สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 389 เมฆครึ้มอันแปลกพิกล
เมฆครึ้มกลุ่มนั้นทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดนัก!
บนพื้นทะเล ลมพายุฝนฟ้าคะนองย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เมฆครึ้มพรรค์นี้ก็พบเห็นได้บ่อยเป็นที่สุด แต่ตอนที่เธอมองเมฆครึ้มนั้นกลับรู้สึกราวกับว่ามันมีชีวิตแล้วตามสัตว์อสูรทะเลเหล่านี้เข้ามาโดยเฉพาะ
“เมฆกลุ่มนั้นแปลกพิกลนัก” เธอกล่าว
คนอื่นๆ ก็มองไปยังเมฆกลุ่มนั้นเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
“มาแล้ว”
พวกเขายังไม่ทันได้มองเมฆครึ้มนั้นต่อ เหล่าวาฬเพชฌฆาตก็เข้ามาใกล้พวกเขาแล้ว ทุกคนจึงขจัดความคิดทิ้งไป แล้วสู้ไปพร้อมกับคนที่มาจากในเมือง
“ข้า… ข้ามิได้มองผิดไปใช่หรือไม่ พวกเขาเป็นจ้าววิญญาณอย่างนั้นหรือ”
“โอ้… ใช่จริงๆ ด้วย!”
“เป็นจ้าววิญญาณทั้งหมดเลย!”
“พวกเขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเอง!”
“สวรรค์เอ๋ย ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
“ทุกคนให้ความสนใจกับการต่อสู้ของตัวเองด้วย ระวังถูกวาฬเพชฌฆาตกินเสียล่ะ!”
มีคนเอ่ยเตือน คนเหล่านั้นจึงได้สติกลับมาต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของตัวเอง แต่สายตาของพวกเขาต่างเหลือบมองไปทางพวกซือหม่าโยวเย่ว์อยู่เป็นระยะๆ
ถึงแม้ว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์ต่างก็เป็นระดับจ้าววิญญาณกันหมด แต่อีกฝ่ายก็มีระดับสัตว์อสูรเทพขั้นห้าขึ้นไปอยู่ไม่น้อย พวกเขาจึงเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาที่มีอยู่ทั้งหมดออกมา
อวิ๋นอี้มิได้ลงมือเลยตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่าจะยืนอยู่ที่นี่ก็จริง แต่กลับไม่มีวาฬเพชฌฆาตเข้าโจมตีเขาเลยแม้แต่ตัวเดียว ราวกับเขามิได้อยู่ตรงนั้น
ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของพวกเขาจะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงมีคนตายไปในการต่อสู้อยู่ดี ซือหม่าโยวเย่ว์บังเอิญเห็นเงาร่างจางๆ สายแล้วสายเล่าทะยานขึ้นไปยังเมฆครึ้มกลุ่มนั้น
“นั่นคืออะไรน่ะ” เธอมองเงาเหล่านั้นบินเข้าไปภายในเมฆครึ้มอย่างตกตะลึง น่าพรั่นพรึงเกินไปจนลืมแม้กระทั่งวาฬเพชฌฆาตตรงหน้าตน ยังดีที่พวกเจ้าวิหคน้อยตอบสนองได้ทันแล้วลากตัวเธอออกไป
“โยวเย่ว์ เจ้าระวังหน่อยสิ!” เป่ยกงถังที่อยู่ข้างๆ ฆ่าวาฬเพชฌฆาตไปแล้วตะโกนใส่ซือหม่าโยวเย่ว์
“อื้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์บินขึ้นไปบนร่างเจ้าวิหคน้อย ไม่เผชิญหน้ากับวาฬเพชฌฆาตโดยตรงอีก หากแต่บินไปข้างๆ แล้วมองเมฆครึ้มกลุ่มนั้นอย่างไม่ละสายตา
ถึงแม้ว่าวาฬเพชฌฆาตเหล่านั้นจะไม่มีสติรับรู้ของตัวเอง แต่ก็รู้ถึงความร้ายกาจของซือหม่าโยวเย่ว์ จึงมิได้เข้าไปยั่วยุเธอก่อน
“อ๊ากกกก…”
ปรมาจารย์วิญญาณถูกวาฬเพชฌฆาตฆ่าตายไปอีกคนหนึ่งแล้ว เธอมองไปทางคนเหล่านั้น ก็เห็นเงาร่างคนรางๆ ลอยออกมาจากในร่างนั้น แล้วลอยตรงเข้าไปในกลุ่มเมฆครึ้ม
เธอมองเห็นความหวาดหวั่นและความดิ้นรนไม่หยุดหย่อนได้จากใบหน้าของเงาร่างนั้น คล้ายกับหวาดกลัวเมฆครึ้มนั้นเป็นอย่างยิ่ง อยากจะหนีก็หนีไม่พ้น!
