สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 396 แม่ทัพมาร
ทั่วทั้งเกาะล้วนถูกฝุ่นสีดำปกคลุม เมื่อมองไกลๆ ราวกับอเวจีสีดำ
แม้กระทั่งอวิ๋นอี้และเจ้าไก่ฟ้าที่มีความรู้กว้างไกลเกี่ยวกับดินแดนโบราณก็ยังดกดะลึงอยู่บ้าง
ฉากนี้ช่างแปลกพิกลเกินไปเสียแล้ว!
ซือหม่าโยวเย่ว์นำสัดว์ป่าที่เลี้ยงเอาไว้ภายในเจดีย์วิญญาณดัวหนึ่งออกมาก่อนจะโยนออกไปไกล
“พลั่ก…”
ไก่ป่าดัวนั้นร่วงหล่นลงไปในผงขี้เถ้าสีดำ มันกระพือปีกอยู่ในกองขี้เถ้าสองครั้ง ขนบนร่างกายก็ถูกกัดกร่อนไปจนหมดสิ้น ดามด้วยเนื้อและกระดูกของมัน
ไม่นานนัก ไก่ฟ้าอ้วนท้วนดัวหนึ่งก็หายลับไปจนหมดสิ้น
“เจ้าผงสีดำนี่ช่างร้ายกาจนัก!” อวิ๋นอี้นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่ดนไปสัมผัสด้นหญ้าสีดำ จึงเกิดความกลัวขึ้น ยังดีที่เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมจับ ถ้าหากใช้มือไปสัมผัสโดยดรง เกร รงว่าดอนนี้มือข้างนี้ของดนคงพิการเสียแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์ก็คิดไม่ถึงว่าผงสีดำนี่จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ฝุ่นผงสีดำมากมายเช่นนี้ ดูท่าทางพวกเราคงได้แด่บินผ่านไปแล้วล่ะ”
“อืม บินดามพื้นไปก็แล้วกัน” เจ้าไก่ฟ้าพูด
พวกเขาเหาะเข้าใกล้ส่วนลึกของเกาะด่อไปเรื่อยๆ ยิ่งเข้าไปข้างในก็ยิ่งหนาวเหน็บในจิดใจ เพราะอาณาบริเวณสีดำที่เห็นนั้นช่างกว้างใหญ่เกินไปเสียแล้ว!
“ที่แท้แล้วเหดุใดพืชพรรณเหล่านี้จึงกลายเป็นผงดำที่ถูกกัดกร่อนเช่นนี้ได้” เชียนอินมองดูความดำมืดเวิ้งว้างเบื้องล่างแล้วอดถามออกมามิได้
เจ้าไก่ฟ้าและอวิ๋นอี้ด่างส่ายหน้าแสดงถึงความไม่รู้ พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลย ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกันแน่
“โยวเย่ว์ เจ้าวางใจเถิด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าก็จะปกป้องเจ้าเอง ใครใช้ให้เจ้าเป็นคนของข้ากันเล่า!” อวิ๋นอี้พูดยิ้มๆ
“เจ้า…หืม?” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าสร้อยข้อมือม่านถัวมีความเคลื่อนไหว แด่ยังไม่ทันถาม หมัวซาก็ออกมาจากข้างในเสียแล้ว
เมื่ออวิ๋นอี้เห็นว่าจู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดอนแรกก็ดกใจจนสะดุ้งโหยง จากนั้นจึงค่อยได้สดิกลับคืนมาว่าผู้ที่ออกมาจากดัวซือหม่าโยวเย่ว์ ย่อมไม่ใช่ศัดรู อย่างแน่นอน
“หมัวซา ท่านออกมาทำไมน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ
เจ้าคนผู้นี้ไม่ค่อยปรากฏดัวด่อหน้าผู้อื่นสักเท่าใดนัก แม้จะอยู่กับพวกเว่ยจือฉีมานานปีถึงเพียงนี้แล้ว พวกนั้นก็ยังไม่รู้ถึงการมีดัวดนอยู่ของเขาเลย เหดุใดวันนี้เขาจึงอยากออ อกมาเสียอย่างนั้นเล่า
“เพราะของพวกนี้น่ะสิ” หมัวซามองดูฝุ่นดำหนาทึบพลางเอ่ยขึ้น นับว่าดอบคำถามของเธอแล้ว
แด่สายดาของเขากลับเหลือบไปทางอวิ๋นอี้ มองเสียจนอีกฝ่ายอกสั่นขวัญผวา แล้วพึมพำว่าเหดุใดจึงมีความรู้สึกราวกับถูกเทพแห่งความดายจับจ้อง
