สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 382 ตักตวงผลประโยชน์ก่อน
เป่ยกงถังมองดูรอยยิ้มบนใบหน้าซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเจ็บปวดใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยว่า “หลอมยาบรรลุเทพหกสิบเม็ดในหกวัน ลำบากเจ้าแล้ว น่าเสียดายที่ระดับขั้นของข้าไม่เพียงพอ มิ อาจช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าได้”
“เอาน่า เจ้าจะตำหนิตัวเองไปทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่นางคราหนึ่งแล้วพูดว่า “ในภายหน้าจะทำอะไรก็ขาดเจ้าไปมิได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอยากหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว”
ในขณะนี้เองเจ้าอ้วนก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ตระกูลอวิ๋นจัดเก็บกระโจมเสร็จแล้ว จะเสร็จเรียบร้อยเดี๋ยวนี้แล้ว ข้าก็จะไปเก็บของข้าบ้างแล้วนะ”
เขาพูดจบแล้วเดินออกไป
“ข้าก็ไปด้วย” เป่ยกงถังพูดแล้วออกไป
เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีเพียงแค่กระโจมและเตียงหลังหนึ่งเท่านั้น เธอโบกมือคราหนึ่งก็เก็บข้าวของทั้งหมดเข้าไปเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นจึงออกไปรอคนอื่นๆ
ไม่นานนักทุกคนก็เก็บข้าวของเสร็จ อวิ๋นเฟิงเดินเข้ามาแล้วทำความเคารพซือหม่าโยวเย่ว์อย่างยิ่งใหญ่เป็นการขอบคุณบุญคุณที่เธอช่วยชีวิต
เขามาได้ยินในภายหลังว่าตอนนั้นซือหม่าโยวเย่ว์ช่วยตนได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะหายดีมาหลายวันแล้ว แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยู่ ตลอดมาเขาจึงยังไม่มีโอกาสได้พูดแสดงความขอบคุณ เลย
ซือหม่าโยวเย่ว์กลับรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไร แล้วเอ่ยว่า “ถ้าหากไม่มีเจ้า โยวหลินอาจจะไม่มีทางหนีรอดออกมาจากเงื้อมมือของคนผู้นั้นแล้วก็เป็นได้ ข้าช่วยเจ้าก็นับว่าเป็นการ รช่วยเขาตอบแทนเจ้าก็แล้วกัน”
“โยวหลินช่างโชคดียิ่งนักที่มีคนอย่างเจ้าเป็นญาติสนิท” อวิ๋นเฟิงรำพึง
ซือหม่าโยวหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ข้างๆ มุมปากยกเป็นรอยยิ้มจางๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะไปแก้แค้นได้ด้วยตัวเองในภายหน้า แต่เขาก็ชอบท่าทีที่นางโมโหเพราะตนได้รับบาดเจ็บ
อวิ๋นจิ่นเว่ยเดินเข้ามาบอกว่าออกเดินทางได้แล้ว หลังจากนั้นจึงพาพวกเขาบินตรงไปยังเมืองเล็ก
บางทีอาจเป็นเพราะด้านนอกของเมืองแห่งนี้เป็นดินแดนร้างไร้ผู้คน ดังนั้นจึงมีผู้คนเข้าออกไม่มากนัก ขนาดเมืองก็มิได้ใหญ่โต
จานเส่าหยวนออกมาจากออกมาจากโรงเตี๊ยม เตรียมตัวจะกลับไปยังตระกูลจานผ่านค่ายกลนำส่ง เขารายงานเรื่องสังหารนายน้อยตระกูลอวิ๋นตายไปยังตระกูลแล้ว ซึ่งทางตระกูลบอกว่าเมื่อเ เขากลับไปแล้วก็ไปรับรางวัลได้ ดังนั้นหลังจากจัดการเรื่องทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็เตรียมจะกลับตระกูล
แต่เมื่อเขาเดินออกมาด้วยความยินดีปรีดากลับได้เห็นคนที่ไม่ควรจะได้เห็น
“อวิ๋นเฟิงหรือ พวกเจ้าไม่ได้เข้าไปในกำแพงพิษเกินสองวันแล้วหรือไร เหตุใดจึงยังมีชีวิตอยู่ได้เล่า” จานเส่าหยวนตกใจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ทว่าอวิ๋นเฟิงกลับมิได้พูดอะไรมาก บนใบหน้าฉายแววหวั่นเกรง จากนั้นก็หมุนกายวิ่งมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง “ยังคิดจะวิ่งหนีอีกหรือ ในเมื่อคราวก่อนฆ่าเจ้าทิ้งไม่ได้ คราวนี้ข้าก ก็จะส่งเจ้าไปยังปรโลกด้วยตัวเอง!” จานเส่าหยวนพูดพลางวิ่งไล่ตามไป
