สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 395 ข้าเป็นคนของเจ้าแล้ว
“ใช่แล้ว เป็นเจดีย์วิญญาณที่ข้าได้รับมา สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยอยู่ภายในนี้ได้ แล้วยังสามารถเพาะปลูกสมุนไพรได้ด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางพยักหน้า
“เจ้าไปได้สิ่งล้ำค่าเช่นนี้มาได้อย่างไรกัน” บรรพชนน่าหลานยากจะเก็บงำความตื่นเต้นในใจเอาไว้ได้ ริ้วรอยบนใบหน้ายิ่งลึกขึ้นเพราะรอยยิ้ม
“ท่านไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์มองบรรพชนน่าหลานด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ยายเฒ่าผู้นี้กำลังคิดไม่ดีกับตนอยู่จริงๆ แต่นางไม่รู้หรอกว่าตนพานางเข้ามาแล้วไม่คิดจะให้นางออกไปอีก
“อืมๆ ไม่ถามแล้วๆ” บรรพชนน่าหลานอมยิ้มพูด
พอถึงเวลาที่ตนได้สิ่งที่ต้องการมาไว้ในมือแล้ว ก่อนหน้านี้จะเป็นของใครแล้วจะสำคัญตรงไหนกันเล่า
แต่บางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางไม่ชอบยิ้ม ดังนั้นตอนนี้เมื่อยิ้มขึ้นมาแล้วจึงทำให้คนรู้สึกเหมือนรอยยิ้มนั้นแฝงเลศนัยบางอย่าง
“บรรพชนน่าหลาน ท่านคงมิได้กำลังคิดไม่ดีกับสมบัติชิ้นนี้ของโยวเย่ว์อยู่กระมัง” เจ้าอ้วนชวีมองใบหน้ายับย่นของนางแล้วพูดอย่างรังเกียจ
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน นี่คือสมบัติล้ำค่าของหัวหน้าพันธมิตร ข้าจะกล้าคิดไม่ดีได้อย่างไรกันเล่า” บรรพชนน่าหลานรีบปฏิเสธ
ตอนนี้พวกเขายังมีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ ต่อให้ตนมีความคิดเช่นนี้ก็มิอาจแสดงออกมาได้อยู่ดี
“อันที่จริงต่อให้ท่านคิดไม่ดีกับข้าจริงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดด้วยรอยยิ้ม
บรรพชนน่าหลานหัวใจสั่นสะท้าน เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้นมาในใจ
และคำพูดต่อมาของซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยืนยันว่าสิ่งที่นางรู้สึกนั้นถูกต้อง
“ไม่ว่าท่านจะคิดร้ายกับข้าหรือไม่ ในเมื่อให้ท่านเข้ามาแล้ว ข้าก็ไม่คิดจะให้ท่านออกไปอีก ความคิดทั้งหมดของท่านก็คิดได้ถึงเพียงแค่วันนี้เท่านั้นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองนา างด้วยแววตาอาฆาต
บรรพชนน่าหลานจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะสังหารข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าอย่าลืมสิว่าข้าเป็นถึงบรรพชนของตระกูลน่าหลาน ส่วนเจ้าเป็นเพียงแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำน นมเท่านั้น! หากเจ้ากล้าลงมือกับข้า ตระกูลน่าหลานเราก็มิใช่ไร้มือเท้า! มาดูกันว่าพอถึงเวลานั้นแล้วเจ้าจะแก้ตัวกับทั้งดินแดนว่าอย่างไร!”
