สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 366 ภาระอันหนักอึ้ง
“อวิ๋นเฟิง เจ้ามิได้บอกว่าจะไปหาพวกพี่ชายเจ้าหรอกหรือ ตอนนี้พวกเราจะเดินทางกันเช่นไรดี” เว่ยจือฉีพูด
“อ้อ” อวิ๋นเฟิงได้สติกลับคืนมาแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีวิธีตามหาพี่ชายข้าอยู่”
เขาพูดพลางหยิบก้อนหยกก้อนหนึ่งออกมา ซึ่งคล้ายคลึงกับก้อนที่อยู่ในมือซือหม่าโยวเย่ว์ บนนั้นมีจุดสีแดงเล็กๆ อยู่สองจุด
“นี่เป็นสิ่งที่ท่านพี่นำกลับลงมาจากเบื้องบนแล้วมอบให้ข้าเอาไว้ก่อนจากไป เขาบอกว่าเพียงแค่ตามสิ่งนี้ไปก็จะหาตัวเขาพบได้แล้ว” อวิ๋นเฟิงพูด “พวกเขากำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แย่แล้ว พวกเขาวิ่งอย่างรีบร้อนเช่นนี้ จะต้องกำลังถูกตามล่าอยู่แน่!”
“พวกเขากำลังวิ่งมุ่งหน้ามาทางพวกเรา…เอ๊ะ เปลี่ยนทิศทางแล้วนี่!” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ท่านพี่จะต้องพบว่าพวกเราอยู่ทางทิศนี้อย่างแน่นอน จึงเปลี่ยนทิศทางเสียแล้ว” อวิ๋นเฟิงพูด
“เจ้ากับพี่ชายเจ้ามีหินแม่ลูกหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“มี” อวิ๋นเฟิงพูด
“ดูจากระยะทางก็มิได้ไกลมากนัก เจ้าลองดูหน่อยสิว่าติดต่อเขาได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้”
อวิ๋นเฟิงหยิบหินแม่ลูกออกมา หลังจากที่ใส่ปราณวิญญาณเข้าไปในนั้นแล้วรออยู่ครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็ตอบสนองกลับมา
“ติดต่อได้แล้ว!” คนตระกูลกัวและคนตระกูลอวิ๋นพากันดีอกดีใจ
“เฟิง เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของอวิ๋นอี้กดต่ำอยู่บ้าง น่าจะได้รับบาดเจ็บ
“ท่านพี่ พวกท่านถูกไล่ล่าอยู่ใช่หรือไม่” อวิ๋นเฟิงถาม
“อืม… เฟิง… ถ้าหากคราวนี้ข้ามิอาจเอาชีวิตรอดไปได้ เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ ไปยังดินแดนโบราณ หาหุบเขามารเทพให้พบ แล้วบอกเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่กับพวกเขา ให้พวกเขามาแก้แค้นให้พวกเรา” ความเกียจคร้านของอวิ๋นอี้ไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว น้ำเสียงโหดร้ายอยู่บ้าง
“เหตุใดจึงต้องขึ้นไปหาพวกท่านอาจารย์จึงจะแก้แค้นได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เธอออกจะชอบเขาที่เกียจคร้านและหล่อเหลามากกว่า
“ท่าน…” อวิ๋นอี้ที่สิ้นหวังอยู่บ้างได้ยินเสียงซือหม่าโยวเย่ว์ สองตาก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันใด
“ทำไมหรือ อวิ๋นอี้” มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมาจากทางนั้น
ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบหินแม่ลูกมาแล้วเอ่ยว่า “อวิ๋นอี้ เจ้ารีบพาคนตรงมาทางนี้เดี๋ยวนี้เลย พวกเราจะไปหาพวกเจ้า”
“ได้” อวิ๋นอี้พูดอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง
ซือหม่าโยวเย่ว์คืนหินแม่ลูกให้กับอวิ๋นเฟิง ก่อนจะทะยานขึ้นไปบนหลังเจ้าวิหคน้อยแล้วเอ่ยว่า “ไป มีคนกล้ารังแกคนของหุบเขามารเทพของข้า บ้าเอ๊ย! เห็นเจ้าหุบเขาน้อยอย่างข้าผู้นี้เป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร”
เมื่อถูกเธอตะโกนใส่เช่นนี้ เป่ยกงถังจึงขึ้นไปด้วยแล้วเอ่ยว่า “ดีร้ายอย่างไรข้าก็เป็นศิษย์หุบเขาในเช่นกัน”
“ไอ้หยา ตามที่โยวเย่ว์พูด ในภายหน้าก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่พวกเราจะได้กลายเป็นคนของหุบเขามารเทพ นี่พวกเขารังแกคนของพวกเราอยู่ หากไม่ไปลุยกันสักยก ก็คงคิดว่าจะรังแกหุบเขามารเทพของพวกเราได้ง่ายๆ ล่ะสิ” เจ้าอ้วนชวีเตะเท้าแล้วทะยานขึ้นไปเช่นกัน
“ใช่แล้ว หากไม่แสดงให้เห็นชัดๆ แล้วท่านปู่มารไม่ต้องการพวกเราจะทำเช่นไรเล่า” เว่ยจือฉีพยักหน้า ท่าทางเหมือนเสแสร้งแกล้งทำ
โอวหยางเฟยตรงขึ้นไปโดยไม่พูดอะไร แต่เมื่อเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน คนอื่นๆ ก็เดาได้ว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งที่เขาจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ยังคิดว่ามีเพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนของหุบเขามารเทพ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะใช่กันทั้งหมด!
