สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 392 พบเมฆครึ้มอีกครั้งและได้รับบาดเจ็บ
บรรพชนน่าหลานคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะเอ่ยปากออกมาตรงๆ ท่ามกลางสาธารณชน นางจะพูดว่าไม่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้หรือ
ย่อมไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว!
ไม่อย่างนั้นตระกูลน่าหลานจะต้องกลายเป็นตัวตลกของทั้งดินแดนอย่างแน่นอน
“ในเมื่อหัวหน้าพันธมิตรพูดเช่นนี้ ข้าก็จะไปเป็นเพื่อนหัวหน้าพันธมิตรในคราวนี้เอง”
“ท่านบรรพชน… ท่าน…” น่าหลานเจี๋ยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างเดือดดาลอยู่บ้าง เขาเรียกให้ท่านบรรพชนไปด้วย จะต้องมิได้มีเจตนาดีแน่ ทว่าท่านบรรพชนกลับรับปากเสียแล้ว!
“หัวหน้าพันธมิตร ข้าอยากจะไปกับท่านบรรพชนด้วย” เขาเสนอตัว
“ท่านหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบตามองเขาปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านอย่าดีกว่านะ พลังยุทธ์ต่ำเกินไป หากไปแล้วคงได้แต่เป็นตัวฉุดพวกเราเปล่าๆ”
เช่นนี้ทำให้น่าหลานเจี๋ยแทบหายใจไม่ออก แต่เขากลับมิอาจโต้แย้งอะไรได้!
เห็นๆ กันอยู่ว่าเมื่อปีก่อนทุกคนยังอยู่ที่จุดเริ่มต้นกันอยู่เลย พริบตาเดียวซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลากพวกเขามาไกลถึงเพียงนี้ กลายเป็นว่ามองพวกเขาจากจุดสูงกว่าเสียแล้ว
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วยแล้วกัน” ซือหม่าโยวหลินพูด
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้ารับคำ หลังจากนั้นจึงพูดกับคนในที่นั้นว่า “สถานการณ์เร่งรัด ข้ากับพวกเขาจะไปตรวจสอบสถานการณ์ให้ชัดเจนโดยเร็ว ขอฝากเรื่องทางนี้กับทุกท่านด้วย ”
“หัวหน้าพันธมิตรวางใจได้ พวกเราจะหารือกันเป็นอย่างดีเลย” ซือหม่าไท่พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าใจความหมายของซือหม่าไท่ ดูเหมือนว่าความคิดของตระกูลน่าหลานที่อยากไปจากที่นี่จะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
“บรรพชนน่าหลาน ระยะเวลากระชั้นชิดนัก พวกเราไปกันเถิด” เธอเอ่ยเร่ง
บรรพชนน่าหลานลุกขึ้นยืนด้วยความไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เดิมทียังคิดว่าจะหาข้ออ้างบอกซือหม่าโยวเย่ว์เป็นการส่วนตัวว่าไม่ไป คิดไม่ถึงว่าจะไปตอนนี้เลย แล้วนางจะยังพูดเช่นไรไ ได้อีกเล่า
ซือหม่าโยวเย่ว์จะไม่รู้สิ่งที่บรรพชนน่าหลานคิดเอาไว้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงเสนอให้ออกเดินทางในตอนนี้
เธอหยิบหินแม่ลูกออกมาติดต่อกับพวกเว่ยจือฉี นัดแนะว่าจะไปพบกันที่หน้าประตูเมือง หลังจากนั้นจึงพาบรรพชนน่าหลานที่ไม่เต็มใจจากไป
ตอนที่พวกเขาไปถึงหน้าประตูเมือง พวกเว่ยจือฉีก็รอพวกเขาอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เมื่อเห็นบรรพชนน่าหลาน ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ
เหตุใดนางจึงพายายเฒ่าที่ดูอึมครึมเช่นนี้มาด้วยเล่า
“โยวเย่ว์ นางคือใครหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
“นี่คือบรรพชนตระกูลน่าหลาน จะไปยังพื้นสมุทรกับพวกเราด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พวกเราเตรียมตัวออกทะเลกันดีกว่า”
“ช้าก่อน” บรรพชนน่าหลานเอ่ยปากห้าม หลังจากนั้นจึงมองพวกเว่ยจือฉีอย่างไม่พอใจพลางเอ่ยว่า “พวกเขาจะไปกับพวกเราด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง”
“ข้าไม่เห็นด้วย” บรรพชนน่าหลานปฏิเสธตรงๆ แล้วพูดว่า “พลังยุทธ์ของพวกเขาต่ำต้อยเช่นนี้ พาไปด้วยก็รังแต่จะเป็นตัวถ่วงพวกเราเปล่าๆ นะ”
นางยอมให้ซือหม่าโยวหลินไปด้วยได้ก็เพื่อหาโอกาสจัดการเขา ถึงอย่างไรพื้นสมุทรก็อันตรายอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าพวกเขาจะปกป้องตัวเองได้ตลอดรอดฝั่ง แต่เมื่อคนมากขึ้นก็จะทำให้ความเ เป็นระเบียบน้อยลง หากเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่านางอาจมีอันตรายก็เป็นได้!