“พูดเสียราวกับว่าตัวเองสำคัญหนักหนาอย่างนั้นแหละ” เจ้าอ้วนชวีค่อนแคะ
“ข้าก็แค่บอกว่าตอนที่ท่านกำลังสืบหาข้อเท็จจริงอยู่แล้วไม่ทันระวัง จึงถูกสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณกินไป หรือตอนที่ถูกสัตว์อสูรทะเลล้อมแล้วไม่ทันระวังจึงถูกสัตว์อสูรทะเลกินเส สีย…” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นจะสงสัยข้าหรือไม่เล่า”
บรรพชนน่าหลานถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วฝืนข่มใจให้สงบมองซือหม่าโยวเย่ว์
“ถึงแม้ว่าข้าเคยคิดอยากเป็นหัวหน้าพันธมิตร แต่ตอนที่ผู้อื่นบอกว่าอยากให้เจ้าเป็นข้าก็มิได้ว่าอะไร เหตุใดเจ้าจึงอยากสังหารข้าเล่า หรือเจ้าแค่อยากจะปิดปากมิให้ผู้อื่นล่วงรู เกี่ยวกับสมบัติล้ำค่านี้เท่านั้น”
“ใช่ แล้วก็ไม่ใช่” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบนางอย่างใจดี “เหมือนที่พูดกันว่า ไม่เปิดเผยความมั่งมี ตอนนี้ท่านรู้ถึงสมบัติของข้าแล้ว ก็ย่อมมิอาจให้ท่านแพร่ออกสู่ภายนอกได้มิใช่หรือ อ”
“แต่เขาก็เข้ามาเช่นกันนี่” บรรพชนน่าหลานชี้อวิ๋นอี้
“อวิ๋นอี้เป็นคนของข้า ข้าเชื่อใจเขา ย่อมต้องพาเขาเข้ามาได้อยู่แล้วสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ท่านนั้นไม่เหมือนกัน ท่านคือศัตรูของข้า แล้วข้าจะยังปล่อยให้ท่านมีชีวิตรอ อดออกไปอีกได้อย่างไรเล่า”
“ซือหม่าโยวเย่ว์ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะใจคอโหดเหี้ยมเช่นนี้!” บรรพชนน่าหลานด่าทอ
“ใจคอโหดเหี้ยมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่โกรธ แต่กลับยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งขึ้น “จะไม่ใจคอโหดเหี้ยมกับศัตรูของตนได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นจะรอให้ผู้อื่นหันมาแว้งกัดหรือแทงข้างหลัง ตนอย่างนั้นหรือ ค่อยว่ากันเถิด ตอนที่ตระกูลน่าหลานของพวกท่านต้องการสังหารข้า ก็ต้องคิดถึงช่วงเวลานี้เอาไว้ด้วยสิ”
หัวใจของบรรพชนน่าหลานจมดิ่งลง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เป็นเช่นนี้ วันนี้ตนคงเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดีแล้วจริงๆ
เรื่องที่ตระกูลน่าหลานสังหารซือหม่าโยวเย่ว์ในตอนนั้น นางเองก็มาได้ยินจากคนในตระกูลในภายหลัง แต่ตอนนั้นซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เอาเรื่องพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าซือหม่า าโยวเย่ว์ไม่รู้เรื่องนี้ และคิดว่าเรื่องนี้ผ่านพ้นไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะยังจดจำแค้นนี้เอาไว้!
นางมองไปรอบทิศ ไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร ยิ่งปล่อยเอาไว้ต่อไป หัวใจของนางก็ยิ่งตื่นตระหนก
“มาถึงที่นี่แล้ว ท่านก็อย่าได้คิดจะหนีรอดอีกเลย เจ้าวิญญาณน้อย พาตัวนางไปให้เชียนอินเล่นสนุกหน่อยสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ออกคำสั่ง
เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศก่อนจะดีดนิ้วคราหนึ่ง บรรพชนน่าหลานก็หายลับไป ไม่นานนัก เสียงคร่ำครวญก็ดังแว่วมา
ซือหม่าโยวเย่ว์มองอวิ๋นอี้พลางเอ่ยว่า “อวิ๋นอี้ เจ้าคงไม่พูดออกไปกระมัง”
อวิ๋นอี้แย้มยิ้มอย่างเกียจคร้านแล้วพูดว่า “เจ้าบอกแล้วว่าข้าเป็นคนของเจ้าแล้ว ข้าย่อมต้องคิดเผื่อเจ้าอยู่แล้วสิ”
คำพูดของเขาดูไร้สาระอยู่บ้าง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็เข้าใจดีว่าเขาไม่มีทางพูดออกไปอย่างแน่นอน
“ในเมื่อเป็นคนของข้าแล้ว ต่อไปก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ต้องการเจ้าแล้วนะ” เธอพูดตามวาจาของเขา
