สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 393 สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณ
อวิ๋นอี้มองเมฆครึ้มที่ลอยจากไปแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไล่ตามมันไปก่อน อีกประเดี๋ยวข้าค่อยบอกพวกเจ้าว่านั่นคือสิ่งใด”
“ได้”
สัตว์อสูรบินได้พาทุกคนไล่ตามไปยังทิศทางที่เมฆครึ้มนั้นลอยไป
เมฆครึ้มลอยไปด้วยความรวดเร็วอย่างยิ่ง ทิ้งห่างจากพวกซือหม่าโยวเย่ว์ไปไกล ถ้าหากมิใช่เพราะหมื่นลี้ไร้เมฆหมอกจนทำให้เมฆครึ้มกลุ่มนี้เห็นชัดถนัดตากลางท้องฟ้า พวกเขาก็คงตามไม่ทันแล้ว
ก่อนหน้านี้บรรพชนน่าหลานมิได้สังเกตอวิ๋นอี้ผู้นี้แต่อย่างใด เพราะดูเหมือนจะไม่อาจสัมผัสกลิ่นอายของเขาได้ ทั้งยังออกมาพร้อมกันกับพวกเว่ยจือฉีด้วย ดังนั้นหลังจากที่นางมองผ่านเขาปราดหนึ่งแล้วจึงมิได้สนใจเขาอีก
ตอนนี้เมื่อมองเห็นเขา นางกลับเกิดความหวาดกลัวขุมหนึ่งพรั่งพรูขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
“อวิ๋นอี้ ตอนนี้เจ้าจะบอกพวกเราได้หรือยังว่านั่นคือสิ่งใด” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
อวิ๋นอี้มองเมฆครึ้มพลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด นั่นคือสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณ”
“สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณหรือ!”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ทุกคนก็รู้สึกขนลุกขนพองอยู่บ้าง
“สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณคือสัตว์อสูรวิเศษอะไรกัน ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย” เจ้าอ้วนชวีถาม
“สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณคือสัตว์อสูรวิเศษดำมืดชนิดหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีแค่ในภพมารและภพปีศาจเท่านั้น แต่ข้าเห็นจากในตำราโบราณว่าภพมารและภพปีศาจเองก็ไม่มีสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณมานานแล้วเช่นกัน” อวิ๋นอี้พูด
“ภพมารและภพปีศาจล้วนไม่มี เช่นนั้นสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณตนนี้มาจากที่ใดกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ขมวดคิ้ว
เกี่ยวพันถึงภพมารและภพปีศาจ สถานการณ์นี้คงมิใช่เรื่องซับซ้อนธรรมดาๆ เสียแล้ว!
ขณะเดียวกันเธอก็ติดต่อกับหมัวซาอยู่ในใจด้วย เพื่อถามข้อมูลของสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณภพมารจากเขา
“สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณหรือ” หมัวซาได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยถึงสิ่งนี้จึงพูดว่า “เมื่อล้านปีก่อนภพมารมีสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณอยู่จริงๆ แต่เพราะมันดูดซับดวงวิญญาณได้ อำมหิตเกินไป จึงถูกทั้งเผ่ามารสังหารล้างเผ่าพันธุ์ ว่ากันตามหลัก ภพมารไม่มีสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณหลงเหลืออยู่อีกแล้ว แล้วเจ้ารู้จักสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณได้อย่างไรกัน”
ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องที่ก่อนหน้านี้เห็นเมฆครึ้มกลืนกินดวงวิญญาณ รวมทั้งที่ถูกโจมตีเมื่อครู่ให้ฟัง
หมัวซาเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จากที่เจ้าพูดน่าจะเป็นสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เหตุใดสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนี้จึงปรากฏตัวขึ้นที่ดินแดนอี้หลินได้ จุดนี้ออกจะเหนือความคาดหมายอยู่นะ”
“เพราะเหตุใดกัน”
“เพราะเดิมทีสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณมิอาจใช้ชีวิตอยู่ในโลกด้านสว่างเป็นเวลานานได้น่ะสิ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณเติบโตขึ้นมาในดินแดนมนุษย์ นั่นก็หมายความว่าสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนี้มาจากดินแดนแห่งอื่น แต่ภพมารและภพปีศาจล้วนมิอาจทำลายปราการที่กั้นระหว่างกันได้โดยง่าย” หมัวซาพูดอธิบาย “ดังนั้นการที่สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณเข้ามานั้น ย่อมต้องมีผู้ที่ร้ายกาจบางคนควบคุมอยู่อย่างแน่นอน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้วยิ่งเกิดความกังวลขึ้นในใจ
“นอกจากนี้จุดที่สำคัญที่สุดก็คือเพราะเหตุใดสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณจึงมาดูดกลืนวิญญาณมนุษย์ที่นี่ได้ มีจุดประสงค์อันใด เกี่ยวโยงถึงเรื่องใดของภพมารหรือภพปีศาจหรือไม่” หมัวซาเอ่ยเสริม
“พวกเรามิอาจข้องเกี่ยวกับเรื่องทางนั้นได้ชั่วคราว ตอนนี้จัดการกับสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนั่นก่อนแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านต่อกรกับสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนั่นได้หรือไม่”
สิ่งนั้นดูเหมือนจะร้ายกาจอย่างยิ่ง เพียงแค่เสียงร้องก็ทำให้วิญญาณของพวกเขาบาดเจ็บแล้ว
“ไม่ได้หรอก” หมัวซาพูด “ถ้าหากข้ามีกายเนื้อก็คงไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแค่ร่างวิญญาณเท่านั้น สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณเป็นดาวคู่อริกับร่างวิญญาณตามธรรมชาติอยู่แล้ว ต่อให้พลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่านี้ ก็ต้องถูกยับยั้งเอาไว้อยู่ดี”
“เช่นนั้นสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณมีจุดอ่อนหรือไม่” พึ่งพาหมัวซาไม่ได้ ก็คงได้แต่หาจุดโจมตีแล้ว
“อันที่จริงสัตว์อสูรวิเศษฝ่ายมืดมีคู่อริโดยกำเนิดอยู่สองอย่าง” หมัวซาพูด
“อะไรหรือ”
“ไฟและสายฟ้า” หมัวซาพูด “ข้ามิอาจต่อกรกับสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนี่ได้ แต่รอบกายเจ้ามีคนผู้หนึ่งที่ทำได้ ไปหาเขาสิ”
พอพูดจบหมัวซาก็ตัดขาดการเชื่อมต่อ กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้ว่าที่เขาพูดหมายถึงใคร เพลิงชาด ผู้เป็นยอดแห่งอัคคีที่หลับใหลอยู่ในตัวเธอมาโดยตลอดนั่นเอง
แต่เธอไม่เคยพบกับเพลิงชาดในตอนที่มีสติแจ่มชัดมาก่อนเลย เจ้านี่หลับอยู่ในห้วงนิทรามาโดยตลอด ถ้าหากต้องการเรียกมันมาจัดการสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณ ก็คงได้แต่ต้องปลุกมันให้ตื่นเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ตัดการติดต่อกับหมัวซาแล้วได้ยินอวิ๋นอี้บอกข้อมูลของสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณกับผู้อื่นอยู่พอดี
“สัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนี้ควบคุมวิญญาณของสัตว์อสูรวิเศษได้ ดังนั้นพวกมันอาจจะโจมตีมนุษย์ได้โดยไม่รู้ตัว หลังจากฆ่ามนุษย์แล้วมันก็จะอาศัยจังหวะนั้นดูดกลืนวิญญาณ”
“เช่นนั้นเมฆครึ้มเมื่อครู่ก็คือสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณใช่หรือไม่ เหตุใดร่างของมันจึงเป็นรูปลักษณ์เช่นนี้ได้เล่า” เจ้าอ้วนชวีพูด
“นั่นน่าจะมิใช่ร่างจริงของมันหรอก” อวิ๋นอี้พูด “ในตำราโบราณบอกว่ายามปกติสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณจะแบ่งร่างกายของตนออกเป็นชิ้นส่วนจำนวนมาก ให้ร่างแยกเหล่านี้ไปดูดวิญญาณมาเป็นอาหาร หลังจากนั้นค่อยผสานรวมเพื่อรับพลัง”
“เช่นนั้นเมฆครึ้มก็เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของร่างกายมันเท่านั้น แค่นี้ก็ทำให้พวกเราทั้งหมดบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว เช่นนั้นร่างจริงจะต้องร้ายกาจสักเพียงใดกัน” เป่ยกงถังพูดอย่างตกใจ
