สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 380 ไม่ยินยอม ก็จะแผดเผาพวกเจ้าเสียเดี๋ยวนี้!
“อะไรนะ!” ทุกคนตกตะลึงอย่างใหญ่หลวง
“ใครกันที่บีบบังคับให้พวกเจ้าเข้าไปในนั้น” อวิ๋นจิ่นเว่ยถามด้วยสีหน้าดำทะมึน
อวิ๋นอี้และอวิ๋นเฟิงคือบุตรชายสองคนที่ตนชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้มีคนกล้าลอบลงมือกับพวกเขา ถ้าหากมิใช่เพราะมีซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ รวมทั้งมีเปลวเพลิงพรรค์นั้นห่อหุ้มพ พาตัวพวกเขาออกมา ชาตินี้เขาก็คงไม่ได้เจอบุตรชายที่รักของตนเองอีกต่อไปแล้ว!
“เป็นคนตระกูลจาน” อวิ๋นเฟิงกุมบาดแผลบนแขนพลางเอ่ยว่า “หลังจากพวกเราออกมาแล้วก็อยู่ห่างจากที่นี่พอสมควร ตอนที่กำลังหาค่ายกลนำส่งกลับไปอยู่นั้นเอง กลับพบคนตระกูลจาน เข้าก่อนจะเข้าไปถึงเมือง อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับเทพ พวกเราจึงได้แต่หลบหนีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โชคดีที่โยวหลินมีค่ายกลนำส่งอยู่ไม่น้อย จึงทำให้พวกเราหลบหนีจากเงื้อ อมมือของเขาได้หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังถูกเขาบีบให้เข้ามาในนี้อยู่ดี”
อวิ๋นเฟิงพูดอย่างเรียบง่าย แต่ทุกคนกลับจินตนาการได้ถึงการต่อสู้อันสะท้านสะเทือนวิญญาณและความสิ้นหวังอับจนหนทาง
เข็มเงินบนมือซือหม่าโยวเย่ว์ชะงัก
“คนตระกูลจาน… ดี ดีมาก”
เธอพูดอย่างเย็นชาแล้วฝังเข็มให้ซือหม่าโยวหลินต่อไป
“หลังจากที่พวกเราเข้ามาในกำแพงพิษแล้ว พวกเขาตามมาไม่กี่ก้าวก็หนีออกไป หลังจากนั้นก็เฝ้าอยู่ข้างนอกตลอดถึงสองวัน คิดว่าพวกเราสิ้นชีวิตแล้วจึงจากไป” อวิ๋นเฟิงพูดต่อ “โชคด ดีที่โยวหลินพกยาถอนพิษติดตัวมาไม่น้อย ทั้งยังมีค่ายกลคุ้มกัน จึงต้านทานไอพิษเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นพวกเราย่อมไม่มีทางต้านทานเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้แน่นอน”
“คนตระกูลจานช่างกล้าดีเหลือเกิน!” อวิ๋นจิ่นเว่ยพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ระยะนี้ตระกูลอวิ๋นของข้าวางตัวสมถะ ตระกูลจานของพวกเขาคิดจริงๆ หรือว่าตระกูลอวิ๋นของข้ากลัวพวกเขา น่ะ! พอกลับไปแล้วพวกเราก็จะลงมือวางแผนกันเลย ข้าจะทำให้บนดินแดนแห่งนี้ไม่มีตระกูลจานอยู่อีกต่อไป!”
เดิมทีหลังจากที่ศิษย์ตระกูลอวิ๋นกลับไปก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกย่อส่วนให้พวกเขาฟังแล้ว ตระกูลอวิ๋นก็เดือดดาลไม่น้อย แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจกดดันตระกูลจาน ก็ได้รู้ ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับอวิ๋นเฟิง พวกเขาจึงได้พากันมาที่นี่อย่างร้อนรนราวกับไฟเผา
ตอนนี้ได้รู้ว่าบุตรชายของตนถูกคนตระกูลจานกดดันให้เข้ามาภายในกำแพงพิษใจของเขาก็เดือดดาลจนมิอาจระงับได้ จึงตัดสินใจว่าจะต้องล้างผลาญคนตระกูลจานเสียให้สิ้น
“นับรวมพวกเราด้วยนะ” เสียงของซือหม่าโยวเย่ว์แว่วมา เห็นเพียงแค่ว่าเธอฝังเข็มเสร็จสิ้นแล้ว ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวหลินจะยังดูอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้เป็นอันตรายถึง งชีวิตแล้ว
เดิมทีอวิ๋นจิ่นเว่ยอยากจะพูดว่าไม่ต้อง แต่ต่อมาก็นึกถึงที่พวกเขาบอกว่าซือหม่าโยเย่ว?มีสัตว์อสูรวิเศษอยู่กว่าหมื่นตัว เมื่อเห็นคนใกล้ตัวถูกรังแกจนแทบถึงแก่ชีวิต พวกเ เขาย่อมต้องมีเพลิงโทสะลุกโชนในใจเช่นเดียวกัน จึงพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ได้เลย ไม่มีปัญหา”