หมัวซาที่อยู่ในสร้อยข้อมือม่านถัวได้ยินคำสนทนาระหว่างคนทั้งสองแล้วขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
คนของนางอย่างนั้นหรือ
วาจานี้ทำให้เขาไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง มีแรงกระตุ้นให้นึกอยากสังหารอวิ๋นอี้ขึ้นมา
“เจ้าหุบเขาน้อยอยากให้ข้าเชื่อฟังแล้วข้าจะไม่ฟังได้อย่างไร” อวิ๋นอี้มองเรือนที่อยู่ไกลออกไปแล้วเอ่ยว่า “นั่นคือที่พักของพวกเจ้าในยามปกติหรือ ข้าไปหาที่หย่อนขาสักห้องห หนึ่งด้วยแล้วกัน”
พอพูดจบเขาก็เดินตรงไปยังห้องนั้นจริงๆ แล้วเลือกห้องหนึ่งมาเป็นห้องของตนด้วยสติรู้ตัวดีอย่างยิ่ง
“ข้าไปดูหน่อยดีกว่า เพื่อเลี่ยงไม่ให้ห้องของพวกเราถูกชิงไป” เจ้าอ้วนชวีพูดแล้วเดินตามไปด้วย
เป่ยกงถังมายังข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์แล้วมองไปทางเรือนเล็กนั้นพลางเอ่ยว่า “เจ้าวางใจหรือไม่”
“เขาไม่มีทางพูดหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์กล่าว “เดินทางกันมาต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้ ทุกคนไปพักผ่อนกันก่อนเถิดนะ”
“ได้”
ทุกคนพักผ่อนกันหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นจึงมารวมตัวกันเพื่อหารือเรื่องสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณ
เมื่ออวิ๋นอี้ได้รู้ว่าข้างนอกหนึ่งวันเท่ากับข้างในสิบวันก็ตกใจอย่างรุนแรง
มิน่าเล่า ไม่เจอพวกเขาไม่ถึงครึ่งปี พลังยุทธ์ของแต่ละคนจึงได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็มีอาวุธเทพขี้โกงเช่นนี้อยู่นี่เอง!
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแล้วว่าต่อจากนี้จะคลุกคลีอยู่กับเจ้าหุบเขาน้อย ใช้อาวุธเทพขี้โกงนี้ยกระดับพื้นฐานและทักษะค่ายกล
เพราะไม่รู้ว่าที่แท้แล้วสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณนั้นร้ายกาจเพียงใด ดังนั้นซือหม่าโยวเย่ว์จึงตัดสินใจให้พวกเขารออยู่ในเจดีย์วิญญาณทั้งหมด ส่วนตัวเองออกไปกับอวิ๋นอี้เจ้าไก่ฟ้า าและเชียนอินก่อน หากจำเป็นค่อยเรียกพวกเขา
ทุกคนต่างรู้ดีว่าด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขา ถึงออกไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี จึงเห็นด้วยกับการรออยู่ที่นี่
ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปกับพวกอวิ๋นอี้ พวกเขารออยู่ในนั้นหนึ่งวันกว่าๆ ข้างนอกก็เพิ่งจะแค่สองชั่วโมงกว่าเท่านั้นเอง
“ไปเถิด พวกเราไปดูกันว่าเกาะแห่งนี้เปลี่ยนเป็นเช่นไรไปแล้วบ้าง”
เธอพาทุกคนเดินมุ่งเข้าไปยังส่วนลึกของเกาะตามที่เห็นจากความทรงจำของผึ้งแดงก่อนหน้านี้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกสัตว์อสูรเขมือบวิญญาณโจมตี พวกเขาจึงเลือกที่จะเดินเท้า
เดินเข้าไปได้ไม่กี่กิโลเมตร พวกเขาก็เห็นฉากอันมืดมิดที่ผึ้งแดงได้เห็น พืชพรรณทั้งหมดตายไปจนสิ้น ซึ่งไม่ใช่การเหี่ยวเฉา หากแต่ทั้งหมดกลายเป็นสีดำไหม้เกรียม คล้ายกับถูกดูด ดพลังชีวิตแล้วถูกระบายด้วยหมึกสีดำก็มิปาน
“กลายเป็นเช่นนี้ไปทั้งหมดเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์มองไป ดูเหมือนนอกจากป่าไม้รอบนอก ภายในก็กลายเป็นเช่นนี้ไปหมดแล้ว
อวิ๋นอี้ย่อตัวลงไปแล้วหยิบผ้าเช็ดมือผ้าไหมออกมา เขาจับหญ้าต้นหนึ่งเอาไว้ ผลปรากฏว่าแตะเบาๆ ครั้งเดียว หญ้าต้นนั้นก็กลายเป็นผงดำปลิวกระจายไปในอากาศ
อาจเป็นเพราะผงดำเหล่านั้นกระทบลงบนพืชพรรณต้นอื่นๆ สิ่งเล็กๆ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ทำให้พืชพรรณสีดำทั่วทั้งเกาะเหล่านั้นกลายเป็นผงดำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง จนกอ องเป็นชั้นหนาอยู่บนพื้นดิน