เมืองเหล่านี้ล้วนมีกฎห้ามมิให้ลงมือตามอำเภอใจภายในเมือง เขาจึงทำได้เพียงไล่ตามอวิ๋นเฟิงออกไปนอกเมืองเท่านั้น
ทางตระกูลได้บอกเอาไว้แล้วว่าให้เขากลับไปรับรางวัล ถ้าหากพวกเขาค้นพบว่าอวิ๋นเฟิงยังมีชีวิตอยู่ จะต้องบอกว่าเขารายงานข่าวเท็จอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่จะไม่ตกรางวัลให้เขา เท่านั้น แต่ยังจะลงโทษเขาแทนอีกต่างหาก
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องสังหารอวิ๋นเฟิงให้จงได้
เขาวิ่งตามอวิ๋นเฟิงมาตลอดทางจนถึงนอกเมือง เมื่อมาถึงที่นี่พวกเขาก็เหาะเหินเดินอากาศได้แล้ว เขาเห็นอวิ๋นเฟิงบินขึ้นไปบนภูเขานอกเมืองจึงเพิ่มแรงไล่ตามไป
เขายังร่อนลงไปไม่ทันถึงพื้นดินก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่บนภูเขา แล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปรไป เขาหันกลับแล้วรีบหนีไปทันที
แต่ไม่รู้ว่าด้านหลังเขามีคนหลายคนรอคอยตนอยู่กลางอากาศตั้งแต่เมื่อใด
“โยวหลิน เขานี่หรือที่บีบบังคับให้พวกเจ้าต้องเข้าไปในกำแพงพิษน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองจานเส่าหยวนพลางเอ่ยถาม
“อื้ม” ซือหม่าโยวหลินขานรับคำหนึ่ง
คนผู้นี้นี่เองที่เกือบจะทำให้เขาไม่ได้พบนางอีกตลอดกาล เจ้าคนผู้นี้… สมควรตายนัก!
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพของตระกูลอวิ๋นเข้าต่อสู้โดยไม่พูดไม่จา จานเส่าหยวนเพิ่งจะเลื่อนไปถึงระดับเทพ เพียงไม่นานก็ถูกทำลายล้างจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
“เจ้าหุบเขาน้อย ต่อไปพวกเราก็กลับตระกูลไปหารือกันว่าจะรับมือกับตระกูลจานและตำหนักผู้วิเศษอย่างไรกันดีกว่า” อวิ๋นจิ่นเว่ยเห็นจานเส่าหยวนสิ้นใจไปแล้วจึงพูดกับซือหม่าโยว วเย่ว์ที่อยู่ข้างกาย
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องนั่งค่ายกลนำส่งอีกแล้ว ในใจเธอก็ทุกข์ทรมานยิ่งนัก
ตอนนี้อาณาเขตของดินแดนไร้กลิ่นอายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ต่อไปเมื่อขึ้นไปยังเบื้องบน ระยะทางก็ต้องไกลยิ่งขึ้นอีก เช่นนั้นการโดยสารค่ายกลนำส่งก็จะไม่ยิ่งทุกข์ยากมากขึ้นไปอีกห หรือ
“ไม่ได้การล่ะ ต้องรีบยกระดับความสามารถในการติดตั้งค่ายกลของตัวเองเสียแล้ว การใช้ค่ายกลของตัวเองมิได้ทุกข์ยากถึงเพียงนั้น ต่อไปจะไปไหนก็ไม่ต้องไปใช้ของสมาคมปรมาจารย์วิญญา าณทุกครั้งแล้ว”เธอลอบคิดอยู่ในใจ
คนของตระกูลซือหม่าตามคนตระกูลอวิ๋นไปยังบ้านตระกูลอวิ๋น ซึ่งพวกเธอก็ได้รับความเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างสูงเช่นเดียวกันกับเมื่ออยู่ในบ้านตระกูลกัว
ซือหม่าโยวเย่ว์ไปพักผ่อนอยู่สองวัน ซึ่งภายในสองวันนี้ ไม่มีใครในตระกูลอวิ๋นมารบกวนเลย หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าสบายดีแล้วก็เข้าไปภายในเจดีย์วิญญาณเพื่อศึกษาค่าย ยกล
“ค่ายกลนำส่ง… ค่ายกลนำส่ง ฉันจะต้องศึกษาค่ายกลนำส่งนี่ให้ดีๆ เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ศึกษาตำราค่ายกลไปพลาง บ่นพึมพำไปพลาง
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่โลกย่อส่วน ถึงแม้ว่าค่ายกลนำส่งของเธอจะส่งตัวไปได้แค่สิบกว่าลี้เท่านั้น แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าค่ายกลนำส่งของตนเสถียรกว่าของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณ มากนัก มิได้ทำให้เกิดความรู้สึกวิงเวียนเช่นนั้น ดังนั้นถ้าหากเธอศึกษาค้นคว้าให้ดีๆ ในภายหน้าก็อาจจะขจัดความทุกข์ทรมานจากการเมาค่ายกลนำส่งนี้ไปได้