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “เกรงว่าเรื่องนี้มิใช่ว่าท่านพูดว่าได้แล้วจะได้หรอกนะ ท่านอย่าลืมสิว่าข้าต่างหากเล่าที่เป็นหัวหน้าพันธมิตร! หรือจะบอกว่าเ เพิ่งห่างจากสายตาของทุกคนมาหมาดๆ ท่านก็คิดจะต่อต้านคำสั่งของข้าเสียแล้ว”
“หัวหน้าพันธมิตรหรือ” พวกเจ้าอ้วนชวีมองเธอ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นในระหว่างที่พวกตนจากไป
ปรมาจารย์วิญญาณที่กำลังจัดการกับซากสัตว์อสูรทะเลอยู่ต่างพากันมองมาทางนี้ด้วยความสงสัยไม่น้อย
บรรพชนน่าหลานถลึงตาใส่คนเหล่านั้น แรงกดดันของจ้าววิญญาณขั้นสุดยอดทำให้พวกเขาหายใจไม่ออก และพากันก้มศีรษะลงต่ำ
นางหมุนกายไปมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “ในเมื่อหัวหน้าพันธมิตรยืนกราน เช่นนั้นพอถึงเวลาแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ”
“ไม่ต้องให้ท่านเตือนหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คร้านจะสนใจนาง เธอเรียกเจ้าวิหคน้อยมาแล้วพาคนขึ้นไป ออกเดินทางสู่ส่วนลึกของพื้นสมุทร
จนกระทั่งพวกเขาไปจากที่นี่ บรรดาปรมาจารย์วิญญาณเหล่านั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้น แล้วมองเงาหลังของพวกเขาพลางทอดถอนใจ
ตอนที่เจ้าวิหคน้อยกำลังเหินบินก็แผ่แรงกดดันของตนออกมาด้วย สัตว์อสูรทะเลระดับค่อนข้างต่ำเหล่านั้นต่างไม่กล้าออกมา ทำให้พวกเขาบินกันได้อย่างสงบปลอดภัยตลอดคืน
แต่นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากเข้าไปสู่ส่วนลึกของพื้นสมุทรแล้ว เจ้าวิหคน้อยก็จำเป็นต้องเก็บแรงกดดันกลับมา เพราะบริเวณที่พวกเขาอยู่นั้นมีสัตว์อสูรเทพอยู่เป็น จำนวนไม่น้อย หากยังแผ่แรงกดดันต่อไปก็จะถูกคิดว่าเป็นสิ่งกระตุ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งจะดึงดูดสัตว์อสูรทะเลมามากยิ่งขึ้น
หากเป็นก่อนหน้านี้ ซือหม่าโยวเย่ว์จะต้องไม่นำมาใส่ใจอย่างแน่นอน เพราะสัตว์อสูรทะเลเหล่านั้นอยู่ได้เพียงแค่ในทะเลเท่านั้น มิอาจก่อให้เกิดอันตรายอะไรกับพวกตนได้เลย แต่ตอนนี พวกมันต่างบินได้ ซึ่งเป็นอันตรายกว่ามากนัก
“มีเมฆครึ้มกลุ่มหนึ่ง!” เป่ยกงถังพูดพลางชี้ไปยังท้องฟ้าไกลออกไปทางฝั่งซ้าย
ท้องฟ้าสว่างสดใส ไกลออกไปหมื่นลี้ไร้ซึ่งเมฆหมอก เมฆครึ้มกลุ่มนี้จึงเด่นชัดถนัดตาภายใต้ท้องฟ้าคราม
“เข้าไปดูหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์สั่งเจ้าวิหคน้อย
พวกเขาเข้าไปใกล้เมฆครึ้มกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็วแล้ววนรอบเมฆครึ้มนั้นหลายรอบ ก็ไม่เห็นว่าจะมีความแตกต่างจากเมฆครึ้มทั่วไปแต่อย่างใดเลย
“พวกเราจะเข้าไปดูภายในเมฆครึ้มกันหน่อยหรือไม่” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
“ช้าก่อน” อวิ๋นอี้ที่เงียบงันมาโดยตลอดเอ่ยปากห้ามปราม
