สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 371 ความลึกลับในตัวอูหลิงอวี่
ในขณะที่คนที่ซือหม่าโยวเย่ว์พามาสู้กลับไปทั่วทุกหนแห่งอยู่นั้นเอง พวกซือหม่าโยวหลินก็เสร็จสิ้นการปลีกวิเวกในคราวนี้แล้วเช่นเดียวกัน
ซือหม่าโยวหลินออกจากการปลีกวิเวกเป็นคนแรก เขาเลื่อนระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงสามขั้นในระยะเวลาเก้าเดือนกว่า สำเร็จเป็นราชันวิญญาณขั้นสี่
ซือหม่าโยวหลานก็เลื่อนระดับขึ้นไม่น้อยเช่นกัน ห่างจากขั้นสี่อีกเพียงแค่ขอบกั้นเดียวเท่านั้น
ซือหม่าโยวหยางเพิ่งสำเร็จเป็นราชันวิญญาณขั้นสาม
คนอื่นๆ ของตระกูลซือหม่าก็เข้าสู่ระดับราชันวิญญาณตามกันมาติดๆ
หลังจากที่หยาดปราณวิญญาณภายในถ้ำถูกดูดซับจนหมดแล้ว พวกเขาจึงทยอยลืมตากันขึ้นมา
“คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะดูดซับหยาดปราณวิญญาณของที่นี่กันจนหมดเกลี้ยงเสียแล้ว” ซือหม่าโยวฉิงอุทาน
“ใช่แล้ว พลังยุทธ์ของทุกคนก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย” ซือหม่าโยวหยางพูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราล้วนเลื่อนไปถึงระดับราชันวิญญาณกันหมดแล้ว” พวกซือหม่าโยวหมิงก็ดีใจมากเช่นกัน คราวนี้ถือว่าเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาเลยทีเดียว
เมื่อถามสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาที่เฝ้าอารักขาอยู่ พวกเขาจึงได้รู้ว่าพวกตนปลีกวิเวกกันไปนานเกือบสิบเดือนได้แล้ว
“สิบเดือน” ซือหม่าโยวหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าคราวนี้พวกเราจะใช้เวลาปลีกวิเวกกันยาวนานเช่นนี้ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่สองเดือนก็ต้องจากไปแล้ว พวกเราจำเป็นต้องไปตามหาพวกโยวเย่ว์ได้แล้ว”
“เฮ้… ตรงนั้นมีโครงกระดูกอยู่กองหนึ่งน่ะ” ซือหม่าโยวฉีร้องขึ้น
ทุกคนมองตามสายตาของเขาไป ในส่วนลึกที่สุดของถ้ำภูเขา โครงกระดูกร่างหนึ่งเอนอยู่ภายในหยาดปราณวิญญาณที่เหลืออยู่เล็กน้อย เพราะพวกเขาดูดซับปราณวิญญาณไปมากพอสมควรแล้ว โครงกระดูกนี้จึงปรากฏออกมาให้เห็น
“คนผู้นี้ก็คือผู้ที่ติดตั้งค่ายกลในตอนนั้นกระมัง” พวกเขาเดินเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คนผู้นี้จะต้องไปจากโลกย่อส่วนไม่ทันก่อนที่มันจะปิดตัวลงด้วยเหตุผลบางอย่างแน่นอน ก็เลยแก่ตายอยู่ที่นี่ในที่สุด” ซือหม่าโยวฉิงคาดเดา
“น่าจะไม่ใช่หรอก” ซือหม่าโยวหรานพูด “ถ้าหากแก่ตาย ก็คงไม่อาจติดตั้งค่ายกลที่ซับซ้อนถึงเพียงนี้ในละแวกใกล้ๆ ได้หรอก”
“ดูเหมือนปราณวิญญาณเหล่านั้นจะมาทางนี้หมดเลยนะ” ซือหม่าโยวหยางพูด
แต่ละคนรับสัมผัสกันครู่หนึ่งแล้วพบว่าเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ปราณวิญญาณที่นี่ต่างวิ่งมาทางนี้ทั้งสิ้น
“ที่นี่มีสิ่งใดที่ดูดซับปราณวิญญาณเหล่านี้เข้ามากันนะ” ซือหม่าโยวฉิงอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย “คงมิใช่ว่าโครงกระดูกนี้ดูดซับปราณวิญญาณเหล่านี้ได้หรอกกระมัง”
“ฟุ้งซ่านน่า! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าโยวหยางเขกศีรษะนาง
“ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกเราจะพบสมบัติล้ำค่าเข้าเสียแล้วสิ” ซือหม่าโยวหลินพูดพลางเดินเข้าไปหาโครงกระดูก ก่อนจะเลิกชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน
“นี่คือสิ่งใดกัน” ซือหม่าโยวหมิงถามแทนเสียงในใจของทุกคน
“ไม่รู้สิ แต่หยาดปราณวิญญาณของที่นี่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวหลินพูด
“ดูเหมือนว่าไข่มุกนี้จะมีประโยชน์ในการดึงดูดปราณวิญญาณเข้ามา ถ้าหากใช้ไข่มุกนี้ในการบำเพ็ญไปตลอด การบำเพ็ญจะต้องลงแรงน้อยแล้วได้ผลดีมากอย่างแน่นอน” ซือหม่าโยวหรานพูด
“หึๆ รอให้พวกเรากลับไปก่อน แล้วจะให้คนในตระกูลใช้ในการบำเพ็ญ พลังยุทธ์ของตระกูลเราจะต้องแข็งแกร่งกว่าตระกูลอื่นๆ มากยิ่งขึ้นไปอีกแน่นอน” ซือหม่าโยวหยางพูด
“ตอนนี้เก็บขึ้นมาไว้ก่อนเถิด พอออกไปแล้วค่อยมอบให้ท่านประมุขตระกูล” ซือหม่าโยวหลินพูด “ตอนนี้พวกเราไปหาพวกโยวเย่ว์กันดีกว่า”
“ได้สิ”
“โยวหลิน เจ้ารีบดูเร็วเข้าว่าพวกโยวเย่ว์อยู่ห่างจากพวกเรามากเพียงใด” ซือหม่าโยวฉิงเอ่ยเร่ง
ซือหม่าโยวหลินหยิบก้อนหยกออกมา จุดสีแดงโลหิตขนาดค่อนข้างเล็ก แสดงว่าตอนนี้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองนั้นไกลอย่างยิ่ง
“ดูเหมือนถ้าอยากจะหาพวกเขาพบ พวกเราคงต้องบินกันแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวหยางพูด
“โชคดีที่พวกเรามีสัตว์อสูรบินได้กันอยู่มาก ความเร็วก็ไม่น้อยเลยด้วย ถ้าหากเดินทางกันทั้งวันทั้งคืนก็คงใช้เวลาไม่มากสักเท่าไหร่นักหรอก” ซือหม่าโยวหมิงพูด
“เช่นนั้นพวกเราไปหาพวกเขากันตอนนี้เลยดีกว่า”
“ช้าก่อน” ซือหม่าโยวหลินส่งเสียงห้ามปราม
“ทำไมหรือ โยวหลิน”
ทุกคนมองเขา เขาโบกมือมาทางทุกคน หลังจากนั้นจึงค้อมกายคารวะโครงกระดูกร่างนั้นพลางพูดว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ทิ้งโอกาสเอาไว้ให้พวกเรา พวกเรามิอาจตอบแทนอะไรได้ แจ่จะพาผู้อาวุโสไปพักผ่อนอย่างสงบสุขใต้พื้นดินนะขอรับ”
เห็นเขาทำเช่นนี้ คนอื่นๆ จึงค้อมกายคารวะด้วยเช่นกัน
ซือหม่าโยวหลินยืดกายขึ้นแล้วพาทุกคนออกไป ทว่ามิได้ฝังโครงกระดูกร่างนั้นไปพักผ่อนอย่างสงบสุขใต้พื้นดินแต่อย่างใด
“โยวหลิน?” ซือหม่าโยวฉิงมองซือหม่าโยวหลิน
ซือหม่าโยวหลินมิได้พูดอะไร แต่กลับออกไปข้างนอกแล้วเริ่มถอนค่ายกลแห่งนี้ เขาเก็บหินยืมวิญญาณเหล่านั้นขึ้นมา หลังจากที่เขาถอนค่ายกลทั้งหมดแล้วทุกคนจึงรู้สึกว่าไอหมอกที่ปกคลุมยอดเขาแห่งนี้อยู่เลือนหายไปหมดสิ้น
พวกเขายืนอยู่ที่เบื้องหน้าภูเขา ซือหม่าโยวหลินค้อมกายคารวะอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงรวบรวมปราณวิญญาณซัดเข้าใส่ยอดเขา ก่อนจะโจมตีอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง จนยอดเขาทั้งหมดพังทลายแล้วกองกันเป็นพะเนินราวกับสุสานขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
“ไปกันเถิด”
เขาเรียกสัตว์อสูรบินได้ของตนออกมา ก่อนจะพาคนอื่นๆ บินตรงไปยังทิศทางที่ซือหม่าโยวเย่ว์อยู่
ห่างออกไปสิบล้านลี้ ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังนำคนของหุบเขามารเทพต่อสู้กับคนกลุ่มหนึ่งอยู่ คนเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ผู้ติดตามของถ้ำเมฆขาวและตำหนักผู้วิเศษเท่านั้นแต่มีจำนวนไม่น้อยเลย
ผลการต่อสู้มิได้นอกเหนือความคาดหมายเลย แต่พวกซือหม่าโยวเย่ว์กลับได้รับข่าวที่ชวนให้ตกใจอย่างยิ่งจากปากของคนเหล่านั้น
…ตำหนักผู้วิเศษและถ้ำเมฆขาวรู้แล้วว่าคนของหุบเขามารเทพเริ่มต้นโจมตีกลับ เอาชนะคนได้จำนวนหนึ่งแล้วยังมีพลังยุทธ์ไม่ต่ำต้อย จึงรวบรวมคนกว่าหมื่นคนเป็นอย่างน้อย เตรียมจะจัดการกับพวกเขา
หลังจากได้ฟัง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เบ้ปากแล้วรำพึงว่า “คนโบราณว่าเอาไว้ได้ถูกต้อง โลกใบนี้ขาดแคลนทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นมนุษย์!”
