สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 367 ข้ามิได้มาช้าเกินไปกระมัง
คนกลุ่มหนึ่งกระโดดลงจากหลังสัตว์อสูรบินได้ ร่อนลงตรงหน้าพวกอวิ๋นอี้พอดิบพอดี
“อวิ๋นอี้ ข้าได้ยินว่าระยะนี้เจ้าโอหังเหลือเกินมิใช่หรือ เหตุใดคราวนี้อาจารย์พิการของเจ้าจึงยอมให้เจ้าออกมาจากหุบเขามารเทพได้เล่า” ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้ามองอวิ๋นอี้ด้ วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“จงไห่ เจ้าก็มาที่นี่ด้วย!?” อวิ๋นอี้เห็นคนที่ร่อนลงใกล้ตัวเองมากที่สุดแล้วสีหน้าเข้มขึ้น
จงไห่แห่งถ้ำเมฆขาวเป็นอริกับตนมาโดยตลอด ทั้งสองนับได้ว่าเป็นตระกูลคู่แค้นกันมาสิบกว่าปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบเขาที่นี่ คนผู้นี้จิตใจเหี้ยมลงมือโหด ตอนนี้หาก กพวกอวิ๋นเฟิงยังไม่มาอีก ดูเหมือนว่าคราวนี้เขาคงเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดีเสียแล้ว
“จงไห่ เจ้ายังมัวเปลืองน้ำลายกับเขาอยู่ทำไมอีกเล่า รีบจัดการเสียสิ พวกเราจะได้ไปไล่ตามคนที่เหลือกัน” โจ้วกว่างซิ่นเอ่ยเร่งอยู่กลางอากาศ
“ศิษย์พี่ ท่านจะรีบร้อนถึงเพียงนั้นไปทำไมกัน ยากนักที่พวกเราจะมีเวลาได้สนทนากับศิษย์หุบเขามารเทพ ส่งพวกเขาไปปรโลกทั้งที หากรีบร้อนเกินไปพวกเราก็จะเสียมารยาทเอาได้” จงไห ห่พูด
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ พวกเราต้องส่งพวกเขาไปปรโลกให้ดีๆ สิ” ชายหนุ่มอีกคนพูดจบแล้วใช้ดาบในมือกระทุ้งหัวไหล่คนข้างหน้าทีหนึ่ง คนผู้นั้นเจ็บจนสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ เขากุ มหัวไหล่พลางหลั่งเหงื่อเยียบเย็น แต่กลับไม่ร้องเลยสักแอะ อีกทั้งมิได้กล่าวโทษเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า” โจ้วกว่างซิ่นพูด
“ก็ได้ ในเมื่อศิษย์พี่รีบร้อนเช่นนี้ก็รีบสู้รีบจัดการให้เสร็จเสีย” จงไห่พูด “ข้าจะตัดมือเท้าเจ้าก่อน หลังจากนั้นค่อยตัดหัวเจ้า เป็นอย่างไรเล่า”
“จงไห่ เจ้ากล้ารึ!” คนหลายคนที่อีกด้านร้องตะโกนขึ้น
“ข้ากล้าหรือไม่… ฮ่าๆ ข้าต้องกล้าอยู่แล้วสิ!” จงไห่หัวเราะดังลั่นแล้วเงื้อกระบี่ในมือเตรียมจะฟันลงไป
“อย่านะ…”
คนของหุบเขามารเทพตะโกนลั่น แม้กระทั่งอวิ๋นอี้ก็ยังหลับตาแน่น รอคอยความเจ็บปวดที่จะมาถึง
แต่ผ่านไปหลายวินาทีก็ยังไม่รู้สึก ทว่ากลับได้ยินเสียงที่รอคอยมานาน
“เจ้าขยับสิ ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะตัดมือเท้าเขาแล้วค่อยตัดหัวได้อย่างไร”
เขาลืมตาก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่บนหลังนกยักษ์ตนหนึ่ง เธอดีดร่างแล้วร่อนลงตรงหน้าเขา ระหว่างนั้นก็เตะจงไห่ออกไปด้วย
“อวิ๋นอี้ ข้ามิได้มาช้าเกินไปกระมัง” เธอหมุนตัวมามองอวิ๋นอี้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แค่กๆ ไม่ช้าหรอก” อวิ๋นอี้กุมหน้าอกแล้วกระอักเลือดออกจากปาก แต่บนใบหน้ากลับอมยิ้ม
