
หรงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์กลับมา จากนั้นจึงพบว่ากลิ่นอายบนร่างเธอไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จึงถามขึ้นอย่างตกใจว่า “เจ้าไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้วหรือ”
“โชคดีน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเจ้าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วหรือ”
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าจะพาพวกเรามากมายถึงเพียงนี้ไปด้วยได้อย่างไรกัน” หรงถาม
“ข้ามีสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ พวกเจ้าไปที่นั่น เป็นที่ที่พอให้หายใจได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “สมาชิกเผ่าพันธุ์ของเจ้าต้องอยู่ที่นั่นชั่วคราวก่อน”
“เสือเขี้ยวดาบก็อยู่ที่นั่นด้วยหรือ” เซียวหรี่ตามองเสือเขี้ยวดาบที่ตามหลังมา กลิ่นอายอันตรายแผ่ออกมาจากร่าง
“อื้ม ไม่ว่าระหว่างพวกเจ้าจะมีความอาฆาตแค้นอะไรกันอยู่ ถ้าอยากออกไป ก็ต้องวางมันเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้ อีกร้อยปีให้หลัง พวกเจ้าอยากทำเช่นไรก็แล้วแต่เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ถึงแม้ว่าหรงจะอยากล้างแค้นให้กับเซียวเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ก็ได้”
“เช่นนั้นข้าก็จะพาประชากรของเจ้าไปตอนนี้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เมื่อเห็นราชาหมาป่าหิมะไม่ปฏิเสธจึงโบกมือคราหนึ่ง เผ่าพันธุ์หมาป่าหิมะวัยเยาว์เหล่านั้นก็หายวับไป
“โยวเย่ว์ เหตุใดเจ้าจึงไม่พาพวกเขาเหล่านี้เข้าไปด้วยเล่า” เว่ยจือฉีถาม
“พวกเรามิได้ต้องไปจัดการกับคนจำนวนมากหรอกหรือ ถึงตอนนั้นก็ต้องใช้พลังยุทธ์ระดับจ้าววิญญาณขึ้นไปลงมือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าคงมิได้คิดจะพาสัตว์อสูรวิเศษมากมายเช่นนี้เดินทางไปพร้อมกันหรอกนะ” เป่ยกงถังหน้านิ่วเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้พูด พวกเขาจึงไม่ได้นึกถึง แต่เมื่อได้ยินตอนนี้ก็รู้สึกว่าเธอดูไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง
“แค่กๆ ไม่ได้หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เธอก็แค่อยากให้ตอนเดินทางดูเอิกเกริกสักหน่อยเท่านั้นเองนี่นา
เมื่อเห็นว่าทุกคนมองเธออย่างไม่เห็นด้วย เธอจึงเก็บตัวสัตว์อสูรวิเศษทั้งหมดกลับเข้าไปอย่างจนใจ เหลือเอาไว้เพียงแค่ราชาหมาป่าหิมะและราชาเสือเขี้ยวดาบเท่านั้น
ตอนที่คนตระกูลกัวได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์เลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้วก็ตกตะลึงไป ตอนนี้เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรวิเศษทั้งหลายหายตัวไปหมดแล้ว จึงค่อยได้สติกลับคืนมา
เพียงเก้าเดือนเขาก็เลื่อนจากระดับราชันวิญญาณไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว ที่แท้แล้วหลายเดือนมานี้เขาได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่เพียงใดกันแน่!
“โยวเย่ว์ เหตุใดเจ้าจึงมีมิติที่รองรับสิ่งมีชีวิตได้พรรค์นั้นอยู่ด้วยเล่า” กัวเลี่ยงถาม
ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นักฝึกสัตว์อสูรมีสิ่งที่รองรับสิ่งมีชีวิตได้อยู่กับตัวก็มิใช่เรื่องแปลกกระมัง เพียงแต่ของข้ามีขนาดใหญ่หน่อยเท่านั้นเอง”
หรงและกงเหยียนไม่รู้ว่านักฝึกสัตว์อสูรมีสถานที่พรรค์นี้อยู่ แต่คนตระกูลกัวและคนตระกูลอวิ๋นนั้นรู้ดี โดยทั่วไปแล้วนักฝึกสัตว์อสูรมักจะพกพาสิ่งที่รองรับสิ่งมีชีวิตได้เอาไว้กับตัว แตกต่างกับแหวนเก็บวัตถุ แต่ก็คล้ายคลึงกัน
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจอย่างยิ่งที่เธอมีสถานที่อันใหญ่โตเช่นนี้อยู่ แต่ก็มิได้พูดอะไรอีก
“เจ้ายังเป็นนักฝึกสัตว์อสูรอีกด้วยหรือ” อวิ๋นเฟิงมองซือหม่าโยวเย่ว์ “พี่ใหญ่บอกว่าเจ้าเป็นนักหลอมยา มีพรสวรรค์ในการหลอมยาแข็งแกร่งยิ่งนัก”
“นักหลอมยาหรือ เจ้ามิใช่ปรมาจารย์ค่ายกลหรอกหรือ” กัวเลี่ยงร้องออกมาอย่างตกใจ
“แค่กๆ ใช่ทั้งหมดนั่นแหละ อย่างละนิดละหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เอาละ พวกเราออกเดินทางกันเสียทีเถิด ตอนนี้อวิ๋นอี้อยู่ที่ไหน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราต้องมุ่งหน้าไปยังทิศทางใด”
ถึงแม้ว่าเธอจะอยากเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่ทุกคนก็ยังคงมองเธอด้วยสีหน้าพรั่นพรึงอยู่ดี
นักหลอมยา ปรมาจารย์ค่ายกล และนักฝึกสัตว์อสูรวัยยี่สิบสองปี ทั้งยังมีพลังยุทธ์ระดับจ้าววิญญาณ ให้ตายเถิด พรสวรรค์เช่นนี้ต่อให้อยู่ที่ดินแดนเบื้องบนก็คงมีแค่ไม่กี่คนที่เทียบเคียงได้กระมัง!
………………………………………