“ทำไมหรือ อวิ๋นอี้” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เจ้าลองโจมตีเมฆครึ้มนี่ดูก่อนเถิด” อวิ๋นอี้พูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจที่มาที่ไปอยู่บ้าง แต่ก็ยังเชื่อฟังคำพูดของเขาแล้วรวบรวมปราณวิญญาณซัดออกไปโจมตีเข้าใส่เมฆครึ้ม
“พรึ่บ…”
“อี๊ดดด…”
หลังจากที่การโจมตีของเธอเข้าไปภายในเมฆครึ้มแล้ว เมฆครึ้มนั้นก็มิได้สลายตัวไปเหมือนเมฆครึ้มธรรมดา แต่พวกเขากลับเหมือนถูกมันดูดกลืน แล้วยังส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาอีกด้วย
เสียงนั้นค่อนข้างหวีดแหลม ทำให้ทุกคนขนลุกขนพองไปทั้งตัว
“ให้ตาย นี่มันเมฆครึ้มอะไรกันจึงได้แปลกพิกลเช่นนี้” เจ้าอ้วนชวีร้องอุทาน
“ประหลาดนัก” พวกโอวหยางเฟยเองก็ประหลาดใจไม่น้อย
“อีกครั้งหนึ่งแล้วกัน” ซือหม่าโยวหลินพูด
“ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์ให้เจ้าวิหคน้อยบินออกไปไกลอีกหน่อย หลังจากนั้นจึงทำการโจมตีที่ทวีความร้ายกาจขึ้นกว่าเมื่อครู่
“อี๊ดดดดด…”
เมฆครึ้มนั้นส่งเสียงร้องอันหวีดแหลมยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ แรงสั่นสะเทือนจากเสียงนั้นถึงกับทำให้หลายคนเจ็บแก้วหู
“แย่แล้ว!” เจ้าไก่ฟ้าคำรามเสียงต่ำแล้วรีบติดตั้งข่ายมนตร์ล้อมรอบพวกเขาทั้งหมดเอาไว้
เมื่อเข้ามาอยู่ภายในข่ายมนตร์แล้วเสียงนั้นจึงถูกตัดขาด เจ้าวิหคน้อยพาพวกเขาร่อนลงไปในน้ำ
ซือหม่าโยวหลินรีบเรียกตัวสัตว์อสูรบินได้ของเขาออกมารับทุกคนเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการตกลงไปในน้ำ
ทุกคนปีนขึ้นบนหลังสัตว์อสูรบินได้ ร่างกายปวกเปียก หัวสมองเจ็บแปลบ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยชะลอลง เมื่อเห็นทุกคนยังอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างยิ่ง จึงหยิบยาวิเศษออกมาแบ่งให้กับทุกคน
นี่คือยาวิเศษที่เติมน้ำทิพย์วิญญาณลงไป มีฤทธิ์ในการรักษาวิญญาณที่บาดเจ็บโดยเฉพาะ
ดูเผินๆ แล้วเสียงร้องหวีดแหลมเมื่อครู่แค่ทำร้ายประสาทการได้ยินของพวกเขา แต่ความจริงแล้วกลับทิ่มแทงวิญญาณของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกยากทนรับอย่างยิ่งเช่นนี้
หลังจากกินยาวิเศษแล้ว ทุกคนจึงค่อยดีขึ้นอย่างช้าๆ ยังคงอกสั่นขวัญหายกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“นั่นคือสิ่งใดกัน” บรรพชนน่าหลานมีอายุมากที่สุด ดังนั้นอาการบาดเจ็บจึงสาหัสมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะกินยาวิเศษของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็ยังคงไม่ได้สติ
ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็รู้สึกว่ามิอาจจัดการได้อยู่บ้าง นี่ไม่ใช่เมฆครึ้มหรอกหรือ เหตุใดจึงมีการโจมตีเช่นนี้เกิดขึ้นได้ด้วยเล่า
เธอเห็นท่าทางเข้าอกเข้าใจของอวิ๋นอี้ จึงถามว่า “อวิ๋นอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นคืออะไร”