“ถึงแม้ว่าไอพิษภายในร่างกายพวกเขาจะถูกขับออกมาแล้ว แต่สถานการณ์ของคนทั้งสองก็มิสู้ดีนัก หาสถานที่สักแห่งให้พวกเขาพักฟื้นสักสองวันก่อนเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ระหว่า างนี้พวกเราก็มาทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของตระกูลจานกัน”
“ได้” ตอนนี้อวิ๋นจิ่นเว่ยซาบซึ้งใจในตัวซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่เธอรู้วิชาแพทย์ ไม่อย่างนั้นต่อให้ช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากกำแพงพิษ ก็ไม่มีทางขับไอพิษออกมาได้ ช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้อยู่ดี
ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเจ้าวิหคน้อยออกมา แล้วให้ซือหม่าโยวหยางพยุงซือหม่าโยวหลินขึ้นไป
อวิ๋นจิ่นเว่ยพยุงอวิ๋นเฟิงขึ้นไปบนสัตว์อสูรบินได้ของตน หลังจากรอจนคนตระกูลอวิ๋นขึ้นไปหมดแล้ว สัตว์อสูรบินได้สองตนก็บินกลับไปตามทิศทางที่บินมา หลังจากออกไปจากพื้น นที่อันตรายแล้วก็ร่อนลงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ก่อนจะกางกระโจมให้คนเจ็บทั้งสองได้พักผ่อน
หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปหาอวิ๋นจิ่นเว่ย
“ประมุขตระกูลอวิ๋น ท่านเล่าสถานการณ์ของตระกูลจานให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“ได้เลย”
ที่แท้ดินแดนไร้กลิ่นอายก็มีการแบ่งระดับพลังยุทธ์เช่นเดียวกันกับดินแดนอี้หลิน ก่อนหน้านี้ตระกูลจาน ตระกูลกัว และตระกูลอวิ๋นคือสามตระกูลที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งตระกูลกัวและตระก กูลอวิ๋นมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ส่วนตระกูลจานนั้นหลังจากท่านประมุขตระกูลรับตำแหน่งแล้ว ความสัมพันธ์กับทั้งสองตระกูลก็ค่อยๆ ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ถึงขนาดที่คิดจะ ะกลืนกินอีกสองตระกูล กลายเป็นตระกูลสูงสุด
เดิมทีพลังยุทธ์ของตระกูลจานก็แข็งแกร่งกว่าตระกูลกัวและตระกูลอวิ๋นอยู่พอสมควร ต่อมาบรรพชนท่านหนึ่งของพวกเขาได้กลายเป็นรองประมุขตำหนักย่อยของตำหนักผู้วิเศษที่เบื้องบน ทั้งยังมีคนเข้าสู่ตำหนักผู้วิเศษเป็นจำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงยิ่งโอหังเหิมเกริม ตอนนี้ยังร่วมมือกับตำหนักย่อยของตำหนักผู้วิเศษแห่งดินแดนไร้กลิ่นอายแล้วเริ่มลงมือกับทั้งต ตระกูลกัวและตระกูลอวิ๋น
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าถ้าหากพวกเราอยากจะลงมือ ไม่เพียงแต่ต้องต่อกรกับตระกูลจานเท่านั้น แต่ยังต้องต่อกรกับตำหนักผู้วิเศษด้วยใช่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ถ้าหากตำหนักผู้วิเศษต้องการปกป้องตระกูลจานจริงๆ น่ะนะ” อวิ๋นจิ่นเว่ยพูด
“ไม่ต้องสนใจตำหนักผู้วิเศษ ตระกูลจานกล้าลงมือสังหารโยวหลิน ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา ถ้าหากตำหนักผู้วิเศษนั่นตัดสินใจสอดมือยุ่งเกี่ยว พวกเราก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการคนมาก กขึ้นอีกกลุ่ม ถึงอย่างไรตอนตำหนักผู้วิเศษอยู่ที่โลกย่อส่วนก็คิดจะสังหารคนของหุบเขามารเทพของข้า เรื่องราวล้วนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็น “พลังยุทธ์ของตระกูลจานและตำหนักผู้วิเศษเป็นเช่นไรบ้าง”
“ตระกูลจานมีคนระดับเทพขึ้นไปมากกว่าพวกเราสองตระกูล ถ้าหากบวกกับตำหนักผู้วิเศษด้วย ก็ต้องมีเกินกว่าสี่สิบคน” อวิ๋นจิ่นเว่ยพูด
“พวกท่านสองตระกูลมีระดับเทพขึ้นไปอยู่มากเพียงใดหรือ”