เมื่อได้ยินคำรำพึงของเธอ พวกอวิ๋นอี้จึงพากันหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “คราวนี้ดินแดนจำนวนมากส่งคนเข้ามากันไม่น้อยเลย หากมิใช่แสนคนก็แปดหมื่นคน พวกเขารวบรวมมาได้เกินหมื่นคนก็ไม่นับว่าเกินจริงมากนักหรอก”
“แล้วเหตุใดพวกเราจึงไม่มีคนมากมายเช่นนั้นบ้างเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูค่ายพักของพวกตน นอกจากตระกูลอวิ๋น ตระกูลกัว และคนของหุบเขามารเทพกับสำนักรุ้งจันทราแล้ว ก็เหลือเพียงแค่พวกเขาที่มาจากดินแดนอี้หลินไม่กี่คนเท่านั้น
“เหตุผลมากมายนัก” เสิ่นเหราพูด “ตำหนักผู้วิเศษไม่เหมือนกับขุมอำนาจอื่นๆ พวกเขามีตำหนักย่อยอยู่ที่ดินแดนเบื้องล่างต่างๆ จำนวนไม่น้อยเลย นอกจากนี้ยังมีสถานะอันสูงส่งกันทั้งสิ้นอีกด้วย โดยทั่วไปแล้วคนของดินแดนเหล่านั้นล้วนสวามิภักดิ์อยู่ภายใต้อิทธิพลของตำหนักผู้วิเศษ ตอนนี้คนของตำหนักผู้วิเศษรวบรวมอำนาจ ผู้ที่เข้าใจตำหนักผู้วิเศษสักหน่อยย่อมต้องติดตามพวกเขาอยู่แล้ว”
“นอกจากนี้ตำหนักผู้วิเศษยังมีเรื่องของสัตว์อสูรเหนือเทพที่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโลกย่อส่วน ทุกคนต่างรู้กันว่าโดยพื้นฐาน สัตว์อสูรเหนือเทพก็คือข้อสรุปแล้ว การที่ตำหนักผู้วิเศษกับถ้ำเมฆขาวรวบรวมกำลังพลก็เป็นเพียงแค่ผักชีโรยหน้า พวกเขาต่างก็อยากไปเสนอหน้าเท่านั้นเอง” อวิ๋นเฟิงพูด
“เฮ้อ… ผู้อื่นต่างก็รู้จักแผ่ขยายอิทธิพลไปยังขุมอำนาจเบื้องล่าง เหตุใดพวกเจ้าจึงยังคงรักษาพื้นที่กะจ้อยร่อยของเบื้องบนอยู่เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์รำพึง
“เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับวิถีจิตที่บำเพ็ญในอนาคตก็เป็นได้” เฉียวย่าพูด “ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์พูดว่า ดูเหมือนวิถีจิตของตำหนักผู้วิเศษจะอาศัยแรงศรัทธาในการเลื่อนระดับได้ ถ้าหากแรงศรัทธายิ่งมาก พลังที่พวกเขาได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นไปด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพัฒนาคนเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง”
“ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักผู้วิเศษกับหุบเขามารเทพไม่สู้ดีสักเท่าไหร่นัก แล้วเหตุใดศิษย์พี่จึงกลายเป็นผู้วิเศษได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ
นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าเขาจะมิใช่ผู้วิเศษธรรมดาทั่วไปอีกด้วย คล้ายว่าจะมีสถานะอันสูงส่งในตำหนักผู้วิเศษอีกต่างหาก
อวิ๋นอี้ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกัน ได้ยินว่าประมุขตำหนักผู้วิเศษมารับเขาไปยังหุบเขามารเทพด้วยตนเองอีกต่างหาก”
……………………………………