ซือหม่าโยวเย่ว์มองรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้าค้นพบว่าเจ้ายิ้มขึ้นมาแล้วให้กลิ่นอายราวกับปีศาจเลยทีเดียว”
“เจ้าเป็นใครกันถึงได้กล้ามาสอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องของพวกเรา!” จงไห่ถูกสกัดเอาไว้เมื่อครู่ ถึงแม้ว่าจะถูกซือหม่าโยวเย่ว์เตะคราหนึ่ง แต่ก็ยังครองความเป็นอิสระเอาไว้ได้
“เฮอะ จ้าววิญญาณขั้นหนึ่งอย่างเจ้าก็ริจะเป็นวีรบุรุษช่วยผู้อื่นกับเขาด้วยหรือ คนของถ้ำเมฆขาวคนหนึ่งมองระดับพลังยุทธ์ของซือหม่าโยวเย่ว์ออกจึงเอ่ยเหน็บแนม
คนอื่นก็มีความคิดแบบนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ของซือหม่าโยวเย่ว์ก็แสดงออกมาแล้วเมื่อครู่
มีเพียงโจ้วกว่างซิ่นเท่านั้นที่มิได้ดูแคลนซือหม่าโยวเย่ว์ การสกัดจงไห่เอาไว้เช่นเมื่อครู่ มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้
เขาทะยานร่างมาร่อนลงตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “เจ้าสอดมือยุ่งเรื่องของพวกเราให้น้อยหน่อยจะดีที่สุด หากเจ้าจากไปตอนนี้ พวกเราจะยอมไม่ยุ่งกับเจ้าก็ได้”
“ศิษย์พี่…” พวกจงไห่ร้อนรนเสียแล้ว ถ้าหากปล่อยเขาไปจริงๆ แล้วเขาเอาเรื่องของพวกตนไปพูดจะทำเช่นไรเล่า
“หุบปาก!” โจ้วกว่างซิ่นตวาดจงไห่ หลังจากนั้นจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วถามว่า “เจ้าว่าอย่างไร”
“ไม่อย่างไรหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มเย็น “เจ้ากำลังจะสังหารศิษย์หุบเขามารเทพของข้า แล้วเจ้ายังคิดว่าข้าจะยืนดูอยู่เฉยๆ แล้วรอให้พวกเจ้ารวบรวมกำลังมาตามล่าข้าอย่างนั้ นหรือ”
“เจ้าเป็นคนของหุบเขามารเทพหรือ” โจ้วกว่างซิ่นมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างสงสัย
เหตุใดก่อนหน้านี้ตนจึงไม่เคยรู้เลยว่าหุบเขามารเทพมีเขาผู้นี้อยู่ด้วย
“ถึงแม้ว่าข้าจะยังไม่เคยไปที่หุบเขามารเทพ แต่ข้าเป็นคนของหุบเขามารเทพแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นเรื่องที่เจ้าให้ข้าไปจากที่นี่นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต ต่ถ้าให้เอาชีวิตของพวกเจ้าทิ้งไว้ที่นี่นั้นย่อมได้”
“ปากดีเหลือเกินนะ!” คนของถ้ำเมฆขาวมองซือหม่าโยวเย่ว์ “อย่างต่ำที่สุดพวกเราก็เป็นจ้าววิญญาณขั้นสี่ จ้าววิญญาณขั้นหนึ่งตัวคนเดียวอย่างเจ้ายังคิดจะเอาชีวิตพวกเราอีกหรือ อ”
“ปากดีหรือไม่อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้รู้แล้ว!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มเยาะ
“เจ้าไม่ใช่คนของหุบเขามารเทพ หุบเขามารเทพ…แหวนโลหิตนี่!” ทันใดนั้นโจ้วกว่างซิ่นก็เห็นแหวนโลหิตบนนิ้วโป้งของซือหม่าโยวเย่ว์ จึงร้องเสียงหลงขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักของสิ่งนี้สินะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ก็ใช่แหละ ถ้าหากไม่ใช่เพราะของสิ่งนี้ คาดว่าตอนนี้ข้าคงยังไม่นับว่าเป็นคนของหุบเขามารเทพด้วยซ้ำ!”
“แหวนโลหิต…เขาคือเจ้าหุบเขาน้อยอย่างนั้นหรือ!”
คนของหุบเขามารเทพมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างตกตะลึง พวกเขาต่างทราบว่ามีเจ้าหุบเขาน้อยคนหนึ่งอยู่ที่ดินแดนอี้หลิน คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเขาที่นี่ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะ ะมาช่วยพวกตนได้
“ในเมื่อรู้ตัวตนของข้าแล้ว ข้าก็จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายอีก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ก็เหมือนกับที่พวกเจ้าพูดนั่นแหละ ถ้าหากต้องการรักษาความลับ ก็คงได้แต่จัดการพวกเจ้า าให้หมดแล้ว เจ้าไก่ฟ้า ฝากเจ้าด้วยนะ”
“ได้เลย”
เจ้าไก่ฟ้าร่อนลงมาจากฟากฟ้า ในขณะที่เขาร่อนลงสู่พื้น ก็กลายเป็นร่างมนุษย์เรียบร้อยแล้ว
“สัตว์อสูรเหนือเทพ!”
ผู้คนในที่นั้นร้องลั่น คิดไม่ถึงว่าเธอจะมีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ในครอบครองด้วย
เจ้าไก่ฟ้าลงมือทั้งที ย่อมต้องเป็นไปอย่างหมดจดเรียบร้อยอยู่แล้ว คนเหล่านั้นยังไม่ทันเห็นได้ชัดเจนว่าเขาลงมืออย่างไร พวกเขาคนแล้วคนเล่าก็ตายไปเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ดูเจ้าไก่ฟ้าลงมือ เธอมาคุกเข่าลงข้างกายอวิ๋นอี้ เมื่อเห็นว่าเขามีบาดแผลทั่วทั้งตัว จึงส่งเสียงจิ๊จ๊ะแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดไม่เจอกันแค่ไม่กี่เดือน เจ้าจึ งได้รับบาดเจ็บจนมีสภาพเช่นนี้เล่า”
อวิ๋นอี้ยิ้มอย่างขมขื่น “สภาพดูไม่ดีเท่าตอนนั้นจริงๆ แหละ”
“เอาละ เจ้าอย่าเพิ่งพูดเลยดีกว่า เดี๋ยวจะไม่มีแม้แต่พลังมากระตุ้นยาวิเศษ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางหยิบยาวิเศษเม็ดหนึ่งออกมาให้เขากิน หลังจากนั้นจึงมองคนของหุบเขามารเทพแ แล้วถามว่า “คนพวกนี้เป็นคนในหุบเขาของเราทั้งหมดเลยหรือ”
“ใช่ พวกเขาเป็นศิษย์หุบเขาย่อยแต่ละแห่งของหุบเขาในทั้งหมดเลย” อวิ๋นอี้พูด
“ยังมีหุบเขาย่อยอีกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม “คนของหุบเขามารเทพมิได้อยู่ด้วยกันอย่างนั้นหรือ”
“จะบอกว่ามิได้อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก เพียงแต่คนที่เชี่ยวชาญต่างกัน มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง” อวิ๋นอี้พูด
“อ้อ เป็นเช่นนี้นี่เอง ช่างวุ่นวายเสียจริง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ เหตุใดจึงโง่เง่าไม่รู้จักกินยารักษาอาการบาดเจ็บกันเล่า”
“คา…คารวะเจ้าหุบเขาน้อย” คนเหล่านั้นเคอะเขินอยู่บ้าง แต่ก็ยังทำความเคารพซือหม่าโยวเย่ว์
“ลุกขึ้นเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไม่มียาวิเศษแล้วใช่หรือไม่”
คนของหุบเขามารเทพพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน
“ข้ารู้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกอวิ๋นเฟิงกินยาวิเศษกันไปจนหมดแล้ว คาดว่าของพวกเจ้าก็คงพอกัน เจ้าน่ะ เจ้ายังดูพอขยับเขยื้อนได้อยู่ เอาไปแจกจ่ายให้ทุกคนสิ”
เธอพูดกับชายหนุ่มวัยเยาว์คนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นเดินเข้ามา เขารับยาวิเศษไปแล้วนำไปแจกจ่ายจนหมด
“โยวเย่ว์ จะไว้ชีวิตเอาไว้บ้างหรือไม่” เจ้าไก่ฟ้าพูดพลางมองคนสุดท้ายที่เหลือ
“อืม เหลือเอาไว้ชั่วคราวก่อน ข้ายังมีเรื่องบางอย่างอยากถามเขา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้” เจ้าไก่ฟ้าพยักหน้า ยังไม่ลงมือกับเขาเป็นการชั่วคราว
จงไห่หย่อนก้นนั่งลงบนพื้น เขามองดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ ทั้งยังมีสัตว์อสูรเหนือเทพตรงหน้าตนอีก ราวกับอยู่ในห้วงความฝันก็ไม่ปาน
แน่นอนว่าความฝันนี้ก็เป็นฝันร้ายเช่นกัน