ไม่นานนัก เงาร่างสายนั้นก็ถูกดูดเข้าไปในเมฆครึ้ม ซือหม่าโยวเย่ว์ถึงขนาดมองเห็นใบหน้าอันบิดเบี้ยวของเขาตอนเข้าไปภายในเมฆครึ้ม
ที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกันแน่
เธอมองเมฆครึ้มนั้น สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
“โยวเย่ว์ เจ้ามองอะไรของเจ้าอยู่น่ะ” เป่ยกงถังบินเข้ามาหา อากัปกิริยาของนางช่างทำให้ผู้อื่นไม่วางใจเอาเสียเลย
“พวกเจ้าเห็นเงาเหล่านั้นถูกดูดเข้าไปภายในเมฆครึ้มแล้วหรือยัง” เธอมองเป่ยกงถังพลางเอ่ยถาม
“เงาหรือ เงาอะไรกัน” เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์ ไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่
“พวกเจ้ามองไม่เห็นหรือ” สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ มีเพียงตนที่มองเห็นอย่างนั้นหรือ
“อ๊ากกก…”
มีคนอีกคนหนึ่งตายไป เหตุการณ์เช่นเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง
“เจ้าดูสิ เงานั่นอย่างไรเล่า!” เธอดึงแขนเป่ยกงถังแล้วพูดพลางชี้ไปยังเงาร่างนั้น
เป่ยกงถังมองตามมือเธอไป แต่ก็ยังคงไม่เห็นอะไรอยู่ดี
เจ้าอ้วนชวีจัดการกับคู่ต่อสู้ของตนเสร็จพอดี แล้วถูกซือหม่าโยวเย่ว์คว้าตัวเอาไว้ ให้เขาดูเงาร่างนั้น
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย! โยวเย่ว์ เจ้าให้ข้าดูอะไรน่ะ” คำตอบเหมือนกันกับเป่ยกงถัง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์จึงแน่ใจแล้วว่ามีเพียงตนเท่านั้นที่มองเห็นเงาร่างเหล่านั้นได้วาฬเพชฌฆาตที่ร้ายกาจเหล่านั้นถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์และสัตว์อสูรผูกพันธสัญญากำจัดจนหมดสิ้น บวกกับคนจากในเมืองที่มารวมตัวกัน การต่อสู้จึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว โลหิตอาบย้อมพื้นผิวทะเลทั้งหมดจนกลายเป็นสีแดงฉาน สัตว์อสูรทะเลระดับต่ำที่รายล้อมที่นี่เอาไว้ก่อนหน้านี้ต่างไปรวมตัวกันยังที่ไกลออกไป ไม่ได้อยู่ใกล้แถวนี้อีกต่อไป
ส่วนเมฆครึ้มกลุ่มนั้นก็ค่อยๆ ลอยจากไปเหมือนกันกับตอนเข้ามา
นอกจากพวกเขาไม่กี่คนแล้วก็ไม่มีใครสังเกตเห็นมันอีก
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเมฆครึ้มนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“โยวเย่ว์ เมื่อครู่เจ้าเห็นอะไรหรือ” เป่ยกงถังเห็นท่าทางของซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เหมือนกับกำลังหลอกทุกคนอยู่ แต่เธอได้เห็นอะไรที่ทุกคนมองไม่เห็นต่างหาก
“พวกเรากลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ย
เธอมองอวิ๋นอี้ ก็เห็นว่าอวิ๋นอี้กำลังมองเมฆครึ้มเหล่านั้นลอยไปไกลด้วยสายตาเป็นประกายอยู่เช่นกัน
พวกเขากลับไปยังโรงเตี๊ยมในเมืองเย่ เพราะซางเฉียงหลีก็อยากรู้เช่นกันว่าเมื่อครู่ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นอะไร จึงได้ตามมาด้วย
ซือหม่าไท่มิได้ไปต่อสู้ เขารู้ว่ามีซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังออกไป จึงได้เห็นความผิดปกติของพวกซือหม่าโยวเย่ว์จากที่ไกลๆ ด้วย
หลังจากพวกซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปแล้ว ประโยคแรกที่เขาพูดก็คือ “เจ้าพบสิ่งใดเขาใช่หรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าซือหม่าไท่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ก็รู้ว่าตนพบบางสิ่งผิดปกติ จึงพยักหน้า “อันที่จริงตอนกำลังต่อสู้เมื่อครู่นี้ข้าค้นพบว่ามีเงาร่างจางๆ ลอยออกมาจากร่างของคนที่ตายไปเหล่านั้น แล้วเงาร่างนั่นก็ถูกเมฆครึ้มดูดเข้าไปน่ะ”
“อะไรนะ!” ทุกคนตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่เห็นเงาอะไรเลยเล่า
“เจ้าบอกว่าเงาร่างเหล่านั้นเข้าไปภายในเมฆครึ้มหมดเลยหรือ” ซือหม่าไท่ถาม
“ถูกต้อง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ “เงาร่างเหล่านั้นดูเหมือนจะกลัวเมฆครึ้มเป็นอย่างยิ่ง ดิ้นรนอยู่ตลอดแต่กลับไร้ผล สุดท้ายก็ถูกดูดเข้าไปทั้งหมดอยู่ดี”
“เงาร่างเหล่านั้นคืออะไร ใช่วิญญาณของคนเหล่านั้นหรือไม่” เจ้าอ้วนชวีคาดการณ์
“มีความเป็นไปได้นะ”
“แล้วเหตุใดเมฆครึ้มนั่นจึงต้องดูดกลืนวิญญาณของพวกเขาเข้าไปด้วยเล่า”
ทุกคนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ มิอาจคาดเดาได้เลยว่าที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่
“อวิ๋นอี้ เจ้ารู้อะไรหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงสีหน้าของอวิ๋นอี้ในยามนั้นขึ้นมาได้ จึงรู้สึกว่าเขาน่าจะรู้อะไรบ้าง
“ข้าเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน จะต้องสัมผัสต่อไป พวกเราจึงจะได้ข้อสรุป” อวิ๋นอี้พูด “แต่สิ่งที่ข้าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือแม้กระทั่งข้าเองก็ยังมองไม่เห็นเงาร่างที่เจ้าว่านั่นเลย เหตุใดจึงมีเจ้าเพียงคนเดียวที่เห็นมันเล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้ง ถูกต้อง เพราะเหตุใดจึงมีตนเพียงคนเดียวที่มองเห็นเงาร่างเหล่านั้นเล่า
“แม้กระทั่งเจ้ายังมองไม่เห็น แล้วเหตุใดข้าจึงเห็นเล่า พลังยุทธ์ของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าตั้งมากมายนัก”
หรือเป็นเพราะเธอกลับชาติมาเกิดใหม่ จึงมองเห็นได้เล่า
“บางทีเรื่องในคราวนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ก็เป็นได้นะ” ซือหม่าไท่พูด “ถ้าหากตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ก็คงจะดี”
“ท่านประมุข ให้ข้าไปตรวจสอบเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากมีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็น ให้ข้าไปตรวจสอบก็เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตบนเกาะลืมกังวลตนนั้น แต่เห็นเช่นนี้แล้วก็คงเป็นเพราะเมฆครึ้มกลุ่มนั้นมากกว่า
แต่ก็ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจนว่าที่จริงแล้วเมฆครึ้มนี้กับเจ้าสิ่งมีชีวิตนั่นมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่
ในขณะนี้เองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ยามรักษาการณ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ท่านประมุขขอรับ ตระกูลน่าหลานส่งคนมาเชิญ บอกว่าเรียกประชุมล่วงหน้าขอรับ”
ดูเหมือนว่าเรื่องในวันนี้จะทำให้คนตระกูลน่าหลานทวีความกลัวขึ้นในใจ จึงอยากจะเปลี่ยนสถานะเสียเดี๋ยวนี้
ซือหม่าไท่ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อผู้อื่นเขามาเชิญแล้ว พวกเราก็ไปกันเถิดนะ โยวเย่ว์ โยวหลิน พวกเจ้าสองคนไปกับข้า”
…………………………….