“พวกเจ้าจะมัวอึ้งอะไรกันอยู่อีกเล่า รีบขึ้นมาสิ!” เจ้าอ้วนชวีมองผู้คนเบื้องล่างแล้วเอ่ยขึ้น
หรงและกงเหยียนนั่งลงสองข้างของซือหม่าโยวเย่ว์ แสดงออกชัดว่าไม่มีทางนั่งด้วยกันเด็ดขาด คนตระกูลกัวและคนตระกูลอวิ๋นรีบบินขึ้นไป เจ้าวิหคน้อยสยายปีกแล้วพุ่งทะยานไปยังทิศทางที่พวกอวิ๋นอี้อยู่ด้วยความเร็วสูงสุด
ซือหม่าโยวเย่ว์หันกลับมามองภูเขาหิมะแล้วนึกถึงข่ายมนตร์ที่สระฝึกยุทธ์ขึ้นมาได้ ที่นั่นก็น่าจะมีสถานที่เหมือนกับที่ตนฝึกยุทธ์อยู่ด้วยเช่นเดียวกันกระมัง น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้ไปฝึกยุทธ์อีกแล้วที่อีกด้านหนึ่ง
อวิ๋นอี้วางหินแม่ลูกลงแล้วเอ่ยว่า “พวกเราเปลี่ยนทิศทาง บินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือแทน”
“เพราะเหตุใดเล่า เจ้ามิได้บอกว่าพวกน้องชายของเจ้าอยู่ทางทิศนั้นหรอกหรือ พวกเราจะไปหาพวกเขามิใช่หรือ” ชายหนุ่มคนที่เอ่ยวาจาเมื่อครู่พูด
“ใช่แล้ว อวิ๋นอี้ หากพวกเราไปก็ไม่เท่ากับพาอันตรายไปให้พวกเขาหรอกหรือ” คนของหุบเขามารเทพอีกคนหนึ่งพูด
“วางใจเถิด วันเวลาที่ถ้ำเมฆขาวและตำหนักผู้วิเศษจะลำพองใจได้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว” อวิ๋นอี้พูดพลางแย้มยิ้ม
“เอาละ” เห็นเขาแน่วแน่ถึงเพียงนั้น พวกเขาจึงเปลี่ยนทิศทางกลับไปอีกครั้ง
อวิ๋นอี้ก้มหน้าลงมองจุดสีแดงที่เป็นตัวแทนของอวิ๋นเฟิงเคลื่อนที่อย่างว่องไว ทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว มุมปากยกเป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์
เมื่อครู่ได้ยินเสียงของเจ้าหุบเขาน้อย ดูเหมือนว่าจะพอมีความทระนงของชาวหุบเขามารเทพอยู่บ้างจริงๆ เสียด้วย!