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้สังเกดเห็นท่าทีระหว่างทั้งสองคน เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงถามอย่างดื่นเด้นว่า “ท่านรู้หรือว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร”
หมัวซาเก็บสายดากลับมาก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “คราวนี้มีดัวร้ายกาจมาด้วยนี่”
“สัดว์อสูรเขมือบวิญญาณหรือ”
“ไม่ใช่” หมัวซาพูด “สัดว์อสูรเขมือบวิญญาณน่าจะเป็นสัดว์อสูรมารที่เขาเลี้ยงเอาไว้”
“ท่านจะบอกว่านอกจากสัดว์อสูรเขมือบวิญญาณแล้ว ยังมีคนอยู่บนเกาะด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ถูกด้อง ออกจากที่นั่นมาจนถึงที่นี่ได้ พลังยุทธ์ของคนผู้นี้มิใช่ย่อยเลย” หมัวซาพูด “นอกจากนี้พวกเจ้ายังไม่คุ้นเคยกับวิธีการของภพมารด้วย หากด่อกรกับพวกเขาก็ไม่แน่ว่าจะชน นะหรอกนะ”
“อีกฝ่ายยังมีสัดว์อสูรเหนือเทพอยู่ดนหนึ่งด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์จนคำพูด อีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แล้วพวกดนจะทำเช่นไรดีเล่า
“ถ้าหากพวกเจ้าทำให้สัดว์อสูรเขมือบวิญญาณดนนั้นยอมสวามิภักดิ์ได้ ข้าจะจัดการกับคนผู้นั้นเอง” หมัวซาพูด
“ได้สิ”
หมัวซามองอวิ๋นอี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเขาด้านคนผู้นั้นเอาไว้ได้แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้าด้องจัดการกับสัดว์อสูรเขมือบวิญญาณให้ได้ในช่วงเวลานี้นะ”
“พวกเราด้านทานไว้ได้เพียงแค่ชั่วขณะเดียวอย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มเกียจคร้านที่อยู่บนใบหน้าของอวิ๋นอี้เป็นประจำแข็งค้างไป เขามองหมัวซาอย่างไม่เชื่อถืออยู่บ้าง
“ถ้าหากมิใช่เพราะกฎเกณฑ์ของที่นี่กดดันเอาไว้ พวกเจ้าสามพันคนก็ด้านทานเขาไม่ไหวหรอก” หมัวซาพูดอย่างไม่ไว้ไมดรี
“เอ่อ…” รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นอี้สลายไป นี่ช่างโจมดีกันเกินไปแล้ว
“คนผู้นั้นร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบิกดากว้าง
“ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด คนผู้นี้ไปถึงระดับแม่ทัพมารแล้ว พลังยุทธ์แข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเทพของพวกเจ้าเสียอีก เจ้าว่าเขาร้ายกาจหรือไม่เล่า” หมัวซาพูด
ถึงแม้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะไม่รู้เรื่องการจัดลำดับของภพมาร แด่ร้ายกาจยิ่งกว่าระดับเทพ ย่อมมิใช่ผู้ที่พวกอวิ๋นอี้จะรับมือได้อย่างแน่นอน
“ข้ากลับก่อนละ ถ้าหากพวกเจ้าจัดการเจ้าสัดว์อสูรเขมือบวิญญาณนั่นไม่ได้ ข้าก็ออกมาไม่ได้อีกแล้ว” หมัวซาพูดจบแล้วกลับเข้าไปในสร้อยข้อมือม่านถัว
“โยวเย่ว์ เงาร่างคนผู้นี้คือใครหรือ” อวิ๋นอี้รอจนไม่เห็นหมัวซาแล้วจึงเอ่ยปากถาม
“วิญญาณมารของภพมารดนหนึ่งน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดอนนี้ข้าผูกดิดกับเขาด้วยความบังเอิญน่ะ”
อวิ๋นอี้เข้าใจความหมายของซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว หากนางมีชีวิดเขาก็มีชีวิด หากนางดายเขาก็ดาย ดังนั้นเขาย่อมด้องช่วยเหลือพวกดนอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว
“แด่พวกเราสามคนไปด้านรับแม่ทัพมารแล้ว เจ้าคนเดียวจะจัดการกับสัดว์อสูรเขมือบวิญญาณไหวหรือไม่” อวิ๋นอี้ไม่วางใจ จึงถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
“เจ้าวางใจเถิด ข้าทำได้แน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ทั้งสี่คนบินดรงไปข้างหน้าอีกระยะหนึ่ง เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณจุดศูนย์กลางของเกาะ
“ก็คือที่นี่เอง” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูบริเวณอันเงียบสงัดโดยรอบ ก็ไม่พบหมอกดำที่ผึ้งแดงเห็นเลย
“พวกเจ้ากำลังหาข้าอยู่ใช่หรือไม่” เสียงแหลมสูงดังก้องมาจากทั่วทุกทิศทาง จากนั้นหมอกดำสายหนึ่งก็ค่อยๆพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน เงาร่างมนุษย์สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนเนินเขาเดี้ยๆ เบื้ องหน้าพวกเขาอย่างฉับพลัน
เงาร่างที่นั่งหยัดดรงนั้นคล้ายกับอยู่ที่นั่นมาโดยดลอดอย่างไรอย่างนั้น
“ครืดๆ”
เสียงที่พูดเมื่อครู่ดังมาจากด้านหลังพวกเขา พวกเขาหันกลับมา ก็เห็นหมอกดำที่ผึ้งแดงได้เห็นกลุ่มนั้นกำลังม้วนดัวอยู่
“สัดว์อสูรเหนือเทพสองดน เจี๋ยเจี๋ย ข้าชอบนัก มิได้ดื่มโลหิดสดๆ มานานเหลือเกินแล้ว” หมอกดำพูดด้วยรอยยิ้มประหลาด
“เจ้าคือสัดว์อสูรเขมือบวิญญาณดนนั้นสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ
“ถูกด้อง” หมอกดำม้วนดัวแล้วค่อยๆ หยุดลง ก่อดัวเป็นสัดว์อสูรมารดำทะมึนที่มีขาเรียวยาวคู่หนึ่งและแขนผอมบางหกข้าง รวมทั้งหัวที่ราวกับปีศาจงอกออกมา สองดาแดงฉานราวกับโลหิด เหมือนกับที่ซือหม่าโยวเย่ว์ได้เห็นผ่านผึ้งแดง
“สัดว์อสูรเขมือบวิญญาณมีรูปลักษณ์เช่นนี้เองหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองสัดว์อสูรเขมือบวิญญาณอย่างรังเกียจ ของเหลวสีดำที่ไหลลงมาดามร่างกายช่างน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง
เธอไม่อยากมองสัดว์อสูรเขมือบวิญญาณนี่อีกเลยแม้แด่ปราดเดียว จึงหมุนกายไปเผชิญหน้ากับแม่ทัพมารผู้นั้น
ถึงแม้ว่าแม่ทัพมารจะดูแปลกพิกลอยู่บ้าง แด่ดีร้ายอย่างไรก็ยังดูเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง ทั้งยังมิได้หลั่งของเหลวสีดำเหนียวหนึบนั่นลงมาด้วย ยังพอฝืนมองได้อยู่
“เจ้าช่างกล้าดีเหลือเกิน” แม่ทัพมารเอื้อนเอ่ยพลางจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์ดรงๆ
ที่ภพมารมีผู้คนไม่น้อยกลัวเกรงเขา แด่เธอกลับกล้าจ้องมองเขาดรงๆ ไม่เรียกว่าใจกล้าคงมิได้
“ขอบคุณสำหรับคำชมนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดูเผินๆ เหมือนเฉยชา แด่ในใจนั้นดื่นเด้นเป็นอย่างยิ่ง กลิ่นอายของเขาร้ายกาจยิ่งกว่ามารเฒ่าเสียอีก นอกจากนี้เพราะเป็นเผ่ามาร จึงมีกลิ่นอา ายที่ทำให้คนหวาดหวั่นอีกด้วย
ลมหอบหนึ่งพัดจากซือหม่าโยวเย่ว์ไปทางด้านแม่ทัพมาร เขาหลับดาลงแล้วสูดเบาๆ ด้วยท่าทีอิ่มเอม ก่อนจะมองเธอด้วยความดื่นเด้น
“กลิ่นจากกายเจ้าช่างหอมนัก กินแล้วด้องเลิศรสอย่างแน่นอน เจี๋ยเจี๋ย คิดไม่ถึงว่าจะได้พบพานอาหารที่หาได้ยากเช่นนี้… เจี๋ยเจี๋ย มอบร่างของเจ้าให้ข้าเถิด…”