ค่ายกลนำส่งนั้นมีทั้งค่ายกลนำส่งถาวรและค่ายกลนำส่งชั่วคราว เธอจะต้องเชี่ยวชาญทั้งสองชนิดให้ได้เพื่อความสะดวกสำหรับการเดินทางในภายหน้า
“เจ้าวิญญาณน้อย เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าที่นี่ไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อก่อนแล้วเล่า” จู่ๆ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างฉับพลัน
“เจ้าเพิ่งค้นพบหรือว่าไม่เหมือนกัน ตอนที่เจ้าเลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณ ข้าก็วิวัฒน์ตามไปด้วย” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศพลางกอดยาวิเศษขวดหนึ่งเอาไว้เป็นของกินเล่ น
“แตกต่างกันอย่างไรบ้าง”
“เวลายาวนานกว่าก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ข้างนอกหนึ่งวันเท่ากับข้างในสามวัน แต่ตอนนี้ข้างนอกหนึ่งวันเท่ากับข้างในสิบวัน ปราณวิญญาณก็เข้มข้นกว่าก่อนหน้านี้ด้วย” เจ้าวิญญาณน้อ อยตอบ
“เช่นนั้นชั้นที่สองเปิดแล้วหรือยัง”
“ยัง ด้วยพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ คาดว่ารอให้เจ้าไปถึงระดับเทพก็คงจะเปิดออกได้จ”
“ต้องไปถึงระดับเทพเลยสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์หดหู่ใจอยู่บ้าง “กว่าจะเปิดได้แต่ละชั้นต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นกว่าจะเปิดเจดีย์วิญญาณทั้งหมดได้จะต้องมีพลังยุทธ์แข็งแกร ร่งสักเพียงใดกัน!”
“เจ้าก็อย่าท้อใจไปเลย ตอนนี้เจ้าเปิดไม่ได้ก็เพราะระดับพลังวิญญาณต่ำเกินไป ระดับวิญญาณไม่ต้องใช้พลังมากเท่ากับการยกระดับขึ้นหนึ่งระดับขั้นย่อยของระดับเทพขึ้นไปหนึ่งขั้ นด้วยซ้ำ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“จริงหรือ” นัยน์ตาทั้งคู่ของซือหม่าโยวเย่ว์เปล่งประกาย เช่นนั้นการเปิดเจดีย์วิญญาณในภายหน้าก็มิได้สบายมากเลยหรอกหรือ
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบดีใจเร็วจนเกินไปนัก ยิ่งไปถึงช่วงท้าย พลังที่จำเป็นต้องใช้ก็ยิ่งมาก คิดจะเปิดเจดีย์วิญญาณก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก” เจ้าวิญญาณน้อยเหมือนสาดน้ำเย็น นเข้าใส่
แต่สิ่งนี้ก็มิอาจทำลายความเบิกบานใจของซือหม่าโยวเย่ว์ได้ ขอเพียงแค่ดีกว่าที่จินตนาการเอาไว้ก็ใช้ได้แล้ว
นอกจากนี้ภายนอกหนึ่งวันก็เท่ากับภายในถึงสิบวันเลยทีเดียว เธอก็จะมีเวลาศึกษาค่ายกลและการหลอมยามากยิ่งขึ้นอีก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อได้ฟังจากที่เจ้าวิญญาณน้อยพูด ในภายหน้าเมื่อพลังยุทธ์ของตนเพิ่มพูนขึ้น ไม่แน่ว่ามันยังวิวัฒน์ต่อไปได้อีก ถึงตอนนั้นจะต้องยอดเยี่ยมยิ่งกว่าตอน นนี้อย่างแน่นอน
“มีคนมาน่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยเตือนเสียงหนึ่งก่อนจะหายวับไป
ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปจากเจดีย์วิญญาณ พอดีกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาได้”
เป่ยกงถังพาอวิ๋นเฟิงเข้ามา เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ อวิ๋นเฟิงก็ประสานมือคารวะเธอพลางเอ่ยว่า “ท่านลุงกัวและเพ่ยเพ่ยมา ท่านพ่อข้าบอกว่าให้มาเชิญท่านไปสนทนากันข้างนอก กสักหน่อย”
ซือหม่าโยวเย่ว์เลิกคิ้ว นี่กำลังจะเตรียมการหารือกันว่าจะทำลายล้างตระกูลจานเช่นไรแล้วใช่หรือไม่