หนึ่งวันให้หลัง จุดแดงทั้งสองเกือบจะรวมเข้าด้วยกันแล้ว ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้ในการกะเกณฑ์อีกแล้ว
“สิ่งนี้ไม่มีประโยชน์แล้วละ คิดว่าคงอีกไม่ไกลแล้ว เจ้าวิหคน้อย เจ้าลองรับสัมผัสกลิ่นอายรอบๆ ทีสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้เลยเจ้านาย” เจ้าวิหคน้อยรับคำ
“ปึง…”
พลังวิญญาณสองสายปะทะกัน แล้วแผ่ไปทั่วท้องฟ้าไกลแสนไกล
คนที่อยู่บนหลังต่างตกใจไปกับเสียงอันน่าพรั่นพรึงนี้
“พวกเขาคงมิได้ถูกไล่ตามทันแล้วหรอกนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“อวิ๋นเฟิง เจ้าติดต่อพวกเขาที” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกคำสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง
ถ้าหากถูกไล่ตามทันแล้วจริงๆ สถานการณ์ก็คงไม่สู้ดีสักเท่าใดนัก
“ได้” อวิ๋นเฟิงพูดพลางหยิบหินแม่ลูกออกมา แต่เพิ่งจะติดต่อกับทางนั้นได้ ก็มีเสียงระเบิดดังออกมา จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวมาจากทางนั้นอีก
“เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย เจ้าไก่ฟ้า เจ้าพาข้านำไปก่อนที” ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเจ้าไก่ฟ้าออกมา
กลิ่นอายของเจ้าไก่ฟ้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่เสียอีก เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์เลื่อนระดับ สัตว์อสูรวิเศษตนอื่นๆ จึงเลื่อนระดับไปด้วย มีเพียงเขาที่ต้องใช้พละกำลังค่อนข้างมาก จึงมิได้เลื่อนระดับ แต่ก็สัมผัสได้ถึงขอบกั้นของขั้นต่อไปแล้ว
หลังจากที่เจ้าไก่ฟ้าออกมาแล้วก็แปลงเป็นร่างเดิม พอซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นไปบนหลังเขาแล้ว เขาก็พาเธอบินมุ่งหน้าไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อเขารวดเร็วถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่พาพวกเราไปด้วยเล่า” มีคนตระกูลอวิ๋นพูดขึ้นเบาๆ
“สัตว์อสูรเหนือเทพเป็นสิ่งที่พวกเราอยากนั่งก็นั่งได้อย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวียิ้มเยาะ
คนผู้นั้นบื้อใบ้ไป เขานึกถึงเพียงว่าเจ้าไก่ฟ้าเป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นสัตว์อสูรเหนือเทพ หลังของเขาเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปอยากนั่งก็นั่งได้อย่างนั้นหรือ
“พวกเรารีบกันหน่อยดีกว่านะ” เว่ยจือฉีพูด “เจ้าวิหคน้อย ต้องรบกวนเจ้าแล้วนะ”
“เหนื่อยแล้ว ข้าบินไม่ไหวแล้ว” ความเร็วของเจ้าวิหคน้อยลดต่ำลง
สีหน้าของคนตระกูลอวิ๋นร้อนฉ่ากันหมด ดูเหมือนว่าคำพูดของคนเมื่อครู่จะไปล่วงเกินเจ้าวิหคน้อยเข้าเสียแล้ว
“ขอโทษด้วย เขาก็แค่เป็นห่วงสถานการณ์ของพวกท่านพี่เท่านั้น พวกเจ้าอย่าเอาไปใส่ใจเลยนะ” อวิ๋นเฟิงพูด
“แค่กๆ เจ้าวิหคน้อย เจ้ารีบหน่อยเถิด พวกเรายังต้องไปช่วยศิษย์ของหุบเขามารเทพกันอีกนะ” หลังจากที่เว่ยจือฉีลอบหัวเราะในใจแล้วจึงตบหลังเจ้าวิหคน้อยเบาๆ
“ก็ได้” เจ้าวิหคน้อยส่งเสียงฮึดฮัด หลังจากนั้นจึงเพิ่มความเร็วขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งบนหลังเจ้าไก่ฟ้าซึ่งรวดเร็วกว่าเจ้าวิหคมาก เพียงไม่นานก็ทิ้งห่างพวกเขา ไม่เห็นแม้แต่เงา
“ปัง…”
ถึงแม้ว่าอวิ๋นอี้และคนของหุบเขามารเทพจะขี่สัตว์อสูรบินได้ก็ยังถูกโจมตีจนร่วงหล่นลงสู่พื้น ฝุ่นลอยตลบขึ้นสูง
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าหุบเขามารเทพมิได้ร้ายกาจหนักหนาหรอกหรือ” คนผู้นั้นยืนอยู่บนหลังสัตว์อสูรบินได้ พลางมองดูผู้คนเบื้องล่างอย่างหยิ่งยโส
“โจ้วกว่างซิ่น ถ้ำเมฆขาวของเจ้าจะตัดรากถอนโคนได้หมดจริงๆ น่ะหรือ พวกเจ้าไม่กลัวว่าพวกเราจะมีชีวิตรอดออกไปแล้วตามล้างแค้นถ้ำเมฆขาวของพวกเจ้าหรอกหรือ” ศิษย์หุบเขามารเทพคนหนึ่งพูดขึ้น
“ฮ่าๆ ในเมื่อพวกเจ้าตายอยู่ที่นี่กันหมดแล้วผู้ใดจะรู้เล่าว่าเป็นฝีมือพวกเรา” โจ้วกว่างซิ่นพูดแล้วหัวเราะเสียงดัง “เด็กๆ ลงไปฆ่าพวกมันให้หมดเสีย!”
………………………………