“ไม่ว่าจะร้ายกาจเพียงใดก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของที่นี่อยู่ดี พลังยุทธ์เป็นได้เพียงแค่ระดับต่ำกว่าจ้าววิญญาณลงมา ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก!” บรรพชนน่าหลานพูดเสียงเย็นชา
“บรรพชนน่าหลานพูดเช่นนี้ จะต้องมีหลักประกันแล้วอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็ยกให้ท่านจัดการกับสิ่งนี้แล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้า…” บรรพชนน่าหลานคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะพูดเช่นนี้ออกมา กำลังคิดจะปฏิเสธก็ถูกเจ้าอ้วนชวีทำให้กลืนคำพูดกลับไป
“บรรพชนน่าหลานร้ายกาจถึงเพียงนี้ ย่อมไม่มีทางพูดว่าไม่อย่างแน่นอน” เจ้าอ้วนชวีพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เจ้าจะไปรู้อะไร เฮอะ!” บรรพชนน่าหลานมิอาจเอ่ยวาจาที่เหลือออกมาได้ หลังจากถลึงตาใส่เจ้าอ้วนชวีแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
คนอื่นๆ เห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วต่างพากันก้มหน้าหัวเราะ
สัตว์อสูรบินได้บินทะยานไปพร้อมกับเมฆครึ้มนั้น อีกหลายวันให้หลังพวกเขาก็ข้ามผ่านพื้นสมุทร เห็นหมู่เกาะเล็กๆ เมฆครึ้มนั้นก็ลอยหายลับเข้าไปในเกาะขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
และเกาะด้านหน้าสุดก็คือเกาะที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาเยือนในคราวที่แล้ว
“เกาะลืมกังวล…”
ซือหม่าโยวเย่ว์และซือหม่าโยวหลินมองเกาะแห่งนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“นี่ก็คือเกาะลืมกังวลอย่างนั้นหรือ” พวกเจ้าอ้วนชวีมองเกาะแห่งนี้แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรพิเศษ แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ซือหม่าโยวเย่ว์เคยเล่าให้ฟัง ทุกคนจึงต่างพากันหวาดหวั่นกับเกาะแห่งนี้อยู่พอสมควร
บรรพชนน่าหลานมองเกาะลืมกังวลแล้วถามว่า “นี่คือเกาะลืมกังวลจริงๆ หรือ”
“อืม” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
“เมื่อครู่เมฆครึ้มนั่นเข้าไปในเกาะแห่งนี้จริงหรือ”
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะอยู่ห่างไกล แต่พวกเราต่างก็เห็นมันหายลับไปที่นี่ทั้งสิ้น” เว่ยจือฉีพูด
“เช่นนั้นพวกเราจะขึ้นไปบนเกาะกันหรือไม่” ซือหม่าโยวหลินถาม
“ไป จะไม่ไปได้อย่างไรกัน หากไม่ไปแล้วจะหาตัวเจ้าสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนั่นออกมาได้อย่างไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แต่เจ้าสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนั่นร้ายกาจถึงเพียงนั้น ถ้าหากพวกเราบุ่มบ่ามขึ้นไปบนเกาะแล้วจะเป็นการล่อให้มันโจมตีหรือไม่” บรรพชนน่าหลานพูดอย่างไม่เห็นด้วย
“แล้วจะเป็นอะไรไปเล่า บรรพชนน่าหลาน ท่านมิได้บอกว่าสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนั่นไม่น่ากลัวหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับทำให้บรรพชนน่าหลานเกือบตกจากหลังสัตว์อสูรบินได้
“ไปกันเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์ให้ซือหม่าโยวหลินเก็บตัวสัตว์อสูรบินได้เข้าไป แล้วพาทุกคนทะยานไปยังเกาะลืมกังวล
หมัวซาบอกว่าสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณตนนั้นน่าจะได้รับบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางรีบร้อนกลับสู่ร่างเดิมอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถ้าหากหาตัวมันพบได้ในตอนนี้ ก็จะกำจัดมันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
เธอจะพลาดโอกาสอันดีเช่นนี้ไปได้อย่างไรเล่า!
………………………………………