“รวมกันแล้วน่าจะมีสามสิบกว่าคนกระมัง บวกลบไม่เกินห้าคน” อวิ๋นจิ่นเว่ยพูด “ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น คนที่มีพลังยุทธ์ระดับจ้าววิญญาณของพวกเขาก็มีมากกว่าพวกเราเช่นกัน”
“ดูเหมือนความแตกต่างของระดับพลังยุทธ์นี้จะเหลื่อมล้ำกันอยู่พอสมควรเลยนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ถ้าหากคนของตำหนักผู้วิเศษไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว พวกเราก็มีโอกาสชนะเต็มเปี่ยม แต่ถ้าหากพวกเขาสอดมือยุ่งด้วย ต่อให้ตัวพวกเราจะตายก็ต้องลากพวกเขาไปรับเคราะห์ด้วยกัน!” อวิ๋นจ จิ่นเว่ยพูดอย่างชิงชัง
หลายปีมานี้ตระกูลจานอหังการมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลอวิ๋นคิดจะสู้กลับมาตั้งนานแล้ว
“ถ้าหากทำได้ ข้ายังหวังว่าพวกเจ้าจะไม่เข้ามาร่วมพัวพันด้วย เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเจ้าต้องยุ่งยากไปด้วยเมื่อถึงตอนนั้น” อวิ๋นจิ่นเว่ยพูด
“ตระกูลจานมาแตะต้องพวกเราถึงที่แล้วพวกเราจะยังถอยห่างอยู่ได้อย่างไรกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ระดับเทพสิบกว่าคนที่เหลือนั่น ข้าจะคิดหาวิธีเอง ประมุขตระกูลอวิ๋น ข้ ายังมีธุระต้องไปทำ ขอตัวออกไปก่อน”
เธอออกมาจากกระโจมของอวิ๋นจิ่นเว่ยแล้วเสาะหาหุบเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ก่อนจะเรียกหรงและกงเหยียนรวมทั้งผู้อาวุโสเผ่าเหล่านั้นออกมา
“ที่นี่คือโลกภายนอกอย่างนั้นหรือ”
ผู้อาวุโสเผ่าเหล่านั้นมองไปรอบด้าน บรรยากาศมิได้แตกต่างกับภายในสักเท่าใดนัก
“ข้าไม่รู้สึกถึงแรงกดดันนั่นอีกต่อไปแล้ว!” ผู้อาวุโสเผ่าตนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้น
“จริงด้วย! พูดเช่นนี้พวกเราก็เลื่อนระดับได้แล้วสิ!”
“ฮ่าๆ ข้ารู้สึกได้ว่าปราณวิญญาณภายในร่างเดือดพล่านแล้ว!”
“ข้าก็เช่นกัน! ข้ารู้สึกว่าข้าเลื่อนระดับได้เดี๋ยวนี้แล้ว!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเจ้าไก่ฟ้าออกมา คนเหล่านั้นจึงเงียบงันลงไปในทันใด
“ข้าพาพวกเจ้าออกมาตามข้อตกลงของพวกเราแล้ว” เธอมองพวกเขาปราดหนึ่งแล้วเอ่ยต่อไปว่า “เพื่อรับรองว่าพวกเจ้าจะไม่กลับคำ จงให้สัตย์สาบานมาเสีย”
“ให้สัตย์สาบานหรือ” ผู้อาวุโสเผ่าเหล่านั้นตะลึงงันไป เหตุใดจึงต้องสาบานด้วยเล่า
“เหตุใดจึงต้องให้พวกเราสาบานด้วยเล่า เจ้าไม่คิดจะเชื่อใจพวกเราเลยหรือ!” มีผู้อาวุโสเผ่าบางคนไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
“ย่อมต้องทำเพื่อเป็นหลักประกันเอาไว้สักหน่อยน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้พวกเจ้ายังไม่เลื่อนระดับ ถ้าหากพวกเจ้าเลื่อนระดับกลายเป็นสัตว์อสูรเหนือเทพกันหมดแล้ว เจ้าไก ก่ฟ้าเพียงคนเดียวอาจจะไม่อาจกำราบพวกเจ้าได้ ถึงเวลานั้นหากพวกเจ้าคืนคำแล้วจะทำเช่นไรเล่า แน่นอนว่าเพื่อความยุติธรรม ข้าก็จะสาบานด้วยเช่นกัน”
“ไม่ได้ นี่เป็นการไม่เคารพพวกเรา!” ผู้อาวุโสเผ่าของเสือเขี้ยวดาบปฏิเสธออกมาตรงๆ
เดิมทีพวกมันก็คิดเช่นนี้อยู่แล้ว รอพวกมันเลื่อนไปถึงระดับสัตว์อสูรเหนือเทพแล้วค่อยกลับคำ หนีไปจากซือหม่าโยวเย่ว์ ถ้าหากสาบานแล้วจะจากไปอีกได้อย่างไรกันเล่า
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มเย็น “ไม่เต็มใจทำก็ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเจ้าก็ยังมิได้เลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรเหนือเทพ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสียตอนนี้เลยก็ได้!”